Marsmag.net

หนุ่มคันทรี่ หล่อ เท่ 'จอห์น เมเยอร์'

Blowin’ in the songs
โดย : ประมวล ดาระดาษ
p_daradas@hotmail.com

วัย 34 ปี เป็นนักร้องเมืองไทยก็ต้องปลดระวางกันแล้ว แต่ซุปตาร์ของเมืองนอกนั้นยังครับ ยิ่งเป็นประเภทคันทรี่ หรือ คันทรี่ ร็อค นี้ด้วยแล้ว เพลงสกุลนี้ ยิ่งกว่าสมบัติไข่ในหินของคนขาว คือจะได้รับความนิยมแบบยั่งยืน ยาวนานถึงขั้นอมตะอกาลิโกกันเลยทีเดียว
เพราะคันทรี่ ซอง คือ ศิลปะทางเสียง ประเภทเพียงไม่กี่อย่างที่คนขาวมี และเป็นออริจินต้นแบบ แบบภาคภูมิ
ดู วิลลี่ เนลสัน /การ์ธ บรูกส์ /แฮงค์ วิลเลี่ยม จนกระทั่งถึงแฮงค์ วิลเลี่ยม จูเนียร์ เลาะเรื่อยลามข้ามพรมแดนจนกระทั่งมาถึงไลโอเนล ริชี (อัลบั้ม Tuskegee)ที่ยังไม่วายอุตส่าห์ขโมยซีนแฝงมาร้องแนวคันทรี่ด้วยในยามนี้ จากสตาร์นักร้องศิลปินแนวโซล โมทาวน์ ยังหันมาแจมกับแนวคันทรี่แบบทดลองและประสบความสำเร็จ นี่คือ มหาเสน่ห์ อมตะนิรันดร์กาลของเพลงแนวนี้
นักร้องแนวคันทรีนี่กว้าง คงเหมือนสุราสกุลดีที่จะไปเข้าผสมกับอะไรก็ดี ถ้าได้บาร์เทนเดอร์ ฝีมือดีเข้า
อย่าง เพลงคันทรี่ ถ้านำมาผสมผสานความเป็นร็อค ที่เรียกว่าคันทรี่ ร็อค ก็จะแตกเป็นอีกสกุลเพลงไปอีกได้กว้างขวาง
ตอนนี้ ทางฝ่ายคันทรี่หญิง เสียง ทรงเสน่ห์ มีมิวสิควิดิโอเด็ดๆ อวดรูปโฉมโนมพรรณนี่มากเลย หมายตาไว้เยอะครับ เดี๋ยวค่อยเขียนถึง วันนี้มานักร้องฝ่ายชายก่อน

ที่กำลังขึ้นหม้อ และมีอัลบั้มใหม่ ก็ จอห์น เมเยอร์ คนนี้แหละครับ วัย 34 ปี ฝีมือไม่บันเบา คือ เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง และคอลัมนิสต์ อีกหน้าตาก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ ก็อย่างเท่ ขนาดผู้ชายด้วยกันต้องเหลียวหลังเชียวแหละ
หล่อไม่หล่อก็เป็นกิ๊กซุปตาร์สาว ระดับเทเลอร์ สวิฟท์ เจ้าแม่คันทรี่หญิงที่สวยสง่า ราวเทพธิดาแห่งยุค และร่ำรวยมากรายได้ที่สุดด้วยแหละ ไม่รู้ว่า หนุ่มจอห์น เมเยอร์ คนนี้ทิ้งมาได้อย่างไร สาเหตุหนึ่ง สงสัยจะเป็นเพราะนิสัยขยันทำแต้มกับบรรดาสาวเซเล็บฯสตาร์ด้วยหรือเปล่าไม่รู้
จอห์น เมเยอร์ เป็นศิลปินที่มีนิสัยเป็นชายปากตะไกรครับ ชอบต่อปากต่อคำ และเหน็บแนมสุภาพสตรี แหม…มันน่าจับเข้าโรงเรียนลูกผู้ชายนะครับ นิสัยแบบนี้
ยกตัวอย่างข่าวหนึ่ง ที่เทเลอร์ สวิฟท์ สาวน้อย เขาแต่งเพลง “เดียร์ จอห์น” พอรู้สึกว่ากระทบตนเองเข้าหน่อยเท่านั้นแหละ เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที หล่อนเหน็บในทำนองว่า เป็น บักจอห์น ที่ใช้ไม่ได้ มาพร่าใจเธอแล้วก็จากไปทำนองนั้น หนุ่มใหญ่ จอห์น เมเยอร์ พอรู้ว่าถูกพาดพิงก็ไม่สงวนปากสงวนคำ แถมตัดบัวแบบไม่เหลือเยื่อใยให้อีกฉับด้วย คือ เป็นชายอื่นอาจจะแทงกั๊กไว้ถึงวันคืนดีกันใหม่ แต่สำหรับจอห์น เมเยอร์นี่ไม่
หมอบอกว่า เพลงนี้ของสวิฟท์ นั้นต่ำชั้น ดูเอาเถอะ…” โอ้ว่าปากหนอปาก…”
แต่ก็อย่างว่าแหละ ผู้หญิงสมัยนี้ ข่าวว่ามีนิสัยร่วมกันส่วนใหญ่ คือ รักเศรษฐี ควงหนุ่มหล่อ แต่ชอบสนุกกับชายนิสัย แบด บอย ไม่เชื่อไปถาม จอห์น เมเยอร์ ที่เคยออกเดตกับสาวสวยมากมายทั้งเจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิตต์, เจสสิกา ซิมป์สัน และ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ที่เคยควงกับสุดยอดหนุ่มคันทรี่ผู้นี้ดูสิ(ฮา)
ผมจะไม่นอนกับสาวผิวสี เป็นอันขาด ไม่รู้ว่าผีห่าซาตาน ตนไหนสิงให้เขาพูดอย่างนั้นก็ไม่รู้ เรื่องแบบนี้ อาจใหญ่โตไปถึงขั้นเหยียดผิว และกดขี่ทางเพศไปโน่นก็ได้
อย่างเจสสิกา ทอมป์สัน ก็ยังเคยถูกเขาเหน็บว่าเป็น “แม่เซ็กส์ บอมบ์ทุ่นระเบิด” โห… แรง

จอห์น เมเยอร์ แม้จะปากไม่ดีมาตลอดปีที่แล้ว แต่ดนตรีของเขาไม่มีโทษลักษณ์อย่างนั้น สตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเขาก็ประสบความสำเร็จอีกแล้วครับท่าน นั่นคือ สามารถไต่อันดับ 10 ใน 200 ของบิลบอร์ดๆได้อย่างสวยงาม
สำหรับภาคดนตรีก็ได้ ศิลปินฝีมือดีมากประสบการณ์มาช่วย อย่า ชัค ลีเวลล์ ที่เคยเล่นคีย์บอร์ดให้ เดอะ โรลลิ่ง สโตนส์, ดิ ออลแมน บราเธอร์ส์ แบนด์ และเอริค แคล็ปตันการันตีมาแล้ว ยังได้ ซีน เฮอร์เลย์(เบส)แอรอน สเตอริ่ง(กลอง) และยังมีศิลปินรับเชิญมาแจมคริส บอตติ(ทรัมเป็ต)/จิม เคลเนอร์( เกรซ ลีอิสซ์(พีดัล สตีล) มาร่วมงาน เป็นอัลบั้มในแนวทางหลากหลาย และน่าฟังอยู่
จอห์น เมเยอร์ นั้น จะว่าไปแล้วโดยนิสัยและภาพลักษณ์แบบนี้ เขาน่าจะคือ หนุ่มโพสต์ โมเดิร์น ไอดอลของคนรุ่นใหม่ เกียรติประวัติก็จบการศึกษาจากเบิร์กลี คอลเลจ ออฟ มิวสิค เคยได้รับรางวัลแกรมมีมาแล้วในหลายสาขา
ตั้งแต่ปี 2003 ถึงครั้งที่ 51 แบบมากอยู่ ถึง 7 รางวัล อัลบั้มขายเกือบ 20 ล้านแผ่น จากลีลาการร้องเปี่ยมเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ มากฝีมือทางดนตรีและแต่งเพลง ตอนนี้ออกอัลบั้มชุดใหม่ชื่อ BORN AND RAISED ในสไตล์คันทรี ร็อค
หลังจากประสบความสำเร็จจากอัลบั้มContinuum ปี 2006และWhere the Light Is ปี 2008
เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มล่าสุด ก็จากการเคี่ยวกรำประสบการณ์ ที่หนุ่มคนหนึ่งเกิดมาและจะต้อง คัมมิ่ง ออฟ เอจ โตไปตามสภาวะ เป็นอัลบั้มที่ถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัว เปิดอัลบั้มด้วย
Queen of California

จอห์น เมเยอร์ เปิดแทร็กแบบได้กลิ่นหุบเขาซาลินัส แคลิฟอร์เนีย แบบคุ้นๆ ในนิยายของจอห์น สไตน์เบค อินโทรฯด้วยกีตาร์อะคูสติคแบบพื้นฐานขนบเบสิค การสไลด์สตีล กีตาร์ที่แสนหวานสอดขึ้นมารับ กับเสียงร้องซึ่งอาจทำให้บางคนคิดถึงนีล ยัง เพราะเนื้อเพลงอ้างอิงถึงอัลบั้ม after the gold rush (อัลบั้มคลาสสิกของเจ้าพ่อโฟล์ค คันทรี ปี 1970) และท้องฟ้าสีน้ำเงินของโจนี่ มิเชล และท้ายที่สุด ถ้ายังจำกันได้ บางคนก็ต้องไพล่ไปคิดถึงป๋าบ็อบ ดิแลน อีกจนได้ เพลง เพราะวรรคหนึ่งในเนื้อหานั้น ยืมมาจากเนื้อเพลง ของป๋าแก
“If You See Her, Say Hello” (จาก อัลบั้ม Blood on the Tracks ปี1975)
เพลงนี้เหมาะสำหรับฟังตอนโดยสารเครื่องบิน เบื่อนักก็หยิบหูฟังมาสวม และไล่เปิดคลื่นวิทยุจาก แนชวิลล์ แนวคันทรี่ และหมายมั่นว่าจะมีราชินีจากแคลิฟอร์เนีย มารอรับยามลงเครื่องที่นั่น

The Age of Worry
จอห์น เมเยอร์ ขยี้ซ้ำ ด้วยการเปิดไลน์อะคูสติค ปิ๊กกิ้ง คราวนี้มากลิ่นโฟล์ค สไตล์ดนตรีเซลติค ติดทำนองบทเพลงกล่อมเด็ก โบราณแถวตอนเหนือของอังกฤษไอร์แลนด์/สก็อตแลนด์โน่น สไตล์เพลงแบบนี้ แบบข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอเมริกา
เนื้อหาก็เป็นเพลงแนวให้กำลังใจ ในการต่อสู้กับชีวิต ที่หม่นหมอง และเหมือนจะเอาชนะไม่ได้
Dream your dreams but don't pretend…
Give your heart then change your mind
You're allowed to do it

Shadow Days

นี่คือ ซิงเกิ้ลแรกที่จอห์น เมเยอร์คัดสรรมาโปรโมทฯ ธีมเพลงเหมือนจะว่าเหน็บคนรักเก่าอยู่ จากการที่เขาเพลงนี้ในทำนองว่า เขาไม่ใช่ตัวปัญหานะ แต่เจ้าหล่อนอาจจะผิดก็ได้ “สาบานไหมล่ะว่าคุณถูก…”(ตอนกล่าววาจาคุกคามผม)
“…และนั่นไม่ได้หมายความว่า ผมจะไม่ได้คิดว่ามันหนักหนาสากรรจ์ที่จะแบกรับหรอก เพียงแต่ว่า คนจะดีได้นั้นย่อมจิตใจดี เป็นอย่างแรก และเปิดเผยมันออกมาก็แค่นั้นเอง”
ฟังคำคมแบบไม่ยอมราข้อก็แล้วกัน
เพลงนี้มีกลิ่น ของ คันทรี่ ร็อค และการโซโล่และสไลด์กีตาร์ได้บาดใจ ผสานแบนโจเข้าไปบางๆ แบบกะขายเต็มที่ ใครที่ชอบ ดิ อีเกิลส์ The best of my life อยากหัดเล่น คอร์ด สแตนดาร์ดพื้นฐาน D/C/G/Em/Bm/A จัดหามาฟังและจะแกะตามได้สบายมาก

Speak For Me
เพลงนี้ โชว์ทักษะปิ๊กกิ้ง สไตล์ ที่ไล่นิ้วตามพยางค์ร้องแบบไม่ปล่อยช่องหายใจ มีกลิ่นคันทรี่แบบเก่า ภาคริธึ่มที่แม่นยำคุมจังหวะ และโหมดอารมณ์ของเพลงแบบช่ำชอง

Something Like Olivia
สาวโอลิเวีย น่าจะเป็นสาวคันทรี่ทรงเสน่ห์อยู่ไม่น้อย แทร็กนี้ ออกคันทรี่ร็อค แบบโจ๊ะตามมาตรฐานการบันทึกเสียงขนบคันทรี่ ร็อค ที่ต้องชัดแบบกระดิกเท้าตามจังหวะกลองและเบสแบบได้ใจ ร็อคแบบบอย่างเหมือนมาตรฐานที่สาวโอลิเวียมีไปหมดแหละ เพลงนี้ ชัค ลีเวลล์ โชว์ออร์แกนแฮมมอนด์ในโบสถ์เจือเบื้องหลังบางๆ แบบให้บรรยากาศขรึมขลัง ลึกและสวยงาม

Born and Raised

อิทธิพลแห่งศิลป์/ศาสตร์คีตกวี /ฮาร์โมนิกาคอร์ด E ที่เรียกว่า”ดิแลนนิสต์”ถูกแปลงพลังมาอินโทรฯเพลงนี้ แบบใครยินก็ให้ใจ น่าที่จะได้รับการชื่นชอบ กลับไปสู่ยุค 70 ในสำเนียง ธีม เกิดมาแล้วก็ต้องเด่นให้เห็นเป็นสง่า แสดงตัวตนของจอห์น เมเยอร์ตามชื่ออัลบั้ม เมเยอร์ เล่นฮาร์โมนิกาได้ดี บางคนก็ไม่ชอบนักในเพลงนี้ ติว่ามันกระแทกโน้ตบางเสียงท่วมการสไสด์กีตาร์ ไปหน่อย
สำเนียงแล็ป สตีล กีตาร์ของ ของเกรช เลอิซกับพยางค์โน้ตโหยหวนให้เสียงหวานระทึกเป็นพลังเสริม เสียงร้องของสองศิลปะเก๋า เดวิด ครอสบี้ และเกรแฮม แนช เปียโนคลอบางๆ ทำให้เพลงมิติ สำหรับชีวิตที่จะต้องมีพรุ่งนี้
So ride on up, take your place
And show your face to the morning
Cause one of these days you'll be born and raised
And it all comes on without warning
If I Ever Get Around to Living
แทร็กในจังหวะกลางๆ เด่นที่เบส สตีล กีตาร์ และเปียโน การประสานเสียงโซโล่กีตาร์ตอนท้าย ช่วยขับเน้นบทเพลงที่ยาวที่สุดในอัลบั้มถึงเกือบห้านาทีโดดเด่นขึ้น

Love is a Verb
เล่นกับคำ”กริยา”อย่างเห็นภาพ ดนตรีเหมือนจะได้อิทธิพล”People Get Ready” ของร็อด สจ๊วต ที่แจมกับสุดยอดกีตาริสต์ เจฟฟ์ เบค

Walt Grace's Submarine Test, January 1967
จอห์น เมเยอร์ แสดงความสามารถในการเขียนเพลง โดยการหยิบยกเอาเรื่องราวอื่นๆ ไกลตัว มาเล่าเรื่อง เพลงนี้ว่าด้วยนักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์สติเฟื่อง ที่หมกมุ่นอยู่กับการคิดค้นเรือดำน้ำ แบบโฮมเมด แล้วจะสร้างฝันให้ดำไปใต้น้ำ เพลงในสไตล์บัลลาด คันทรี่ที่แปลกดีด้วยเนื้อหา น่าจะได้อิทธิพลมาจาก การหยิบเรื่องมาเล่าแบบบ็อบ ดิแลน ที่สร้างเพลง เขียนเรื่องจากสารที่ได้รับรู้ อย่างชีวิตนักมวย รูบิน” เฮอริเคน” คาร์เตอร์ ที่เขาเขียนเพลงฝากเป็นตำนานไว้ จอห์น เมเยอร์รับขนบนั้นมา

Whiskey, Whiskey, Whiskey
“มีวิทยุเปิดเพลงเบาๆ แล้วรินเหล้าใส่โซดาบางๆ…” เหมือนกับที่จอห์น เมเยอร์ว่า เหล้า เหล้า เหล้า/น้ำ น้ำ น้ำ…กินแล้วเมาเดินโซเซ ถ้าดื่มตลอดคืน ตื่นมาก็แฮงก์ โอเวอร์โผเผ นั่งจับเจ่าตาแดงเป็นนกกระปูดทุกรายแหละ เพลงนี้เด่นที่เปียโน แบบบ็อบ ซีเกอร์ ทำนองสวย ฮาร์โมนิกาเด่น เมเยอร์ ก็เขียนเตือนสติตนเกี่ยวกับสุราว่า”ยังไม่อยากเป็นแบบไอ้มักเมานะคร้าบ…”.

A Face to Call Love
ฟีเจอริ่งกับ ซารา วัตกินสาวที่มากความสามารถทางดนตรีทั้งร้องและเล่นในสไตล์ ลูแกรส/โฟล์ค และคันทรี่ วัย 31 ปี ที่ได้รับเชิญมาร้องและเล่นไวโอลิน จอห์น เมเยอร์ กับเพลงนี้ในคอนเซ็ปต์วาดหวังกับอนาคตแบบเปี่ยมหวัง กับวันที่ยังไม่มา
อัลบั้มนี้ มีความไพเราะเพราะพริ้ง และคุณภาพ ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ต้องยกให้กับฝีมือการเขียนเนื้อหาของ จอห์น เมเยอร์ แบบง่ายและงามในสกุลนิยามคันทรี่ที่ไม่ต้องลึกลับ ซับซ้อน หากคมอยู่ในทีทุกประโยค รวมกับฝีมือของ ดอน วอส โปรดิวเซอร์มือหนึ่งชื่อดังที่ถนัดและคร่ำหวอดในสกุลดนตรี ร็อค และนิวเวฟ ที่เคยสร้างชื่อมากับ วิลลี่ เนลสัน/คริส คริสท็อฟเฟอร์สัน และเดอะ โรลลิ่ง สโตนส์และศิลปินอีกหลากหลาย มาดูแลการผลิต
ฟังเพลินแบบเอาหล่อ และมีเท่ตามบุคลิกของนักร้องในระดับสามดาวครึ่งครับ