Marsmag.net

'ประเทศนี้ พล่ากุ้งเอาอยู่้'!!

หลายปีมานี้ พิธีกรหัวฟู ที่ซ่อนใบหน้าไว้หลังแว่นตา สีเจ็บทรงแปลกตา ผู้ซึ่งยัดเยียดเสียงหัวเราะ ทันทีที่ก้าวขึ้นบนเวที พร้อมไมโครโฟนในมือ มักมาให้ผู้เสพสื่อโทรทัศน์ หนังสือ วิทยุ รวมไปถึงงานอีเวนต์คูลๆ ได้เห็นหน้ากันจนชินตา
“พล่ากุ้ง” ซึ่งมีชื่อจริงตามบัตรประชาชนว่า “วรชาติ ธรรมวิจินต์” แน่นอนว่า ภาพที่ฉาบภายนอกของเขาที่เป็นเหมือนคนบ้าๆ บอๆ ไปเรื่อย จะทำให้คุณคิดว่า รู้จักตัวเขาดีพอ และบางที อาจเผลอไผลไพล่จินตนาการว่า วันๆ ไอ้หมอนี่คงไม่ทำอะไร นอกจากปากหมา ปากดีไปวันๆ แต่อย่ากระนั้นเลย พับเก็บจินตนาการของคุณนั้นใส่กล่องไว้สักครู่แล้วนั่งลงอ่านบทสนทนาชิ้นนี้สักพัก
เราไม่หวังให้คุณเปลี่ยนความคิด แต่ก็ไม่ชัวร์นะว่า บางที จินตนาการที่คุณพับเก็บลงกล่องใบนั้น อาจไม่ถูกเปิดออกมาอีกเลยก็เป็นได้…

พล่ากุ้งนี่เป็นชื่อเล่นจริงๆ เลยใช่ไหม?
ใช่ครับ เป็นชื่อเล่นจริงๆ เลย

มาเริ่มงานในวงการบันเทิงตอนไหนอย่างไรครับ?
พี่โหน่ง อะเดย์ (วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์) ชวนให้มาเป็นพิธีกรงาน life in a day ครั้งที่ 1 คือก่อนหน้านั้นก็เป็นพิธีกรกะโหลกกะลา อยู่ที่มหา'ลัย (ศิลปากร) พากษ์บอล พากษ์กีฬาสี อะไรพวกเนี้ยะ งานนู่นนี่นั่น คือง่ายๆ ว่า ตอนอยู่มหา'ลัย เวลามีงานอะไรที่ต้องการพิธีกรมันๆ ฮาๆ ก็ต้องใช้บริการผมตลอด
แล้วต่อมา พี่โหน่งเขาจะทำหนังสือเป็น theme ทรงผมอัฟโร่ เขาก็รวบรวมคนที่ทำผมทรงอัฟโร่มาสัมภาษณ์ ผมก็ถูกชวนเข้าไปให้สัมภาษณ์ด้วย คุยไปคุยมา เขาถูกใจ ก็บอก เฮ้ย เอ็งมาเป็นพิธีกรงาน life in a day ให้พี่หน่อยดิ มันเป็นงานรวมวงดนตรีแบบมันๆ น่ะ งานนั้นก็ถือเป็นงานแรกที่แจ้งเกิด

แต่ได้ข่าวว่า งานที่ทำไม่เกี่ยวกับที่เรียนมาเลย?
โอ๊ย…ไม่ได้เกี่ยวเลยครับ ผมจบจิตรกรรม วาดรูปมา และออกตัวก่อนเลยนะว่าผมนี่เรียนเก่ง เกียรตินิยมนะครับ เคยส่งงานประกวดจริงจังเลยนะ ส่งงานศิลปกรรมยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย ผมได้รางวัลมาด้วยนะ มีอาจารย์จากจุฬาฯ มาซื้องานผม ซื้อไปเก็บไว้เลย ในช่วงนั้น (หลังปี 45) ถ้าใครอยู่ในสายศิลปะ ต้องรู้จักงานพล่ากุ้ง เพราะตอนนั้นส่งประกวดได้รางวัลเยอะมาก แต่พอเรียนจบมา ไม่รู้ทำไม พอไปสมัครงาน ที่แรกที่ไปสมัครงานที่แรกคือสาระแน ในตำแหน่งครีเอทีฟ ก็ปรากฏว่าได้เข้าไปทำงานนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับวาดรูปเลย อาจารย์เก่าๆ เวลาเจอหน้ากัน ก็ถาม เธอไม่ทำงานศิลปะแล้วหรอ

แล้วตกลง ทิ้งงานศิลปะไปเลยไหม?
ณ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดจะทิ้งนะ แต่เราทำงานมาก ยิ่งเป็นครีเอทีฟ แล้วยิ่งทำรายการสาระแนเนี่ยะ โห เขาเหมือนรายการอื่นที่ไหน มันไม่มีแพทเทิร์น ไม่ใช่ว่าเบรคหนึ่งสัมภาษณ์ เบรคสองเล่นเกม เบรคสามเปิดป้าย เพราะรายการแทบจะเปลี่ยน theme ทุกสัปดาห์เลย
ส่วนงานวาดรูปผมไม่ได้ตั้งใจทิ้งเลย แต่มันไม่มีเวลาจริงๆ แต่มาตอนนี้ก็คิดจะกลับมาวาดอยู่เหมือนกันนะ เดี๋ยวรอจังหวะสวยสวยก่อน คิดว่าน่าจะดี

ที่บอกว่า ทำงานมาก ทำอะไรอยู่บ้าง?
ต้องบอกก่อนว่า ตอนนี้ลาออกจากการเป็นดีเจมาแล้วนะครับ เพราะผมมีวงดนตรีของตัวเองชื่อว่าวง magenta เป็นวงที่เพลงดังมากกกก…(ลากเสียงยาว) แต่ไม่มีใครรู้จักวง ไม่รู้ว่าใครร้อง ไม่รู้ว่า magenta คือวงอะไร พล่ากุ้งอยู่วงนี้เหรอ (หัวเราะ)
ผมออกมาเพราะผมตั้งใจจะมาทำวงดนตรี มีวงก็ต้องมีโชว์คอนเสิร์ต ซึ่งแน่นอนมันต้องเล่นตอนกลางคืนแล้วผมก็ดันเป็นดีเจจัดช่วงกลางคืน เวลามันทับซ้อนกัน ผมเลยต้องเลือก ยิ่งพวกสมาชิกวงเนี่ย ผมก็เป็นคนไปดึงตัวมาจากขอนแก่นบ้างอะไรบ้าง มันก็เลยเป็นสิ่งที่ผมจะต้องทุ่มเทให้เต็มตัว
ส่วนงานพิธีกร ผมบอกว่า มันเป็นรายได้หลักเลยดีกว่า แล้วก็รู้สึกว่า สไตล์เราคนคงชอบมั้ง ก็มีคนจ้างต่อเนี่ยงมาเรื่อยๆ ซึ่งนอกจาก event ต่างๆ แล้ว ก็มีรายการทีวีอีกหลายรายการ ทั้งฟรีทีวี เคเบิ้ลทีวี อินเตอร์เน็ตทีวี (รายการเก้าอี้เสริม สโป๊คด๊าค ดอท ทีวี)

นึกยังไงจะมาไปดีทางดนตรีขนาดนั้น?
จริงๆ ต้องบอกว่า ผมฟอร์มวงประกวดมาตั้งแต่สมัยเรียน 3 ปีซ้อนเลย ปีแรก ปีที่ 2 ตกรอบแรก แต่ปีที่ 3 ผมได้เข้าชิงทั้งแบบสตริงและแบบอคูสติกเลยนะ ตอนนั้นก็ใช้ชื่อ magenta นี่แหละ ตอนนั้น วงผมฮือฮามาก ผมเอาจักรยานขึ้นไปเวที เคาะนู่นเคาะนี่ แล้วเป็นเพลงด้วยนะ สุดท้าย magenta ก็ได้เป็นตัวแทนของ ม.ศิลปากร ไปแข่งระดับมหา'ลัยชิงแชมป์ประเทศไทย หลังแข่งจบ วงผมไม่ได้รางวัลนะ แต่ค่ายเพลงใหญ่ๆ โทรตามให้วงเราเข้าไปออดิชั่น คือส่วนหนึ่ง องค์ประกอบวงมันฮือฮา บ้าๆ บอๆ ตามสไตล์เด็กศิลป์

เป็นเด็กศิลป์ แล้วตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็นศิลปินไหม?
คำนี้ ผมคิดว่า ยังไม่ได้นะสำหรับ คำว่าศิลปินมันยิ่งใหญ่เกินไป

ยิ่งใหญ่อย่างไร ก็เพียงแค่ศิลปิน?
ผมรู้สึกว่า การที่จะเป็นศิลปินได้ มันต้องมีระยะเวลา ต้องผ่านการสร้างสรรค์งานศิลปะมายาวนาน และที่สำคัญ งานต้องเป็นที่ประจักษ์อย่างแท้จริง คนนั้นเขาต้องน่าเคารพ น่าหาความรู้จากเขา ประมาณนั้นครับ

คนๆ เดียวสวมหมวกหลายใบ มีเหตุผลอะไรที่ต้องเหนื่อยมากถึงเพียงนั้น ทั้งที่ทำอย่างเดียวก็น่าจะพออยู่พอกิน?
เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ อยากทำมานานแล้ว อย่างเรื่องดนตรีผมก็อยากทำมาตั้งนานแล้ว เพลงที่ผมแต่ง เนื้อหาแม่งไม่เหมือนชาวบ้านอ่ะ มันเหมือนกับตัวผมที่บ้าๆ บอๆ ไม่เหมือนชาวบ้าน เพลง “สุดหล่อ” ที่ฟีเจอริ่งกับโอปอล์ ผมแต่งเสร็จ เอาไปให้เพื่อนที่เป็นนักดนตรีดู พอเข้าท่อนฮุก เพื่อนบอก เฮ้ย นี่มันไม่ใช่เพลง นี่แม่งเป็นเพลงได้ไงวะ เราก็บอก เฮ้ย มันเป็นเพลง แต่เป็นเพลงแนวกู โลกมันไม่ได้มีแค่เพลงที่พวกมึงเห็นซะหน่อย มีเป็นร้อยๆ พันๆ แนว ผมก็คิดว่าทำไงดีให้เพลงเรา มีคนชอบ มีคนฟัง ก็ฝ่าฟันมาเรื่อย อย่างเพลงสุดหล่อ นี่ก็เป็นเพลงที่ดังมาก คนพูดถึงเยอะมาก
กลับมาเรื่องงาน หมวกแต่ละใบของผม มันเป็นที่มาของรายได้ที่ได้เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว และเป็นสิ่งที่เราชื่นชอบ ผมโชคดีอยู่อย่าง ตรงที่ครอบครัวผมให้ได้เรียน ได้ทำอย่างที่ชอบ เหมือนจะบังคับนะ แต่ก็ไม่บังคับ อย่างตอนเอนทรานซ์ พ่อแม่จะให้เราเรียนเกี่ยวกับพวกเครื่องจักร เพราะที่บ้านผมทำโรงพิมพ์ ซึ่งตอนนั้น ถ้าผมเอนท์ศิลปะไม่ติด ผมก็ต้องไปเรียนด้านนั้น เพื่อสานต่องานที่บ้าน แต่ผมก็เอนท์ติดและได้เรียนอย่างที่ใจเราชอบ ผมเลยทำได้ดีได้เกียรตินิยมไง เพราะถ้าให้ไปเรียนเลข เรียนวิทยาศาสตร์ ผมคงแย่ ผมแม่งโง่ชิบหาย
ผมเชื่อว่ามีคนเยอะมากที่ต้องทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ ไม่ได้รัก กลายเป็นว่า ก็ต้องทำให้เสร็จๆ ส่งๆ ไปที ทำให้ได้เงินเดือนไปเดือนๆ แต่มันไม่ได้เป็นการทำเพื่อต่อยอด ทำเพื่อต่อฝัน อย่างที่ทำวงดนตรี ผมชอบ ได้ทำในแนวของตัวเอง คนที่ชอบ เขาก็ยอมรับในสิ่งที่เราทำ เขาชอบเพราะมันเป็นสไตล์เรา
อย่างงานพิธีกร ผมก็เป็นในแบบของผม ตัวตนของผม ปากหมา จิกๆ กัดๆ แต่ปรากฏว่า เขาชอบเว้ย มีงานเว้ย คนแม่งจ้างเว้ย อย่างงี้แสดงว่ากูมาถูกทางแล้วดิเนี่ย ให้ผมไปยืนใส่สูทพูดเนี้ยบๆ บนเวที ผมไม่ใช่

เห็นย้ำหลายครั้งว่า “บ้าๆ บอๆ” ตกลง บ้าบอแค่หน้าจอ หน้าผู้คน หรือบ้าจากเลือดเนื้อตัวตนและจิตวิญญาณจริงๆ?
บอกก่อนนะ ผมเป็นคนตั้งใจทำงาน เนี้ยบกับการทำงานมาก เพื่อนสนิท-เพื่อนร่วมงานจะรู้ ผมเป็นคนตลกโปกฮา เล่นมุกปัญญาอ่อนไปเรื่อยเนี่ยแหละ แต่เวลาทำงานจะเนี้ยบ ผมเป็นคนที่คิดจะทำอะไรแล้ว ต้องให้ได้อย่างที่คิด หรือว่าต้องดีกว่าที่คิด ไม่ใช่ว่าถูๆ ไป ถ้าจบงานแล้วไม่ได้อย่างที่ตัวเองคิด จะรู้สึกหงุดหงิด แบบ…แม่งไม่ใช่ว่ะ ผมเป็นคนมองภาพในตอนจบไว้ล่วงหน้า แล้วไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ ในโชว์แต่ละโชว์ของ magenta ผมเป๊ะมาก เพื่อนในวงก็ยังบอกเลยว่ามึงจะอะไรขนาดนั้นวะ แต่ผมคิดเสมอว่า ถึงเราจะเป็นวงเล็ก ถ้าเราเป๊ะ เราเนี้ยบ คนจะเห็นว่าเราตั้งใจ ไม่ใช่มาโชว์ส่งเดชแล้วรับเงินกลับบ้าน เขาจะจำเราได้ว่าไอ้วงนี้แม่งไม่ธรรมดา นี่แหละคือสิ่งที่เป็นผม

เอกลักษณ์อีกอย่างของคุณก็คือ แต่งตัวแรง จัดจ้านมาก ตรงนี้เป็นการตลาดพีอาร์ตัวตน หรือว่า…?
เป็นผมจริงๆ เลยครับ หลายคนเห็นผมอัฟโร่ ก็ถามว่าผมจริงรึเปล่า เพราะเห็นผมชอบใส่ผ้าคาดผม ส่วนแว่นตา มันเริ่มจากตอนแรกที่ผมเริ่มทำพิธีกรกับสนุ๊กเกอร์ หัวฟูอัฟโร่เหมือนกันอยู่ปีกว่า กลายเป็นว่า คนจำไม่ได้ เลยคิดว่าทำไงดี ก็เลยหาแว่นมาใส่ หลังจากนั้นดีขึ้นเว้ย คนเริ่มจำได้ ผมก็เลยใส่มาตลอด หลังๆ ผมก็พยายามหาเลนส์ พวกเลนส์ auto มาใส่ เพื่อจะใส่ได้ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน
ยกตัวอย่างหนังที่ติดต่อมาให้ผมเล่น เป็นเรื่อง “รักสุดทีน” เล่นกับมาริโอ เมาเร่อ เขียนบทและกำกับโดย พี่โต๊ะ-พันธมิตร (ฉายปี 2555) ผมถามก่อนเลยว่าผมต้องถอดแว่นมั้ย ถ้าให้ถอดแว่น ผมไม่เล่นนะ เพราะว่าใครมาให้ผมถอดแว่น ถือว่าไม่ให้เกียรติพล่ากุ้ง ถือว่าหยาบคายมาก ผมไม่เคยถอดแว่นออกสื่อ (หัวเราะครืน) จนตอนนี้มันก็เป็นสไตล์ของผม เป็นเอกลักษณ์ของผมไปแล้ว ภาพลักษณ์ของพล่ากุ้ง ต้องเป็นประเภทแบดบอย หัวฟู ปากหมา มันๆ โผงผาง กวนตีน แนวโชว์ แนวอวด อะไรประมาณนั้น

หน้ากล้อง กับ หลังกล้องของพล่ากุ้ง ต่างกันไหม?
ไม่ต่างเลยครับ อย่างงี้เลย แต่เวลาอยู่คนเดียว ผมก็จะพยายามนิ่งๆ ให้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะๆ อยู่คนเดียวจะไม่พยายามไปที่ที่คนพลุกพล่าน ใช้วันว่างอยู่กับตัวเอง คือวันทำงานผมใช้พลังงานเยอะเกินไป มันเหมือนเราเริ่มตัวตนของเราแบบนี้มาตั้งแต่แรก งานส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็มักจะหวังพลังจากพล่ากุ้ง อย่างถ้าเป็นพิธีกรอีเวนต์ เค้าจะรู้เลยว่า ไอนี่อ่ะลากได้ อย่างเคยมีงาน นักดนตรีประจำงานรถติดมาสาย เลทไป 2 ชั่วโมง ผมก็บ้าบอไปเรื่อย ชวนคนเล่นเกมส์จับรางวัล ไปเรื่อยเปื่อย คิดดูนะ สองชั่วโมงเลยอ่ะที่พิธีกรต้องอยู่บนนั้น

ตกลง มีวันที่ชีวิตว่างๆ บ้างหรือเปล่า?
มีครับ แต่จริงๆ แล้ว นอกจากการที่ร่างกายได้พักผ่อน ไม่ต้องออกไปไหน แต่ในเรื่องความคิด ผมว่าแม่งเหมือนวันว่างที่ว่างไม่จริงอ่ะ เพราะสมองผมแม่งก็ยังต้องคิดว่า ฮิกาซีนเล่มใหม่จะเขียนอะไร เพลงใหม่ของ magenta จะแต่งยังไง แนวไหน อย่างตอนนี้เขียนหนังสือ zoo ด้วยนะ แล้วแม่งออกทุกอาทิตย์ โอ้โหแม่ง บางทีอยากจะมีเวลาว่าง แบบหายไปเลยทั้งเดือน
ผมเลยรู้สึกว่า เวลาว่าง แม่งว่างไม่จริงอะ เหมือนทำงานตลอดเวลา คิดอะไรได้ก็ต้องรีบจด หรือไม่ก็ยกมือถือขึ้นมาอัดไว้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวลืม
ตอนนี้ ผมเจอสัจธรรมแล้วว่า วันนึง ผมจะรับงานแค่หนึ่งงาน ไม่ให้เกินนั้น เพราะไม่งั้น มันจะไม่เต็มที่ แล้วมันไม่มีความสุขอ่ะ อย่างทำงานแรกอยู่ ต้องคิดแล้วว่างานที่สอง จะไปทันมั้ยว้า รถแม่งจะติดไหม งานแรกแม่งจะเลทมั้ยวะ แล้วมันเครียดน่ะ ได้เงินเยอะก็จริง แต่จะเอามาทำไมวะ ต่อให้เงินเยอะแค่ไหนมาจ้างก็ไม่ไหว นอกจากแบบช่วยเหลือกันจริงๆ ยิ่งตอนนี้ถ้ามีคิว magenta มา ผมจะไม่รับงานอื่นเลย เพราะเตรียมพลังไว้ให้ magenta เต็มๆ

เคยมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องการ Landing ให้กับชีวิตไหม?
ผมก็คิดไว้บ้างแล้วนะว่าจะอยู่ในวงการนี้อีกสัก…(เว้นวรรคคิด) ไม่เกิน 10 ปี

แล้วหลังจากนั้นล่ะ?
ก็…(เว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนกระซิบ “นี่ผมไม่เคยบอกเล่มไหนเลยนะ”) คือตอนนั้น ผมอาจจะไม่มีงานแล้ว หรือไม่ก็ดังกระฉูดไปเลย ผมก็ว่าจะเลิกทำแล้ว หาที่เงียบๆ อยู่ อาจจะยังเขียนหนังสืออยู่บ้าง หรือไม่ก็ไปบวช ยังไม่รู้

มองขณะนี้ก่อน เมื่อมองย้อนกลับไปที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเอง รู้สึกอย่างไรบ้าง?
ผมว่าผมพอใจ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากซื้อได้ซื้อ อยากทำอะไรได้ทำ แต่เวลาอาจจะไม่ค่อยมี เพราะสิ่งที่ผมใช้เป็นปลายทางนั้น คือความนิ่ง ความเงียบ ความพอเพียง ซึ่งตอนนี้มันยังไปไม่ถึง ตอนนี้ผมยังต้องใช้เงิน ใช้ปัจจัย ใช้ทรัพยากรเยอะ ตอนนี้ผมก็เหมือนคนทั่วไป ยังผ่อนคอนโดฯ เหมือนคนทั่วไป ผมว่าจุดสูงสุดน่าจะไม่ต้องใช้เงิน แต่อยู่ได้ หรือไม่ก็ไม่ต้องทำงานแต่อยู่ได้ อย่างมีธุรกิจ วันนึงเราอาจจะยกหูโทรศัพท์กริ๊ง เฮ้ยเป็นไงวะ แล้วทุกอย่างมันก็ดำเนินต่อไปได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสรึเปล่านะ
ผมยังเคยแปลกใจเลยนะว่า คนที่รวยเป็นพันล้าน ทำไมเขายังไม่หยุด หรือเขาหยุดไม่ได้ แต่ถ้าผมมีพันล้านนะ ให้พ่อกับแม่ 500 ล้าน ใช้เองอีก 500 ล้านก็พอแล้ว ตายยังใช้ไม่หมดเลย หรือหมดวะ? (ฮา) คือคนรวยแม่งจะซื้อทีวีร้อยเครื่องเหรอ แม่งก็ซื้อเครื่องที่ดีที่สุดแค่เครื่องเดียว มันจะสักเท่าไหร่กัน คือผมก็ไม่รู้ไง คนรวยอย่างนั้น เขาอาจจะมีลูกน้องเป็นพันคน แล้วไหนจะครอบครัวเขาอีกที่ต้องรับผิดชอบ

สมมติว่า ถ้าเหลือ “หมวก” เพียงใบเดียวให้เลือก จะเลือกใบไหน?
คงเลือกพิธีกร เพราะมันเป็นงานแรกที่ผมทำแล้วได้เงิน แล้วผมแม่งรู้สึกว่า มันเป็นงานที่พระเจ้าประทานให้ผม เป็นงานที่ไม่ต้องลงทุนเลย แต่ลงแรง ทุกอย่างเขามีให้หมดแล้ว ไมค์ ลำโพง ก็ไม่ต้องเอาไปเอง ไฟฟ้เขาก็ออกให้ คุณแค่เอาเสียง เอาพลังงานของคุณไป เสร็จ คุณก็ได้เงินแล้ว ง่ายดายที่สุดแล้ว
แต่โอเค กว่าจะมายืนจุดนี้ได้ มันต้องผ่านการเรียบเรียง เพราะพิธีกรที่คนเค้าไว้ใจคือ คุณต้องรู้ว่าคุณควรพูดอะไร และไม่ควรพูดอะไร อยู่ต่อหน้าคนเยอะ คุณต้องคอนโทรลให้ได้ คุณต้องรู้ว่าคุณพูดอะไรแล้วมันใช่กับตรงนั้น ผมว่างานพิธีกร เขาซื้อประสบการณ์นะ ซื้อชั่วโมงบิน

พูดอย่างนี้แสดงว่าพล่ากุ้ง “เอาอยู่” กับงานพิธีกร?
เอาอย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นงานมันๆ ของพวกวันรุ่น เฮฮา อินดี้ หนุกหนาน ผมเอาอยู่! ผมมั่นใจ ประเทศนี้ พล่ากุ้งเอาอยู่! เพราะผมเข้าใจฟิลล์เด็กจี๊ดๆ พวกนั้น ส่วนงานพวกเป็นทางการ คนใหญ่คนโต ผมไม่ค่อยถนัด ส่วนหนึ่งเขาก็ไม่เลือกผมอยู่แล้วล่ะ (หัวเราะ)

กว่าจะมาเป็นพล่ากุ้งอย่างที่เห็นเช่นทุกวันนี้ มีอะไรเป็นแรงผลักดัน?
ผมมีคติเพี้ยนๆ ที่ผมใช้เป็น สเตัสใน hi5 อยู่อันนึง (hi5 เลยเหรอ เก่าไป๊) ว่า “หน้าตาไม่ดี ต้องเร่งรี่ กว่าคนอื่นสองเท่า”
ครั้งหนึ่ง ผมไปเป็นพิธีกรในงานอีเวนต์งานนึง ตอนนั้นผมยังโนเนมอยู่เลย มีพระเอกคนหนึ่งมาโชว์ตัว ประมาณ 15 นาทีแล้วไป ส่วนผมทำอยู่มาประมาณ 3-4 ชั่วโมง พอตอนรับเงิน ผมแม่งดันเหลือบไปเห็นตัวเลขที่พระเอกคนนั้นเขาได้ หู๊วววว แม่งต่างกัน 3 หลักอ่ะ เราก็ว่าเราเหนื่อยมากเลยนะ ตอนนั้นก็คิดว่าทำไงให้เราขึ้นไปอยู่จุดนั้นได้วะ ผมเลยใช้คติเพี้ยนๆ อันนี้ของผมมาตลอด ถ้ามาคิดอีกแง่นึงนะ เราหน้าตาแบบนี้ แต่ยืนอยู่บนเวทีเดียวได้กันอะ เขาเลือกเราเพราะอะไรกันวะ เขาไม่ได้เลือกหน้าตาเราอยู่แล้วล่ะ แสดงว่าเป็นวาทศิลป์
ฉะนั้นเราต้องไปให้สุด ทุกครั้งที่ผมทำอะไร ผมบอกตัวเองตลอดว่าผมจะต้องสุดในส่วนของผม ผมไม่รู้คนอื่นเค้าคิดยังไงนะ แต่พล่ากุ้งแม่งต้องสุด ผมขายตัวตนอย่างชัดเจน