เปิดตัว-เปิดใจ ‘ต้นข้าว อาร์สยาม’ สาวเซ็กซี่แบบมีลิมิต

ศิลปินสาวค่ายอาร์สยามคนนี้มีชื่อ-นามสกุลจริงว่า ‘เขมนาฏ ธจิรมงคลกิตต์’ เพิ่งเรียนจบเป็นบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และเพิ่งเข้าพิธีรับปริญญาบัตรไปหมาดๆ


‘ต้นข้าว’ เริ่มเข้าสู่แวดวงบันเทิงตั้งแต่อายุ 15 เริ่มจากการเป็นนักร้องฝึกหัดของค่ายอาร์สยาม หลังจากผ่านการคัดตัว เธอมีโอกาสได้เรียนร้องเพลงและการแสดง เวลาผ่านไปหนึ่งปีเธอก็มีผลงานเพลงแรกออกมา ‘โทษฉันดีกว่าที่รับสาย’ แนวเพลงลูกทุ่งผสมป๊อป พร้อมลุคแบบสาวหวาน ที่แม้จะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก็พอจะทำให้เธอเป็นที่รู้จัก

กระทั่งเธอมีผลงานเพลงที่สอง ‘ไม่ไหวจะโสด’ เมื่อราวสองปีก่อน ชื่อของต้นข้าว อาร์สยามก็เริ่มเป็นที่จดจำมากขึ้น “คงเพราะเป็นเพลงเร็ว หนูดูสดใส ร่าเริงกว่าเพลงแรก ยอดโหลดเพลงที่สองเลยต่างกันเยอะเมื่อเทียบกับเพลงแรก” เธอบอก และนั่นถือว่าเธอประสบความสำเร็จในอีกขั้น

ควบคู่กับงานเพลง ต้นข้าวยังฝากผลงานการแสดงในละครทางช่อง 8 อย่าง ‘ซิ่นลายหงส์’ หรือ ‘เพลิงริษยา’ ที่ออกอากาศไปเมื่อปีที่แล้ว ก็พิสูจน์ความสามารถอีกด้านของเธอได้อย่างดี และต้นปีหน้าเธอยังมีผลงานแสดงให้ชมอีกเรื่องคือ ‘เวราอาฆาต’

แม้ว่ายังไม่มีผลงานเพลงชิ้นใหม่ พร้อมลุคเซ็กซี่ที่เธอเคยเปิดเผยออกสื่อ แต่ระหว่างที่ปล่อยให้แฟนคลับรอ เธอยังมีผลงานเพลงคัฟเวอร์ ไม่ว่า ‘อกหักเรื่องขำขำ’ เพลงเก่าของสุชาดา ไวยาวัจกร หรือล่าสุด ‘เรื่องธรรมดา’ ของเจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ที่เธอร้องใหม่ มีการทำดนตรีใหม่ ขยับจังหวะให้เร็วขึ้นเพื่อเพิ่มความสดใส มาให้ฟังแก้ขัด

วันนี้เธอยังมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ เล่าความคิด และเรื่องราวในชีวิตของนักร้องสาววัย 23 ให้ฟัง เพื่อใครๆ จะได้รู้จักเธอมากขึ้นกว่าเดิม


เรื่องการแสดง ต้นข้าวจับพลัดจับผลูมาเล่นละครได้อย่างไร

ปกติแล้วทางค่ายจะซัพพอร์ตนักร้องเต็มที่อยู่แล้ว เริ่มแรกเขาจะให้เราเรียนการแสดงกับทางค่ายก่อน จากนั้นเขาก็จะไปเสนอกับช่อง 8 ว่ามีบทไหนเหมาะกับน้องคนไหนบ้าง ตรงนี้ครูต้า (วิทวัส สังสะกิจ) ที่สอนการแสดงจะดูว่าใครเล่นบทไหนได้บ้าง เขาก็จะเสนอให้ ซึ่งทางผู้ใหญ่เห็นชอบ หนูถือว่าโชคดีมากค่ะ ขอบคุณที่ผู้ใหญ่ให้โอกาส ก็เลยได้เล่นละคร เรื่องแรกได้เล่นเป็นนักแสดงรับเชิญเลยคือ ‘ซิ่นลายหงส์’ ได้ออกไม่กี่ตอน แต่ถือว่าเป็นบทบาทที่ทำให้ผู้ใหญ่หลายท่านได้เห็นผลงานของเรามากขึ้น

เรื่องที่สอง ‘เพลิงริษยา’ เรื่องนี้หนูได้เล่นเป็นตัวร้าย จริงๆ หนูก็เล่นตัวร้ายทุกเรื่องที่เล่นมาละค่ะ (หัวเราะ) แต่เรื่องนี้ได้เล่นเยอะมากค่ะ ถือว่าเป็นละครที่ท้าทายมาก เพราะพี่วุธ (อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร) เป็นผู้กำกับฯ ที่ละเอียดมาก ต้องเล่นให้ได้อย่างที่เขาต้องการ แล้วมันเป็นตัวละครที่…ไม่แบน จะร้ายก็ไม่ร้ายแบบแอ๊ะๆๆ พี่วุธไม่ต้องการแบบนั้น เขาต้องการให้ตัวละครเปรียบเสมือนคนคนหนึ่งที่มีหลายด้าน ซึ่งตอนเล่นมันจะยากนิดหนึ่ง เพราะจะแสดงออกมาร้ายมากไม่ได้ แต่เราต้องทำให้คนดูรู้ว่าเราร้ายนะ เรื่องนี้ท้าทายมากค่ะ และเป็นเรื่องที่ช่วยให้หนูมีประสบการณ์ในการเล่นละครขึ้นเยอะมากเลยค่ะ


ร้องเพลงกับเล่นละคร อะไรยากกว่ากัน

เอาจริงๆ เล่นละครค่ะ (ยิ้ม) เพราะว่าร้องเพลงมันเป็นต้นข้าวน่ะ เวลาร้องอยู่บนเวทีมันคือเรา แต่เวลาเล่นละครมันไม่ใช่เราแล้ว มันจะต้องเป็นตัวละครนั้นๆ ก็เลยคิดว่ายากกว่าค่ะ

ต้นข้าวมีโอกาสได้เล่นคอนเสิร์ตบ้างหรือยัง

ส่วนมากเป็นงานอีเวนต์ค่ะ แบบคอนเสิร์ตส่วนตัวยังไม่มี แต่ถ้าในอนาคตแฟนคลับซัพพอร์ตก็อาจจะมีได้ (หัวเราะ) ฝากด้วยค่ะ ส่วนมากก็เป็นการร้องคอนเสิร์ตตามอีเวนต์ต่างๆ เช่นงานโอท็อป งานประจำปี อะไรประมาณนี้ละค่ะ

ต้นข้าวมีแฟนคลับเยอะไหม

ก็พอใจในระดับหนึ่งนะคะ แต่หวังว่าถ้าทุกคนรู้จักต้นข้าวมากขึ้นก็อาจจะชื่นชอบต้นข้าวมากขึ้น

แฟนคลับส่วนใหญ่เป็นรุ่นไหน

ส่วนมากที่เห็นก็เป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ อายุประมาณประถมฯจนถึงมหาวิทยาลัย ก็รุ่นราวคราวเดียวกับหนูนี่แหละค่ะ


ทำงานด้วย เรียนไปด้วย ต้นข้าวจัดสรรเวลาอย่างไร

จริงๆ หนูแบ่งเวลาไปเรียนด้วย แต่เรื่องงานก็สำคัญ แต่ถ้า…อันนี้คือสิ่งที่หนูคิดเลยนะว่า ถ้ามีช่วงที่ตัวเองทำงานหนักจนไม่มีเวลาไปเรียนเลย เราจะทำอย่างไร ถ้าต้องเลือกจริงๆ นะคะ หนูขอเลือกงานไว้ก่อน เพราะอะไร บางทีพ่อแม่อาจจะตกใจว่า เฮ้ย…ทำไมมันไม่เลือกการเรียนล่ะ หนูบอกไว้ก่อนเลยว่าที่หนูเลือกงานไว้ก่อนเพราะอะไร คือเมื่อโอกาสมันมาแล้ว ทำไมเราถึงไม่คว้าไว้ ในขณะที่การเรียน เมื่อไหร่เราก็ไปเรียนได้

ถึงจะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แต่หนูก็ยังมีเวลาไปเรียนนะคะ หนูคิดว่า ถ้าเราใส่ใจมันมากพอทั้งสองอย่างเราก็จะทุ่มเทให้กับมัน และวางแผนกับมัน เราจะเห็นว่ามันเป็นสิ่งสำคัญของเรา

แล้วเรียนอย่างไรให้ได้เกียรตินิยม

อันนี้ก็ยังงงกับตัวเองอยู่ (หัวเราะ) จะบอกว่าเพื่อนสำคัญมากตอนเรียนมหาวิทยาลัย วันไหนที่เราหยุดเรียน เราจะไม่รู้เลยว่ามีงานอะไรบ้าง ถ้าเราไม่มีเพื่อน ถูกไหมคะ เราจะไม่รู้ว่าครูสอนอะไรไปบ้างในวันที่เราไม่ได้เข้าเรียน ซึ่งเรียกว่าดวงดีแล้วกัน คือหนูได้ทุนศิลปินจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และเพื่อนที่เรียนด้วยก็เป็นเพื่อนที่ได้ทุนทั้งนั้นเลย พอเป็นนักศึกษาได้ทุนเขาก็จะรักษาเกรด ต้องขยันเรียนหนังสือ หนูก็เลยโชคดีที่มีเพื่อนได้ทุนทั้งนั้นเลย ทุนต่างๆ ของมหาวิทยาลัยนี่แหละค่ะ เพื่อนกลุ่มนี้คอยผลักดันเรา ให้ต้องขยันไปเรียนนะ (หัวเราะ) แม้ว่าเราจะง่วง จะขี้เกียจขนาดไหน แต่เราก็ต้องไปเรียน เพราะไม่อย่างนั้น F หรือ D จะลอยมา ไม่ได้ๆ 

ตอนเข้าเรียนปีหนึ่งหนูตั้งใจเลยว่าอยากได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งตอนปีหนึ่งหนูได้ A ทุกวิชาเลยนะ พอปีสอง-ปีสามเริ่มเหนื่อยค่ะ เริ่มท้อ ก็เลยคิดว่า ไม่ได้แน่ๆ เกียรตินิยมเนี่ย ยิ่งเรียนมันยิ่งเหนื่อย เพราะว่าตัวเองต้องทำงานไปด้วย แต่หนูคิดว่าเราจะต้องใส่ใจด้านการเรียน และต้องรู้จักวางแผน อย่างเรารู้ว่าตารางงานเดือนนี้จะมีแบบนี้ ก็ต้องลาอาจารย์ไว้ล่วงหน้า เข้าไปปรึกษากับอาจารย์เลยว่ามีงาน ต้องขอลาช่วงนี้ๆ แล้วเดี๋ยวมีงานอะไรที่หนูพอจะทำล่วงหน้าได้หนูก็จะทำไว้


เราต้องไปคุยกับอาจารย์เป็นรายวิชาไปเลย ซึ่งมันเป็นการวางแผน และเราต้องอดทน พยายามค่ะ เพราะว่าการที่เราทำงานมา ถ่ายละครเลิกสี่ทุ่ม-ห้าทุ่ม กลับไปถึงบ้าน พรุ่งนี้มีงานต้องส่งอาจารย์ เราจะนอนไม่ได้ เราจะต้องทำ เราจะต้องขยัน ต้องใช้ความอดทนมากๆ 

ตลอดสี่ปีที่เรียนมาหนูมีแต่ใส่ใจ อดทน พยายาม สามคำนี้เป็นอะไรที่ต้องเน้นย้ำในใจเลย ถ้าใครอยากจะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย และที่สำคัญคือเพื่อนค่ะ

ทำไมเลือกเรียนนิเทศศาสตร์

เพราะนิเทศฯ ตรงกับสายงานของหนูเลย หนูเป็นคนชอบพูดชอบคุยมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และคิดว่าสายงานนี้แหละน่าจะมาประยุกต์กับชีวิตประจำวันของเราได้

ต้นข้าวเป็นคนจากจังหวัดไหน

เป็นคนชุมพรค่ะ แม่เป็นคนชุมพร พ่อเป็นคนนครศรีธรรมราช แต่หนูจะสนิทกับทางคุณแม่มากกว่า ก็เลยติดเชื้อชุมพรมาเยอะกว่า (หัวเราะ) แต่จริงๆ หนูเรียนที่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่อนุบาลเลยค่ะ ทางบ้านพูดใต้กันทั้งครอบครัว เราก็พูดใต้ได้


ทำไมไม่ร้องเพลงใต้ล่ะ

ร้องได้ค่ะ (หัวเราะ) แต่บุคลิกไม่ให้ ส่วนมากไม่มีใครรู้ว่าต้นข้าวเป็นคนใต้ และคิดว่ามาทางภาคกลางน่าจะดีกว่า เพราะไปได้ทั่วกว่า

เชื้อชุมพรนี่หมายความว่าอย่างไร

(หัวเราะ) มันคือสำเนียงการพูดน่ะค่ะ เวลาเราพูดใต้ ชุมพรกับนครฯ จะคนละสำเนียงกัน ตอนหนูเพิ่งเกิดยายพาไปเลี้ยงที่ใต้ หนูก็จะผูกพันกับชุมพรมากกว่านครฯ


ตอนเด็กๆ ต้นข้าวเป็นอย่างไร

ซนมากค่ะ (หัวเราะ) ซนจนยายมาเล่าวีรกรรมให้ฟัง จริงๆ หนูจำไม่ได้ว่าตอนเด็กๆ ตัวเองเคยทำอะไรไว้บ้าง เคยตกโอ่ง ตกหม้อแกงไตปลา คือที่บ้านขายอาหารใต้ แม่ขายมาตั้งแต่หนูยังไม่เกิด ขายมานานมาก ชื่อร้านน้ำผึ้งข้าวแกงปักษ์ใต้ ที่ตลาดสดพัฒนาการ 68 ฝากด้วยนะคะ (หัวเราะ) ขายมาตั้งแต่รุ่นยายจนมาถึงรุ่นแม่ พอเราโตขึ้นตอนนี้ก็มาช่วยแม่พัฒนาร้านของแม่ด้วย

เมื่อตะกี้ถามเรื่องอะไรแล้วนะคะ อ๋อ…เราตกหม้อแกงไตปลา คือเวลายายแกง ยายไม่ได้ใช้หม้อแกงเล็กๆ แต่ใช้หม้อใหญ่มาก แล้วเราไปทำอีท่าไหนไม่รู้จนไปตกหม้อแกงไตปลา ยายก็เลยตีซ้ำ บอกว่าจะได้จำ แต่หนูจำไม่ได้แล้วค่ะ เท่าที่จำได้คือตัวเองซนมาก เคยปีนร้านแม่ แล้วบนร้านแม่มีหม้อสต็อกน้ำแกงส้ม เราปีนขึ้นไป ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นหม้อแกงส้ม ก็ไปคว้า หม้อก็คว่ำใส่หัว เท่านั้นไม่พอ น้ำแกงส้มยังกระเด็นไปโดนปลั๊กไฟ แล้วหนูก็โดนไฟช็อต (หัวเราะ) โชคดีที่รอดมาได้

ยังมีวีรกรรมใหญ่อีกตอนเก้าขวบ คือวิ่งชนกระจกบานเลื่อน เป็นกระจกสีดำๆ วันนั้นหนูไปว่ายน้ำที่สโมสรหนึ่ง พอว่ายเสร็จ ออกจากสระเป็นคนสุดท้าย และจะไปเล่นเกมต่อกับน้อง เลยรีบ วิ่งไปชนกระจก ตู้ม กระจกแตก โดนเย็บไปสองร้อยกว่าเข็ม เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยค่ะ (หัวเราะ) รอดมาได้ถึงวันนี้ก็บุญแล้วค่ะ


ต้นข้าวเป็นลูกสาวคนเดียวหรือเปล่า

ไม่ค่ะ หนูมีน้องชายอีกคน สองคนพี่น้อง

ตอนเด็กๆ ใฝ่ฝันอยากจะมาทางสายนี้บ้างไหม

ใช่ค่ะ หนูชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ อันนี้หนูจำไม่ได้ ยายก็เล่าให้ฟังอีกนั่นละว่า ตอนเด็กๆ หนูชอบไปยืนร้องเพลงบนร้านแม่เวลาแม่เก็บร้าน ร้องเพลง ‘คุณลำไย’ …ยังจำไม่เคยลืมเลือน (หัวเราะ) ยายก็เห็นแวว และส่งเสริมมาตลอด พาไปเรียนร้องเพลง ไปเรียนรำไทย ให้เรามีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น

เคยไปประกวดร้องเพลงที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า

ตอนเด็กๆ เคยไปประกวดร้องเพลง เป็นงานในห้างฯ แถวบ้าน แต่ถ้าเป็นงานใหญ่ๆ ยังไม่เคยไปประกวดค่ะ

ที่บ้านขายอาหาร ต้นข้าวทำกับข้าวได้ด้วยไหม

(หัวเราะ) อันนี้อย่าคาดหวังกับหนูค่ะ ถึงแม้ว่ายายกับแม่จะทำได้ แต่หนูทำไม่ได้ค่ะ หนูทำเก่งที่สุดคือข้าวไข่เจียว จีบได้ทอดไข่เป็นค่ะ (หัวเราะ)


‘เรียนจบแล้ว เซ็กซี่ได้’ หมายถึงเพลงต่อไปต้นข้าวจะเซ็กซี่มากขึ้นหรือว่าอย่างไร

เซ็กซี่ขึ้นไหม ก็เซ็กซี่ขึ้นค่ะ แต่ถ้าถามว่ามากไหม ก็ไม่มากค่ะ

เซ็กซี่ที่เนื้อหาของเพลงหรือว่ารูปลักษณ์ของเรา

ที่รูปลักษณ์มากกว่าค่ะ เซ็กซี่ที่ลุค แต่ก็เซ็กซี่มากไม่ได้ เดี๋ยวยายจะว่า (หัวเราะ)

สำหรับต้นข้าว แค่ไหนที่เรียกว่าเซ็กซี่ 

คือเราไม่อยากขายเซ็กซี่ล้วน แต่จะขายเซ็กซี่บวกน่ารัก มันจะดูน่ารัก ไม่โป๊ แต่แอบมีอะไรนะ ก็คือเซ็กซี่บวกน่ารัก (หัวเราะ)

ไม่ขนาดรุ่นพี่ๆ อย่างใบเตย หรือจ๊ะ อาร์สยาม

คงไม่ขนาดนั้นค่ะ เพราะว่าด้วยวัยด้วย หนูก็ยี่สิบสามเอง แต่ถ้าโตขึ้น (ยิ้ม) สักยี่สิบเจ็ด-ยี่สิบแปด ประมาณนั้น อันนี้ก็ยังไม่แน่ค่ะ

มีศิลปินคนไหนเป็นไอดอลบ้างไหม

จริงๆ หนูชอบพี่หญิง-ธิติกานต์ (ไต้ไธสง) ในด้านการร้องเพลง แต่ด้านการแต่งตัวนี่ไม่มีนะคะ คือหนูอยากใส่อะไรก็ใส่


เรื่องความรักล่ะ เคยมีประสบการณ์บ้างหรือยัง

มีสิคะ หนูยี่สิบสามแล้ว (หัวเราะ) ก็ธรรมดาที่จะมีคนโน้นคนนี้เข้ามาบ้าง

เคยคบหากับใครเป็นเรื่องเป็นราวบ้างไหม

เคยค่ะ แต่ก็เรื่อยๆ เพราะเราไม่อยากจะรีบร้อนอะไรมาก หนูยี่สิบสามเอง อนาคตยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ด้วยหน้าที่การงาน คือเราต้องโฟกัสเรื่องงาน เรื่องการใช้ชีวิตของเรา ก่อนที่เราจะไปโฟกัสเรื่องความรัก เพราะว่าคนรัก พอเลิกกันไปก็เหมือนคนไม่รู้จักกัน ในความรู้สึกหนูนะ ซึ่งเราจะไปใส่ใจกับมันมากไม่ได้ เราต้องเอาตัวเราเองเป็นหลักก่อน ถึงจะโฟกัสเรื่องอื่นได้

ผู้ชายในสเปคเป็นอย่างไร

เอาจริงๆ หนูว่าหนูชอบคนไม่ขาวมาก ไม่ใช่หนุ่มตี๋ ชอบแบบเข้มๆ ค่ะ และชอบคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ สามารถนำพา ชักจูงเราไปในสิ่งที่ดีได้


เชื่อในความรักหรือเปล่า

ไม่เชื่อค่ะ (หัวเราะ) อันนี้น่าจะมาจากการปลูกฝังของยายแหละ คือยายจะห่วงหนูมาก จะคอยสอนว่าอย่าไปไว้ใจผู้ชาย อย่างแฟนคนเก่าที่ผ่านมา ยายจะคอยตามตลอด แม้กระทั่งเวลาไปดูหนังกัน ยายก็ไปดูด้วย (หัวเราะ) เรื่องนี้หนูไม่เคยบอกใครเลยนะ ยายเข้าไปดูหนังด้วย ไปไหนไปด้วย ยายหวงมาก เป็นห่วงเราว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรถ้ามีแฟน ด้วยประสบการณ์ของผู้ใหญ่มั้งคะ เขาก็จะรู้เยอะกว่าเรา

ถามว่าเชื่อในความรักไหม หนูไม่เชื่อค่ะ แต่ไม่มีเลยก็ไม่ใช่ ก็มีความรักค่ะ จริงจังไหม ก็ไม่ขนาดนั้น เอาอนาคตของตัวเองก่อน

ถ้าถึงขั้นแต่งงานกันล่ะ

โห…ถ้าแต่งงาน ก็คือพ่อของลูกแล้วค่ะ หนูก็จะต้องหาคนที่ดีที่สุด เพราะว่าเราต้องฝากครึ่งชีวิตไว้กับเขา ซึ่งจะต้องอยู่ด้วยกันอีกครึ่งชีวิตน่ะ เขาจะต้องเป็นคนที่คลิกกับเราได้จริงๆ แต่ถ้าไม่ดีก็เลิกค่ะ ไม่ดีก็เลิกๆ (หัวเราะ)

เอาจริง แม่ก็เล่า แม่ รวมทั้งน้า ผิดหวังจากความรักมา แล้วแม่ก็กลัวว่าลูกจะเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งหนูคิดว่าสิ่งที่แม่หรือน้าเจอมันสามารถเป็นประสบการณ์สอนเราได้อย่างดี มันจะทำให้เรากลัว กลัวว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องคิดดีๆ นะ ใครเข้ามาเราต้องกรองดีๆ ว่าเป็นคนอย่างไร ใช่หรือเปล่า


อยู่วงการบันเทิงมาหลายปี ต้นข้าวรู้สึกอย่างไรกับมันบ้าง

จริงๆ วงการบันเทิงสนุกนะคะ เพราะว่าเราชอบ ทำแล้วไม่เบื่อ ทุกครั้งที่หนูร้องเพลง ก่อนขึ้นเวทีหนูยังตื่นเต้น มือเย็นทุกครั้ง หนูไม่รู้ ยังงงตัวเองเลย ร้องเพลงมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ทำไมยังตื่นเต้นขนาดนี้ หนูคิดว่าอะไรที่เราทำแล้วเราตื่นเต้นกับมันทุกครั้งน่ะ หนูว่ามันคือสิ่งที่เราชอบ หนูว่ามันคือความสุขของหนู

เรื่องราวในแง่ลบล่ะ เคยเจอบ้างไหม

มันอาจจะเป็นเรื่องการแข่งขัน ในความรู้สึกของหนูนะ เพราะว่าตลาดเพลงเดี๋ยวนี้ ทุกคนมีสื่อเป็นของตัวเอง ลงยูทูบก็สามารถดังได้แล้ว ซึ่งทุกคนสามารถเป็นศิลปินได้ การแข่งขันสูงกว่าเมื่อก่อน เราก็เลยต้องกดดันตัวเองมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่หนูคิดว่าเป็นแง่ลบของวงการสมัยนี้

ต้นข้าวมีช่องสื่อโซเชียลของตัวเองด้วยไหม

มีค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ (ยิ้ม) ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก เป็นแฟนเพจ ภาษาไทยนะคะ หรือไอจี: tonkao_rsiam และยังมียูทูบ ‘Tonkao The Way It Is’ ก็จะเป็นเพลงคัฟเวอร์ต่างๆ ให้ได้ฟังกันระหว่างที่รอเพลงซิงเกิลใหม่ค่ะหรือ TikTok ก็ได้นะคะ (หัวเราะ) Tonkao’s เป็นคลิปติงต๊องๆ (หัวเราะ) ถ้าอยากรู้จักต้นข้าวมากขึ้นก็ไปดูใน TikTok ได้ค่ะ จะได้รู้ว่าหนูไม่ได้เป็นคนเรียบร้อย (หัวเราะ) เป็นคนบ้าๆ คนหนึ่งค่ะ คนส่วนมากมองนึกว่าหนูเรียบร้อย ก็อาจจะหน้ามั้ง หน้าดูเรียบร้อย แต่จริงๆ ไม่ใช่คนเรียบร้อยค่ะ


ที่บ้านเป็นห่วงต้นข้าวเรื่องอะไรบ้างไหม

เป็นห่วงหลายเรื่องละค่ะ เพราะว่าช่วงนี้หนูเรียนจบแล้ว มันจะเป็นเรื่องอนาคตละ ว่าเราวางแผนอนาคตของเราอย่างไร ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าช่วงนี้ยังมีโควิด เรายังไม่รู้ว่ามันจะมีไปอีกนานแค่ไหน แล้วเรื่องงานร้องเพลงก็ดร็อปลงกว่าเมื่อก่อนมาก งานอีเวนต์ไม่ชุกชุมเหมือนเมื่อก่อน เพราะเศรษฐกิจด้วยอะไรด้วย ต่างๆ นานา

ความจริงหนูวางแผนไว้นานแล้ว คือหนูชอบกินทุเรียนมากๆ ก็เลยรู้ว่าตัวเองจะทำอะไร หนูจะปลูกทุเรียนแล้วส่งออกไปจีน ซึ่งเราไม่ได้แค่ส่งออกไปจีนอย่างเดียว อันนี้เป็นสิ่งที่หนูคิดนะ แต่ตอนนี้กำลังปลูกทุเรียนอยู่ ปลูกมาได้สามปีแล้ว คาดว่าอีกสองปีก็น่าจะมีผลผลิต หนูก็คิดแล้วละว่าถ้าทุเรียนเราได้ผล อีกสองปีเราก็จะส่งออกจีน และจะทำการตลาดในประเทศด้วย ให้คนไทยได้กินทุเรียนที่มันอร่อย

คนสวนส่วนมากจะส่งออกจีนหมดเพราะอะไร เพราะว่าความเสี่ยงต่ำ คุณไม่ต้องห้อยทุเรียนให้มันแก่ ถ้าส่งไปจีนความแก่ของทุเรียนประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปก็เป็นเนื้อกรอบ สามารถส่งไปได้แล้ว แต่ถ้าให้คนไทยกิน ความแก่แค่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ยังกินไม่ได้ ไม่อร่อย มันจะซีดและจืด คนไทยชอบกินทุเรียนความแก่ประมาณแปดสิบ-เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป มันอร่อย แต่มันจะเสี่ยงมากสำหรับคนสวน ในการที่ต้องแขวนลูกไว้ ถ้าเกิดลมพายุมา ทุเรียนจะไปหมดเลย ที่ร่วงตกลงพื้นนั่นคือเงินหมดเลย


หนูคิดว่า ถ้าหนูมีสวนเป็นของตัวเองหนูทำได้ ครึ่งหนึ่งเราส่งออก อีกครึ่งหนึ่งเอาไว้ขายในประเทศ นั่นคืออนาคตที่หนูคิดไว้ และก็คือสิ่งที่แม่และยายเป็นห่วงว่าเราจะทำได้ไหม ท่านก็คอยซัพพอร์ตอยู่ห่างๆ แต่เรื่องสวน เราเองไม่ได้มีความรู้พอที่จะทำ ก็จะได้ยายเป็นผู้ช่วยในการทำ คอยให้คำแนะนำ เวลาถึงคราวต้องใส่ปุ๋ย ต้องฉีดยาฆ่าหญ้า หรือนู่นนี่นั่น ยายจะเป็นคนช่วยค่ะ

สวนที่ชุมพรใช่ไหม มีทั้งหมดกี่ไร่

ใช่ค่ะ 46 ไร่ ทุเรียนสี่ร้อยกว่าต้น ปลูกไว้หมดเลย ทั้งก้านยาว หมอนทอง ชะนี และพวงมณี จริงๆ หนูชอบด้วยแหละ ชอบกินมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ตอนเป็นเด็กไม่ได้สนใจที่จะปลูก พอโตขึ้นก็ เออ…ทำไมเราไม่ทำในสิ่งที่เราชอบให้เป็นประโยชน์ ที่ทางเราก็มี ทำไมเราไม่ทำ


เรื่องงานวงการบันเทิงในอนาคตล่ะ

หนูคิดว่าก็คงทำทั้งร้องเพลงและเล่นละคร สองอย่างนี้ และจะเล่นเรื่องโซเชียลมีเดียให้มากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ต้องไปโฟกัสตรงนั้นให้มากขึ้น ทำอย่างไรให้เราเป็นกระแสในโซเชียล ให้คนติดตามเรามากขึ้น

เท่าที่ทำมา ช่องทางไหนมีคนติดตามมากที่สุด

(หัวเราะ) ที่คนดูชอบมากที่สุดจะเป็นแบบ…รูปภาพที่แอบเซ็กซี่เบาๆ ค่ะ ซึ่งจะเห็นชัดเลยว่ายอดไลค์ต่างกันมาก บางครั้งหนูใส่ชุดน่ารักเฉยๆ ยอดไลค์จะน้อยกว่ารูปที่น่ารักบวกเซ็กซี่ ซึ่งโอเค หนูจับทางถูกแล้วว่า ต่อไปหนูจะเล่นทาร์เก็ตนี้ละกัน น่ารักบวกเซ็กซี่ค่ะ

แล้วไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นวัตถุทางเพศไปเหรอ

หนูไม่ได้คิดว่ามันอย่างนั้นเลยค่ะ เพราะวัตถุทางเพศคืออะไรล่ะ คือกลัวว่าคนจะมองเราไม่ดี ขายเรือนร่างมากกว่าคุณภาพ อารมณ์นั้นใช่ไหมคะ ซึ่งจริงๆ หนูไม่ได้มองอย่างนั้น หนูคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของเราในการที่เราจะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ ซึ่งจริงๆ ถ้าเราแต่งตัวอย่างไรก็ได้ แต่ไม่อนาจาร หนูก็ว่ามันโอเคแล้ว ไม่ได้ซีเรียสเลยค่ะ

เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE