Marsmag.net

ดราม่าฆ่าไม่ตาย! ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ เปิดชีวิตอีกด้าน จากคีย์บอร์ด PAYALL สู่ปลายแฮนด์ Moto Parilla


‘ดราม่าฆ่าไม่ตาย’ หรือ ‘แมว 9 ชีวิต’ ดูจะเป็นสมญาอันเหมาะเจาะที่สื่อบันเทิงไทยตั้งให้กับดาราหนุ่มวัย 33 นามว่า ‘ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์’ เพราะตลอดปีที่ผ่านมา มรสุมรุมเร้าเขาราวกับหมาป่าขย้ำกระต่าย ทั้งเรื่องรักและธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ ‘PAYALL’ ที่โดนข้อกล่าวหาจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นก็ทำให้ซึมไปพักใหญ่ แต่ท้ายสุดก็กลับมาหยัดยืนได้ แถมเจ้าตัวยังโดดข้ามสนามมานำเข้ามอเตอร์ไซค์สกู๊ตเตอร์สัญชาติอิตาเลียน ‘Moto Parilla’ กรุยทางตามฝันตัวเองอีกต่างหาก

วงการธุรกิจก็เหมือนสนามแข่ง ต้องมีรางวัลไว้คอยเป็นแรงจูงใจให้เหล่านักสู้ได้มีพลังฟันฝ่ากันต่อไป แต่ท้ายที่สุดแล้วรางวัลของผู้ชนะย่อมมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แน่นอน เมื่อผู้ชนะได้ลิ้มรสความหอมหวานของความสำเร็จแล้ว ช่วงเวลา ‘ล้มละลาย’ จึงถือเป็นของที่ระลึกสำหรับคนแพ้ที่ต้องอยู่กับมันและจดจำไปตลอดชีวิต ซึ่งน้อยคนจะรู้ว่า ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น กว่า 50 ธุรกิจที่จับมาตั้งแต่อายุ 15 เหลือรอดเพียงไม่กี่อย่าง แต่นั่นก็ทำให้เขาเขียนตำราอันมีค่าให้กับตัวเองได้

บนเส้นทางชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด สู่บทสัมภาษณ์ที่ถอดรหัสลับสูตรความสำเร็จในแบบฉบับ ‘ดราม่าฆ่าไม่ตาย’ เทคนิค แนวคิด และแรงบันดาลใจของเขาเป็นอย่างไร หาคำตอบได้จากบทสัมภาษณ์นี้


Q : น้อยคนที่จะรู้ว่าฟิล์มทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก ช่วยเล่าที่มาที่ไปให้ฟังหน่อย

A : ผมเริ่มทำธุรกิจมาตั้งแต่อายุ 15 เป็นลูกจ้างมาตั้งแต่ 10 ขวบ เพราะว่าครอบครัวลำบาก คุณพ่อคุณแม่สั่งสอนให้ช่วยเหลือตัวเองมาตลอดครับ แต่ตอนที่ผมเข้าวงการตอนอายุ 15 ผมไม่สามารถเปิดเผยตัวได้ว่าเป็นนักธุรกิจหรือว่ามีธุรกิจอื่นนอกเหนือจากวงการบันเทิง เพราะในยุคนั้นวงการบันเทิงค่อนข้างยึดติดกับดาราที่ทำงานแค่อย่างเดียว ใครที่ทำธุรกิจก็จะโดนแอนตี้ว่าไม่มีงานทำหรือไม่มีคนจ้างงานแล้ว ต้องหาธุรกิจมาเสริม แต่สมัยนี้โลกโซเชียลมาแรง ถ้าดาราคนไหนไม่มีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง ถูกด่าเลยครับว่าโง่ หรือไม่มีความสามารถ เพราะยุคนี้มันแข่งกันด้านสมองและความสามารถเฉพาะตัวครับ ผมก็เลยเริ่มเปิดเผยว่าทำอะไรมาบ้าง

ที่ผ่านมาผมทำมามากกว่า 30 ธุรกิจอาจจะถึง 50 ธุรกิจ มีทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ แต่หลังๆ คนเริ่มเห็นว่าฟิล์มมีธุรกิจเป็นของตัวเองเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยว ร้านอาหาร มอเตอร์ไซค์ กลุ่มโปรดักชั่น หรือกลุ่มทำเบื้องหลัง อาร์ตเวิร์กต่างๆ ผมอยู่หลากหลายธุรกิจ แล้วที่เป็นข่าวโด่งดังช่วงที่ผ่านมาก็คือ PAYALL ครับ


Q : ธุรกิจต่างๆ ที่ทำผ่านมามันให้บทเรียนอะไร และเรียนรู้ที่จะเติบโตกับธุรกิจในแต่ละด้านอย่างไรบ้าง

A : ฟิล์มเชื่อว่าที่มีวันนี้ได้ หนึ่งเลยนะครับ คือการสนับสนุนจากคนไทยทั้งประเทศที่ให้โอกาสฟิล์มตลอดเวลา สองคือประสบการณ์ชีวิตของผมเองที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เพียงเพราะว่าไม่ต้องการให้พ่อแม่ลำบาก อยากให้ท่านสุขสบาย มันจึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้หัวใจเราวิ่งตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุด ไม่มีคำว่าสำเร็จในความคิดผมเลย เพราะเราต้องวิ่งตลอดเพื่อให้งานมันสามารถเลี้ยงเราและครอบครัวได้ เราเห็นพ่อแม่สุขสบายยิ้มแย้ม เราก็หายเหนื่อยแล้วครับ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีวันนี้ได้เพราะว่าประสบการณ์ ผมเคยล้มผมจึงไม่ไปย่ำตรงนั้นอีก การที่เราตัดสินใจอะไรที่เด็ดขาดมากขึ้นมันทำให้ความผิดพลาดนั้นน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพราะเรามาเล่นในวงธุรกิจแล้วไม่เหมือนละครเลยนะครับ ซึ่งละครหากผิดพลาดยังคัตได้ ธุรกิจผิดพลาดคือล้มละลาย ทำให้ครอบครัวลำบากเลย

คนอาจจะมองว่าผมมีชื่อเสียง มันเป็นแค่ส่วนน้อยครับ จริงๆ แล้วผมล้มละลายมากกว่าประสบความสำเร็จ ผมล้มมากกว่าวิ่งเข้าเส้นชัย นั่นเองครับก็เลยทำให้ทุกๆ คนเห็นภาพแห่งความสำเร็จได้ในวันนี้


Q : เท่าที่ผ่านมาธุรกิจที่แย่สุดคืออะไร แล้วมีวิธีคิดในการลุกขึ้นสู้ใหม่อย่างไร

A : มี 3 อย่างครับ คือหนึ่ง ตอนอายุ 17 ผมทำธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้า ตอนนั้นใช้เงินลงทุน 10 ล้านบาทในการนำเสื้อผ้าเข้ามาเปิดขายที่สยามฯ เช่าพื้นที่ ทำธีมแบรนด์ทุกอย่างเรียบร้อยหมด แต่สุดท้ายไม่ได้ขาย เพราะว่าต้องลงทุนในการโปรโมตอีกไม่ต่ำกว่า 20 ถึง 30 ล้าน ยุคนั้นไม่มีโซเชียล นักวิเคราะห์บอกว่าอย่าขายเลยดีกว่า เลยยุติไว้แค่นั้น ส่วนที่เจ็บมากที่สุดเลยคือธุรกิจความงามครับ เพราะตอนนั้นถูกเซลกับหมอโกง ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนมาก เราก็สู้ไม่ได้ท้อถอย สองอันนี้เป็นบทเรียนที่หนักที่สุดเลย และปีที่แล้ว PAYALL เพิ่งโดนวิกฤตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่อยู่ๆ มาบอกว่าเราน่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือเปล่า คราวนี้คนเลยขาดความเชื่อมั่นไม่ใช้บริการผม แต่เราก็ผ่านมาได้ครับ พิสูจน์ตัวเองจนทำให้ PAYALL กลับมายืนหยัดและสร้างความเชื่อมั่นได้อีกครั้ง

หลักการเหล่านี้ มันอยู่ที่ตัวผมเอง คุณต้องคิดก่อนว่าสิ่งที่คุณทำนั้นอยู่บนความถูกต้อง อยู่ในกรอบกฎหมาย อยู่ตามข้อตกลงและความจริงใจต่อลูกค้า ผมยึดหลักแค่นี้ครับ เลยไม่มีใครมาทำอะไรกับธุรกิจฟิล์มได้


Q : ชอบธุรกิจตัวไหนมากสุด และธุรกิจตัวไหนใกล้กับคำว่าความสำเร็จมากที่สุด

A : PAYALL ครับ เพราะว่าผมหยุดทำงานได้จริง แต่ธุรกิจไม่หยุด คือเน็ตเวิร์กมาร์เก็ตติ้งหรือภาษาไทยเรียกว่าขายตรงนั่นเองครับ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย การที่คุณเอาสินค้าของพาร์ตเนอร์ไปขาย พาร์ตเนอร์ได้ประโยชน์นะครับ เพราะพาร์ตเนอร์มีคนช่วยซื้อของ อย่างเช่นสินค้าโอทอป ซึ่งเป็นสินค้าชุมชน จุดทำเลที่เขาเรียกว่าตาบอดมองไม่เห็นแต่ PAYALL นำเทคโนโลยีนวัตกรรมไปช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่น ให้เขาลืมตาอ้าปากได้ ผมได้เห็นก็ดีใจ เพราะทำให้คนไทยมีที่ขายของ มีเงินไปหล่อเลี้ยงครอบครัวได้

PAYALL ใกล้เคียงสุดกับคำว่าความสำเร็จ เพราะผมทำแล้วมีความสุขทุกวัน มันเหมือนได้ทำบุญตลอดเวลา เป็นธุรกิจที่ผมทำแล้วผมมีความสุขที่สุด ทำแล้วผมยิ้มทุกวัน


Q : ฟังๆ ดูเหมือนใช้หลักความกตัญญูในการทำธุรกิจ

A : สิ่งที่ทุกคนให้ผมมามันมีค่ามาก น้อยคนที่จะได้รับแบบนี้ เราอยู่ในวงการบันเทิงมานาน ตั้งแต่ยุคที่แฟนคลับเขียนจดหมายมาหาผมเต็มบ้าน เดินๆ ไปมีแต่กองกระดาษเต็มไปหมด ภาพเหล่านั้นมันเป็นภาพแห่งความสุข ไม่ใช่สมัยนี้ที่พิมพ์ได้ง่ายๆ จดหมายต้องเขียน ต้องซื้อแสตมป์มาติด มันเลยมีความสุขมาก ไปไหนก็มีแต่คนรัก บวกกับตัวผมเองที่ไม่เคยคิดว่าเป็นซูเปอร์สตาร์เลย คิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง ก็เลยอยากทำอะไรดีๆ ให้กับประเทศ ให้กับสังคม และแฟนๆ ของผมครับ

Q : แต่วงการธุรกิจมันขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น มีทุกกระบวนท่าในการสกัดคู่แข่ง คุณมองเรื่องพวกนี้อย่างไร

A : ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ สนุกด้วยซ้ำ ถ้าคุณไปแข่งอะไรสักอย่างแล้วคุณไม่มีคู่แข่ง มันจะมันส์เหรอครับ คุณก็จะไม่รู้ว่าการพัฒนาในชีวิตคืออะไร แต่ถ้าวันนี้คุณมีคู่แข่ง คุณจะรู้ทันทีว่าคุณควรพัฒนาอะไรที่ทำให้คุณชนะได้ มันเรียกว่า ‘สนามแข่ง’ คุณทำยังไงก็ได้ครับให้ออกมาจากวงจรนั้นให้ได้ ถ้าออกมาได้ คุณก็พักได้ไม่ต้องวิ่งตลอดเวลา ถ้าเกิดว่าคุณไม่รู้และไม่หาวิธี คุณก็วิ่งอยู่อย่างนั้นแหละครับ วิ่งจนตัวตาย เพราะฉะนั้นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกๆ คนเขาพยายามบอกเทคนิคต่างๆ ลองเอาชีวิตของเขามาประยุกต์ใช้เป็นของตัวเอง ไม่มีใครก๊อปปี้การใช้ชีวิตของใครได้ คุณต้องดีไซน์ชีวิตของคุณเอง


Q : แล้วเทคนิคการทำธุรกิจของคุณล่ะ

A : ไม่ทำที่ผิดกฎหมาย ทำทุกอย่างอยู่บนความถูกต้อง จริงใจ และนำทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีต่อคนไทยมาจำหน่าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมนำเข้ามา ประเด็นแรกที่ผมบอกทีมงานเลยคือ มันดีกว่าชาวบ้านไหม มันถูกกว่าชาวบ้านไหม มันได้ประโยชน์ต่อคนเอาไปใช้ ต่อผู้บริโภคมากกว่าที่อื่นไหม ทำยังไงก็ได้ครับ ให้แตกต่างและดีกว่า แค่นั้นแหละครับคือเทคนิคของผม

Q : คิดว่าตอนนี้ตัวเองรวยหรือยัง

A : ยังหรอกครับ มันเป็นการลงทุน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความรวยมันวัดกันยังไง ผมอยากทำอะไรไปเรื่อยๆ อยากให้มันมั่นคง เป้าหมายในชีวิตผมไม่ใช่การที่รวยแล้วต้องทำงาน แต่คือไม่ต้องทำอะไรเลยและผมยังรวยอยู่ เพราะฉะนั้นผมก็ยังไขว่คว้าหาโมเดลธุรกิจนั้นอยู่เหมือนกัน ทุกๆ คนก็ต้องหามันให้ได้นะครับ ไม่ใช่ว่าหยุดแล้วเงินหยุดตาม แต่ถ้าเกิดว่าคุณหยุดแล้วเงินมันไม่หยุดอันนี้มันส์แน่นอน จะได้ไปช่วยเหลือสังคมกันได้นะครับ


Q : ล่าสุดที่นำเข้าสกู๊ตเตอร์ Moto Parilla มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรที่เลือกทำธุรกิจนี้

A : จุดกำเนิดของ Moto Parilla ที่ผมนำเข้ามา เนื่องด้วยวันหนึ่งได้รับโอกาสจากชาวอิตาลีโดยการที่เขาจะนำรถ Moto Parilla มาเอเชีย ซึ่งรูปโฉมของมันเป็นรถคลาสสิกในตำนานอยู่แล้ว บอดี้มันสวยงามและมีเสน่ห์มาก จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เราจะนำเข้ามาทำตลาดในเอเชีย และที่ผมปักธงไว้ที่ประเทศไทยเป็นที่แรก เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านการตลาด เลยตกลงจับมือนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย

Q : โดยลึกๆ แล้วเห็นว่าเป็นความชอบส่วนตัวด้วยใช่ไหม

A : ความใฝ่ฝันผมเหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วไปที่อยากจะมีรถมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเอง พอเรามีกำลังทุนก็อยากเป็นเจ้าของและจำหน่ายให้กับคนไทยได้ใช้กัน จุดกำเนิดคือความมีระดับที่สัมผัสได้ ผมมองว่าการทำธุรกิจมันต้องตอบโจทย์ หนึ่งเลยคืนกำไรให้สังคม พอมีโอกาสแล้วเรามองว่ารถรูปทรงสไตล์แบบเดียวกันนี้ในสมัยก่อนมันจะแสนสองแสนอัพ แต่เมื่อเรานำมาประกอบในโรงงานไทยมันประหยัดต้นทุนทันที ทำให้รถรุ่นนี้คนไทยสามารถสัมผัสได้ง่าย เลยตั้งคอนเซ็ปต์ว่า ความมีระดับที่สัมผัสได้ มีเงิน 70,000 ต้นๆ ก็สามารถมีรถสไตล์คลาสสิกได้

เราอยากให้รถได้ไปถึงมือผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด น้อยคนนะครับที่จะหยิบรถสไตล์แบบนี้มาทำ เพราะกำไรไม่เยอะ ผมเอามาขายถูกมาก อยากให้มันเป็นประโยชน์แก่คนไทย อยากให้คนที่เขารักแนวๆ นี้ได้สัมผัส

ผมเน้นเสมอเลยคือการผลิตต้องดีจริงๆ การดูแลหลังการขายก็ต้องดีมากเช่นเดียวกัน ทำให้เรามีโครงการคือในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหากรถเสียหรือพังโดยเกิดจากตัวรถเองเรามีบริการ 24 ชั่วโมง ไว้รับรถไปซ่อมให้ตลอดเวลา แต่ถ้าเกิดจากการขับขี่ก็สามารถโทรมาที่ศูนย์หรือส่งเข้ามาในไลน์แอดของบริษัทได้ เรามีการดูแล 24 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน เปรียบเสมือนว่าผมดูแลคุณตลอดเวลานั่นเอง เป้าหมายของผมคือจริงใจต่อลูกค้า ตั้งใจและทำมันจริงๆ และให้รถอยู่ในมือคนไทยให้ได้มากที่สุด มีแค่นี้ครับ


Q : ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในบ้านเราแข่งขันกันสูงมาก มีวิธีการฝ่าฟันเพื่อแชร์ส่วนแบ่งการตลาดอย่างไร

A : ความยากของตลาดรถคลาสสิกสกู๊ตเตอร์คือทุกคนที่ซื้อรถแนวนี้คือคนที่มีระดับ มีสไตล์ สังเกตง่ายๆ คนที่ขับไม่ใช่กลุ่มตลาดแมสแน่นอน แต่เป็นกลุ่มเฉพาะทางซื้อไปจอดเฉยๆ ซื้อไปถ่ายรูป ซื้อไปขับชิลล์ๆ หรือขับกันเป็นกลุ่มไปกินอาหาร ไปปาร์ตี้ เราวิเคราะห์การตลาดว่ารถทั่วไปกับรถคลาสสิกสกู๊ตเตอร์มันแตกต่างกัน ซึ่งกลุ่มตลาดรถทั่วไปยอดดิ่ง แต่กลุ่มทางเลือกไม่ว่าจะเป็นบิ๊กไบค์หรือคลาสสิกสกู๊ตเตอร์กลับสวนกระแสขึ้นมา ผมวิเคราะห์จากตรงนั้นเลยคิดว่า มันไปได้ แสดงว่ากลุ่มทางเลือกไม่ได้เดือดร้อนอะไร ทำให้กลุ่มนี้ยอดพุ่งขึ้น

เราเปิดตัว Moto Parilla ในงาน Expo เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ขายไปแล้วมากกว่า 1,000 คันครับ เรามีฐานคนรักมอเตอร์ไซค์มากขึ้นกว่าเดิม ปีหน้าผมอยากจะเพิ่มยอดขายให้มากกว่าเท่าตัวของปีที่ผ่านมา

Q : เสน่ห์ของการขี่รถแนวนี้ในการเดินทางคืออะไร

A : ผมมองว่า Moto Parilla มันเท่นะครับ มันมีระดับแล้วก็เป็นจุดสนใจ รถพวกนี้มันเหมือนเกิดมาเพื่อเรา นอกเหนือจากคุณเลือกสีที่ตรงตามความต้องการแล้ว ยังมีชุดแต่งอีกมากมาย มันแต่งได้เหมือนของเล่น มันสนุกแล้วก็มีเสน่ห์ตรงที่ว่าขับง่ายมาก ไม่ต้องปวดฝ่าเท้าเลย ไม่มีเปลี่ยนเกียร์ ไม่ต้องไปเบรกเท้า บิดอย่างเดียวมีแค่นี้เอง ด้วยลวดลายที่โดดเด่นของรถแนวนี้มันจึงมีเสน่ห์ มีความเท่ นี่แหละผมชอบ

เปรียบๆ ไปมันก็เหมือนกับชีวิตคนเราเนี่ยแหละครับ มันมีช่วงที่ดีและช่วงที่มีปัญหา เมื่อเจอปัญหาเราก็แก้กันไป แล้วเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ


Q : คุณเชื่อไหมว่าคนรุ่นใหม่สามารถเป็นนักธุรกิจ และทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้

A : เชื่อครับ เด็กรุ่นใหม่เก่งมากกว่าคนรุ่นเก่า เพราะมีเทคโนโลยีมารองรับและช่วยเหลือ แต่คุณต้องศึกษาและเรียนรู้จากคนรุ่นเก่าก่อน แล้วค่อยเอามาต่อยอดให้ประสบความสำเร็จ

เด็กสมัยนี้เก่งมาก คิดเรื่องเงินอิเล็กทรอนิกส์ คิดเรื่องเป็นเจ้าของโรงแรม เป็นเจ้าของรถแท็กซี่ โดยไม่ต้องสร้างโรงแรมหรือเป็นเจ้าของรถแท็กซี่ เพราะฉะนั้นน้องๆ ทุกคนสำเร็จได้แน่นอน ขอให้จับแนวทางให้ถูก

อย่างปัจจุบันที่เห็นชัดสุดคือเกม สมัยก่อนเขาด่ากันว่าเล่นไปทำไม พ่อแม่ตี แต่สมัยนี้เด็กที่เล่นเกมรวยกว่าคนที่ทำงานทุกอาทิตย์อีก ทั้งขายของไอเท็มในเกม สร้างเกม เป็นกรรมการเกม ลงแข่งขันเกม จนมี E-Sport ขึ้นมา เห็นไหมครับโลกมันไม่ใช่แบบเดิมแล้วนะ ทุกๆ คนไม่ต้องยึดติด ชอบหนังสือไปทำอะไรเกี่ยวกับหนังสือ ชอบเกมคุณเอาให้สุดเลย ชอบกีฬาก็ไปให้สุด


Q : ในฐานะคนเคยล้มมาก่อน อยากฝากอะไรถึงคนทำธุรกิจที่กำลังท้อ

A : เอาสิ่งที่ฟิล์มเล่าไปเป็นแรงบันดาลใจครับ เพราะทุกอย่างที่เล่ามามันเป็นความจริงแฝงด้วยความหวังดีและสอดแทรกความรู้ต่างๆ ที่จะมอบให้กับทุกๆ คน ความท้อ ความเสียใจ ความผิดหวัง มันต้องเจอกันทุกคน

ไม่ใช่ว่าคุณเกิดมาปุ๊บ คุณประสบความสำเร็จเลย มันไม่มีจริงครับ เพราะทุกความสำเร็จไม่ได้เกิดจากความฟลุก แต่เกิดจากการลงมือทำ ลองผิดลองถูก ลองเจ็บลองเสียใจ คุณก็จะเรียนรู้มัน และคุณจะรู้ทันทีว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ขออย่างเดียว วิ่งตามความฝันอย่าหยุด หยุดก็คือแพ้ คนแพ้ไม่มีทางได้ถ้วย แต่ถ้าคุณชนะ คุณจะได้รางวัลชีวิตที่เป็นของตัวเองทันที
สัมภาษณ์ : วรชัย รัตนดวงตา
เรียบเรียง : แพรพรรณ โพธิ์งาม
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์