“อากังฟู” หรืออีกนิกเนม “เฮียกังฟู” สำหรับผู้ชายที่มีชีวิตอยู่ในโลกราว 40 ปีขึ้นไป จำนวนไม่น้อย คงเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามนี้มาบ้าง นั่นยังไม่ต้องนับรวมว่าหลายคนคงคุ้นเคยระดับซี้ปึ้กกับ “เฮีย” หรือ “อา” คนนี้ ทั้งที่เขาไม่ได้มีศักดิ์เป็นญาติฝ่ายใด อีกทั้งไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาเลย เหตุผลที่เรียบง่ายที่สุด ย่อมมิใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นเพราะว่า “อากังฟู” คือต้นตำรับระดับมาสเตอร์ที่มีบทบาทไม่ต่างไปจาก Teacher หรือ “ครูผู้สอน” ซึ่งจูงแขนนักศึกษาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ให้โลดล่องท่องไปในโลกแห่งการเรียนรู้เรื่องราวทางเพศ ในยุคสมัยหลายทศวรรษก่อน
ย้อนให้ฟังแบบคร่าวๆ สำหรับชาวเราที่เกิดไม่ไว ใหญ่ไม่ทัน “อากังฟู” หรือ “เฮียกังฟู” คือผู้ให้กำเนิดนิตยสารอันถือเป็นตำนานความบันเทิงข้างเตียงฉบับหนึ่งของหนุ่มไทย อย่าง “ไทยเพลย์บอย” แน่นอนว่า ในบางมุมมอง หนังสือหัวนี้มันก็คือเครื่องมือกระตุ้นสวาทหรือปลุกใจเสือป่าดีๆ นี่เอง แต่ทว่านั่นเป็นมุมมองที่ถูกต้องทั้งหมดแล้ว ใช่หรือไม่?
…ในวันที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคสมัยที่ใครต่อใครสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความเสียวกันได้เพียงแค่ปลายนิ้วคลิก รูปภาพหรือเรื่องราวเร้าราคะนับหมื่นๆ รายการ ก็กระเด้งมาชนหน้า
…ในวันที่สังคมกำลังป่วยไข้กับเรื่องราวความรักซึ่งหมักหมมผสมปนกับกลิ่นคาวของความใคร่ ปัญหารักท่วมพิภพ ปัญหาเซ็กซ์แน่นปฐพี
เราเดินทางข้ามเวลา นั่งสนทนากับชายวัย 67 ผู้เป็นตำนานในเรื่องรักเรื่องใคร่ “ชูชาติ ธนมงคลไชย” เจ้าของนามปากกาเลื่องชื่อซึ่งเราเอ่ยถึงไปแล้วข้างต้น
ก่อนเรื่องราวหลากรสจะเดินทางลงสู่เครื่องบันทึกเสียง เราเลียบๆ เคียงๆ ถาม ด้วยความอยากรู้ว่านิกเนม “กังฟู” นั้น ท่านได้แต่ใดมา ชายชราที่ยังดูปึ๋งปั๋งอย่าง “อากังฟู” เล่าว่า มันเกิดจากช่วงเวลายุคนั้น เพลงกังฟูไฟติ้งกำลังดัง บวกกับตัวเขาเองในวัยหนุ่มชอบไว้ผมฟู สมัยยังเป็นช่างถ่ายภาพให้กับนิตยสารหลายฉบับ ฉายาที่ใครต่อใครมักเรียกเขาก็คือ “ไอ้ฟู” ดังนั้น เมื่อมิตรสหายหัวก้าวหน้าคนหนึ่งชวนทำนิตยสารปลุกเร้าความสยิวอย่างไทยเพลย์บอย “ชูชาติ ธนมงคลไชย” เลยถือสิทธิ์ปลุกเสกสถาปนาตัวเอง เป็น “กังฟู” นับแต่นั้นมา
“กังฟู” ผู้นี้ อาจไม่ได้มีวิทยายุทธ์แบบเฉินหลงในหนัง หรือมีกำลังภายในระดับปามีดไม่พลาดเป้าอย่างลี้คิมฮวง แต่เขาก็คือกังฟูคนหนึ่ง เพียงแต่เป็นกังฟูผู้เชี่ยวชาญในเชิงยุทธ์อีกแบบ และมันเป็นเชิงยุทธ์ในระดับที่ต้องใช้วาทกรรมของนักเขียนยุคเก่าบางท่านซึ่งเชิดชูกันด้วยถ้อยคำทำนองว่า เป็นผู้มี “เชิงยุทธ์ไม่สิ้นเสร็จ” อันสามารถจะหมายความถึงการมีหมัดเด็ดใหม่ๆ ปล่อยออกมาให้คนฮือฮาได้เสมอๆ หรือคุณจะหมายความตามทะลึ่งแบบที่คุณคิดคำนึงอยู่ในใจ เราก็คงมิอาจไปห้ามปราม…
“เอ็งไปดูนางแบบไทยเพลย์บอยสิ
โคตรห่วยเลย หน้าตาแม่งบ้านนอก”
“กังฟูสไตล์”
กับ 4 คอลัมน์ตำนานสยิว
ก่อนที่โลกจะรู้จักป๊อบแดนซ์ท่าม้าอย่าง “กังนัมสไตล์” ก่อนหน้านี้หลายสิบปี หนุ่มไทยได้ลิ้มรส “กังฟูสไตล์” กันมาก่อนแล้ว ในยุคสมัยที่หนังสือวาบหวิวสยิวทรวงเรียงรายเกลื่อนกลาดอยู่บนแผงเย้ยฟ้าท้ากฎหมาย “ไทยเพลย์บอย” ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น ด้วยอุดมการณ์บันดาลความเสียวสู่คนดูผู้อ่าน
“ชื่อไทยเพลย์บอย เราก็หยิบยืมมาจากเมืองนอก” อากังฟู เริ่มเล่าเท้าความ “เขามี เพลย์บอย (Playboy บริหารงานโดยฮิวจ์ เฮฟเนอร์) แต่ของเราทำไทย ถึงไม่เอานางแบบจากเมืองนอก ไม่เอาเลย เอานางแบบไทยๆ นี่แหละมาถ่าย ทีนี้ ในช่วงนั้นเราก็มีคอนเซ็ปต์อยู่ว่า ไม่สวยก็ถ่ายได้ ขี้เหร่ก็ถ่ายได้ ลืมเรื่องหน้าตาไปเลย ฉบับอื่นเขาต้องสวย นางแบบต้องรูปร่างหน้าตาดี แต่ไทยเพลย์บอยเน้นสรีระอย่างเดียว มันก็เลยกลายเป็นที่ฮือฮาว่าไอ้หนังสือเล่มนี้มันห่วย นางแบบแต่ละคนดูแล้วอย่างกับขึ้นมาจากบ่อหรือท้องนาอย่างนั้นเลย เอ้า!ก็ยอมรับไง เพราะว่าในความคิดเรา ถ้าเราเอาความสวยไปสู้กับความสวยเขาเนี่ย มันก็เคียงบ่าเคียงไหล่ ไม่แตกต่าง เราเอาความไม่สวยนี่แหละ แล้วให้ไอ้พวกนั้นน่ะมันหยามเรา ให้ดูถูกเรา ว่านางแบบแม่งห่วย ทีนี้หารู้ไม่ว่า เมื่อมีข้อครหาตรงนี้มากขึ้น ก็จะมีเสียงแบบ โห…นางแบบเล่มนี้สวย ฉบับนี้สวย เอ็งไปดูนางแบบไทยเพลย์บอยสิ โคตรห่วยเลย หน้าตาแม่งบ้านนอก อะไรอย่างนั้น แต่เขาต้องไปซื้อ เขาต้องกลับไปซื้อดูว่ามันห่วยจริงหรือเปล่า
“เราต่อสู้กับเขาไง เรามีคอนเซ็ปต์ของเราว่าต้องต่อสู้อย่างนี้ เพราะว่าถ้าเราไปเอาสวยเคียงบ่าเคียงไหล่ แล้วสมัยก่อนนางแบบนี่คนนึงถ่ายห้าหกปก ออกมาหน้าตาเดี๊ยะๆ เหมือนกันหมด วางแผงแล้ว 5-6 ฉบับ นางแบบคนนี้ทั้งนั้นเลย แต่ของเราไม่เคยซ้ำกับใคร เราเป็นนางแบบ แบบดำๆ หน่อย นางแบบแบบบ้านนอกๆ บ้างอะไรบ้าง ทีนี้ คนมันเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย! ไอ้นี่แม่งธรรมชาติเว้ย ดูแล้วไม่ใช่นางแบบ ดูแล้วเกิดอารมณ์เพราะว่ามันไม่ใช่นางแบบหาเงิน ทีนี้คนก็เริ่มติด”
ในสมัยที่ยังใส่ขาสั้น มีบ้างที่แอบอ่านหนังสือโป๊ในห้องเรียน เพื่อนบางคนมันม้วนใส่กระเป๋ามา การแบ่งหนังสือหวิวกันอ่าน เป็นวัฒนธรรมของเด็กหนุ่มไทย ใครมีแล้วไม่แบ่ง นี่สิเรื่องใหญ่ นอกจากรูปสาวๆ ที่อยู่ในไทยเพลย์บอย จะมีเอกลักษณ์ต่างจากหนังสือโป๊ในตลาดสมัยนั้น เรื่องสยิวกิ้วจากคอลัมน์ภายในเล่มก็เป็นอีกอย่างที่เปรียบเสมือนลายเซ็นเฉพาะตัวของเฮียกังฟู
“จริงๆ ผมเป็นต้นฉบับของคอลัมน์แบบ 'ครั้งแรกในชีวิต' ของคนอ่าน หนังสือทุกฉบับมันมองข้ามกันไปหมด ทุกคนมีครั้งแรกในชีวิต แล้วครั้งแรกในชีวิตนี่เขาจะไม่ลืม ครั้งแรกเคยเสียตัวที่ไหน ครั้งแรกเคยได้ที่ไหน เขาจะไม่ลืมไง เราก็มาคิดตรงนี้ ให้เขาเล่ามา เราไม่ต้องเขียนเอง ให้เขาเล่ามาแล้วเราก็แลกรูปนางแบบไป หูย! จดหมายมาถล่มทลายเลย เขียนมาเล่าเรื่อง “ครั้งแรก” ผู้หญิงยังเขียนมาเลย เสียตัวครั้งแรกที่โน่นที่นี่นะ อะไรอย่างนั้น”
หลังจากคอลัมน์ “ครั้งแรกในชีวิต” แข็งตัวและเอาอยู่แล้ว กังฟูสไตล์อีกรูปแบบก็แบโฉม ด้วยคอลัมน์ 'แอบดูมาเล่าสู่กันฟัง' ด้วยความเชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณแห่งการสอดรู้สอดเห็น และชอบประพฤติตนเป็นผู้จ้องมอง หลายคนล้วนเคยยลตามช่องหรือป่องประตู เพื่อแอบดูกิจกรรมหรรษา ผลลัพธ์ก็ปรากฏออกมาว่าฮิต คนอ่านติด และมีการขีดเขียนเรื่องหวิวเชิงแอบดู แต่ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติการ ส่งมายังสำนักงานของไทยเพลย์บอยอย่างล้นหลาม
หลักวิชาของไทยเพลย์บอย เฮียกังฟูผู้ออกตัวว่าตนเองไม่ใช่นักตกแต่งที่มีจริตด้านความรู้อะไรนัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมีในหนังสือ ล้วนแล้วแต่ผ่านการเฝ้ามองและสังเกตพฤติการณ์ของปุถุชน เช่นเดียวกับคอลัมน์ “ครั้งแรกในชีวิต” หนุ่มกังฟูก็อ่านจิตใจคนอ่านต่อไปว่า นอกจากครั้งแรกแล้ว เราล้วนแต่เคยมีครั้งที่ประทับใจไม่รู้เลือน มันเหมือนภาพจำแห่งความสุขยามได้ขึ้นสรวงสวรรค์ หนึ่งครั้ง ที่เหนือชั้นกว่าครั้งไหนๆ
“ด้วยเหตุนี้ ผมก็เลยเติมไปอีกคอลัมน์ คือ 'ความประทับใจ' เพราะทุกคนมีเซ็กซ์ จะมีร้อยครั้งหรือกี่ครั้งก็ว่ากันไป แต่มันต้องมีอย่างน้อยหนึ่งครั้งล่ะที่ประทับใจแบบสุดๆ เราก็ดึงเอาตรงนี้ออกมา มันก็เลยกลายเป็นว่า เขาก็เขียนความประทับใจของเขาว่าเขาประทับใจครั้งนั้นครั้งนี้ที่สุดเลยนะ ส่วนอีกคอลัมน์คือ 'ลักหลับ' โหย…คนทางบ้านเขียนส่งมากันเยอะเลย”
ด้วยวัฒนธรรมแบบ “ร่วมกันเขียน” แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสยิวแบบนี้นี่เองที่ส่งผลให้ตลอดสายพานการผลิตนิตยสารฉบับนี้ ตั้งแต่ฉบับที่ 15 เป็นต้นมา นอกจากเรื่องรูปแล้ว ทีมงานแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลยในแง่ของการเขียนเรื่อง เพราะมีเรื่องจากทางบ้านส่งมากันอย่างคับคั่ง
“วันหนึ่งๆ มีจดหมายส่งเรื่องเล่ามาเป็นกระสอบๆ ลงอีก 10 ปีก็ไม่หมด เพราะแต่ละคนพออ่านแล้วมัน ก็อยากจะเล่าเรื่องตัวเองบ้าง สมัยก่อนมันไม่บูมอย่างนี้ อินเตอร์เน็ตอะไรก็ไม่มี โทรศัพท์จะใช้ยังแทบไม่มี มันก็เป็นทางนิตยสารเท่านั้นเอง ก็จะให้เด็ก 3-4 คนอ่านก่อนว่าเรื่องไหนมัน ก็เอา ถ้าเรื่องไหนไม่มัน ก็เก็บไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปรีไรท์กัน”
คำสารภาพ จากโลก “สวิงกิ้ง”
จากเรื่องหวิวในมุมอับของชาวบ้าน สู่เรื่องสั้นในหน้ากระดาษไทยเพลย์บอย จากหนังสือรายเดือน มาเป็นรายสิบห้าวัน มาเป็นรายสัปดาห์ เป็นเครื่องรับประกันได้ว่าในตอนนั้น อาณาจักรแห่งความเสียวของไทยเพลย์บอยกำลังออกล่าอาณานิคมกลายเป็นที่นิยมชมชอบตอบโจทย์หัวใจผู้อ่าน และหากไม่มีเรื่องราวฉาวซะก่อน เราคงได้เห็นไทยเพลย์บอยฉบับรายวัน อันเป็นความปรารถนาอย่างยิ่งยวดของผู้ให้กำเนิดอย่างเฮียกังฟู
แต่แล้ว “สวิงกิ้ง” ก็เข้ามาหวดวงสวิงแห่งชีวิตของนิตยสารชื่อดังให้โคลงเคลงโงนเงนจนกระทั่ง “เอาไม่อยู่”
“สมัยก่อน จดหมายฉบับแรกมา เขียนเล่าว่า ผมอยากจะแลกเมียผมกับคนอื่น ผมขยำทิ้งเลยนะ ผมยังพูดกับทีมงานเลยว่า ไอ้เหี้ยมนี่มันบ้า แต่วันต่อๆ มา จดหมายมันเข้ามาเป็นสิบๆ เป็นร้อยๆ ฮึ่ย! มันบ้าป่าววะเนี่ย แล้วมาแต่ละที่ เราดูจากหน้าซองที่ประทับตรามา คนละจังหวัดทั้งนั้นเลย เราก็เอามาดู มันเริ่มจริงแล้วนะ เราก็เริ่มเลย เปิดคอลัมน์
“พอเปิดคอลัมน์ โอ้โห! ทีนี้ถล่มเลย เขียนเรื่องมา ส่งรูปถ่ายมา กลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉบับอื่นเขาทำไม่ได้ เอ้า ทำไมต้องกลัว เราก็เลยทำเรื่องสวิงกิ้ง โดยเราเป็นตัวกลางในการที่จะเชื่อมให้เขาติดต่อกัน แต่เราไม่ได้ไปจัดเอง จังหวัดโน้นเขียนมา ผมกับภรรยาอายุเท่านี้ ต้องการที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เอ้า เอาอันนี้ลง ส่วนอันนี้อีกเจ้าก็เอาลง ลงไป เป็นนัมเบอร์ 1,2,3 คือส่งผ่านมาให้เรา แล้วเราจะเป็นตัวส่งจดหมาย เพราะว่ามันบอกที่อยู่กันไม่ได้ เวลาคุณส่งมา คุณก็แนบซองเปล่าและแสตมป์มาด้วย แล้วให้เราช่วยส่งให้นัมเบอร์นั้นนัมเบอร์นี้ เราก็ส่งต่อไปให้ แล้วเขาก็ประสานกัน นัดมาเจอกัน
“ในช่วงนั้น เราก็ไม่คิดว่ามันจะผิดหรือเลวร้ายอะไรมาก ก็เปิดบาร์เบียร์เลยสำหรับเข้ามานั่งพบปะกัน เราถือว่าเขามาพบปะกันนั่งคุยกัน สมมุติว่าคุณอุดมมาจากเชียงใหม่ คุณทวีมาจากอุบลฯ มาถึงก็แจ้งผม ผมทวีนะครับ มีนัดกับคุณอุดม เอ้าคุณอุดมมา มีนัดกับคุณทวี เอ้านี่ไงคุณอุดม นี่ไงคุณทวี เขาก็เจอหน้าคุยกันแค่นั้นเอง พอเขานั่งคุยกันเสร็จแล้วก็ตกลงกันได้เขาก็ไปกัน ก็จบงานของเรา เราไม่เกี่ยว ไม่มีผลประโยชน์ สตางค์แดงเดียวก็ไม่ได้ จะได้ก็ค่ากินจากบาร์เบียร์ ก็ร้อยเดียว นั่งกิน เราคิดอย่างนั้น ทีนี้พอมันดัง ทั้งประเทศตอนนั้น ไม่มีใครยั้งหยุดละ นิตยสารก็ขายดีขึ้นอันดับหนึ่งเลย ลิ่วเลย บอกว่าไอ้ห่วยๆ นี่แหละอันดับหนึ่งตอนนี้”
แต่ในขณะที่ก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ก็ปรากฏพาดหัวข่าวในเช้าวันที่ 21 พ.ค.2538 ว่า กลางดึกที่ผ่านมา มีการนำกำลังตำรวจกองปราบปรามบุกเข้าตรวจค้นร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว หลังได้รับเบาะแสว่า เป็นแหล่งนัดสวิงกิ้งของคู่ผัวเมียรักสนุกที่อยากลิ้มลองความแปลกใหม่ และนั่นก็เป็นสัญญาณแห่งการจากอย่างไม่มีวันกลับของไทยเพลย์บอย
“ประชุมสภาทีไร ได้เข้าสภากับเขาทุกที
โดนชูกลางสภาทุกครั้งว่ามีหนังสืออย่างนี้ด้วยหรือ”
วันวานยังเสียวอยู่
“กังฟู” เนเวอร์ ดาย
จากเล่มแรกถึงเล่มสุดท้าย เป็นระยะเวลากว่า 40 ปีที่ไทยเพลย์บอย ลอยล่องท่องทะยานอยู่บนผืนบรรณพิภพของความหวิว และถ้าจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา การขยายอาณาจักรให้แตกกระจายอย่างกว้างของไทยเพลย์บอยส่วนหนึ่งนั้น เกิดจากการแบ่งปันกันของคนอ่านเอง อาจกล่าวได้ว่า ไทยเพลย์บอยหนึ่งเล่มอาจเคยโดนจับเป็นสิบมือ ผ่านเป็นสิบน้ำ มันซอกซอนไปทุกแห่งซึ่งมี “แรงปรารถนา” เร่งเร้าอยู่ จนถึงทุกวันนี้ แม้ไทยเพลย์บอยจะตัดขาดการผลิตไปเรียบร้อยแล้ว แต่เวอร์ชั่นเก่าๆ ก็กลายเป็นของสะสมที่หากนำขึ้นวางแผงหนังสือมือสอง ก็กลายเป็นของมีราคากว่าเดิมหลายเท่าตัว บางเล่มว่ากันว่า ซื้อขายกันในระนาบราคา 3-4 ร้อยเลยทีเดียว
“เป็นตำนาน บอกเลยว่าภูมิใจ” เฮียกังฟูที่ตอนนี้ดูจะมีมาด “ป๋า” มากกว่า “อา” เอ่ยขึ้นมา ในแววตาคล้ายมีเรื่องราวความหลังร้อยพันเลื้อยคลานอยู่ในนั้น…“คุณเชื่อมั้ยว่าไทยเพลย์บอยตอนนั้น ประชุมสภาทีไร ได้เข้าสภากับเขาทุกที โดนชูกลางสภาทุกครั้งว่ามีหนังสืออย่างนี้ด้วยหรือ ประจำ แต่ก็หารู้ไม่ว่ายิ่งชูยิ่งดัง โอ้โห คนหาซื้อกันอึ้ดเลย ไปนั่งอ่านกันในสภา ไทยเพลย์บอยนี่แหละ เพราะข้อเขียน เขาเขียนแบบชาวบ้านๆ ไง ไม่ได้ปรุงแต่งให้สวยหรูอะไร ใช้คำแบบชาวบ้านๆ อ่านแล้วเข้าถึงง่าย คนด่ามันก็มีกลุ่มเดียว นิดเดียว บอกได้เลยว่าไทยเพลย์บอยนี่เป็นตำนานของเรื่องเซ็กซ์ และก็เป็นตำราทำให้คนรุ่นนั้น รู้จักเรื่องราวของเพศศึกษา
“ใช่ มันเป็นหนังสือลามก สมัยก่อนเขาเรียกลามก หนังสือโป๊ แต่กับปัจจุบันนี้ทุกคนยอมรับนะว่าไอ้ไทยเพลย์บอย ไอ้โป๊ ไอ้ลามกนั่นน่ะ ทำให้รู้จักความเป็นลูกผู้ชายของคน รู้จักเรื่องเซ็กซ์ รู้จักอะไร ถ้าสมัยก่อนนี้ ถึงปัจจุบันนะถ้าเลย 40 ขึ้นไปแล้ว คนไหนไม่รู้จักไทยเพลย์บอย ไม่รู้จักชื่อกังฟู คนนั้นไม่ใช่ลูกผู้ชาย อันนี้มันเป็นตำนานไปเลย ไม่ได้มาคุยอวดนะ”
ชายชราที่ยังดูคึกคักราวกับจะเต๊ะปี๊บสักสิบยี่สิบลูกให้แตกได้ไม่ยากเย็น เน้นถึงสถานการณ์ที่ตอกย้ำความเป็นตำนานดังกล่าวว่าทุกวันนี้ หลายคนโทรมาหาเขากลางรายการทีวีที่เขาจัดอยู่ บอกเล่าถึงประสบการณ์ในคืนวันอันเก่าก่อน ตอนยังเป็นหนุ่มละอ่อน และมีไทยเพลย์บอยเรียงซ้อนกันเป็นตั้งข้างเตียงนอน เป็นทั้งเครื่องมือปลดปล่อยความเปลี่ยวเหงา และสอนให้รู้เชิงโลกเชิงรัก
“เขาบอกว่าอ่านตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียน แล้วเขารู้เรื่องเพศก็เพราะไอ้ไทยเพลย์บอยนี่แหละ ถ้าเขาไม่ได้อ่านไทยเพลย์บอย เขาก็จะไม่รู้ว่าเซ็กซ์มันเป็นยังไง ว่าใครทำแบบไหนยังไง แล้วเดี๋ยวนี้หนังสือเก่าเขาไปเจอกัน ขายเล่มละหลายร้อยบาท คนก็แย่งกันซื้อ เพราะอะไรรู้มั้ย เขาบอกว่าพอเห็นไทยเพลย์บอยปุ๊บ เขานึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กนักเรียนทันทีเลย เพราะเขาเคยเอามันม้วนใส่กระเป๋าหลังไปอ่านกันที่โรงเรียน คิดถึงอดีต คิดถึงเพื่อนๆ สมัยเด็กแล้วได้อ่านไทยเพลย์บอย นี่ไง ความเป็นตำนานของมัน”
**********************
ปรัชญาเซ็กซ์ ฉบับเฮียกังฟู
“เซ็กซ์ เป็นเรื่องอันดับหนึ่งของชีวิต เงิน อันดับสอง คุณมีเงินร้อยล้านกับไอ้หนูไม่แข็ง คุณว่าร้อยล้านมีความหมายมั้ย ถ้าตอนที่คุณไม่คิดนะ ร้อยล้านมีความหมาย แต่พอน้องหนูคุณไม่แข็งปุ๊บ คุณคิดว่าไอ้ร้อยล้านนี้มีความหมายมั้ย ใช่มั้ยล่ะ ธรรมชาติเขาให้เซ็กซ์มา เพื่อการขยายพันธ์ของมนุษย์ แต่ธรรมชาติเขารู้กลไกของมนุษย์ว่าเป็นสัตว์โลกที่ขี้เกียจ ถ้าทำอะไรแล้วไม่มีผลประโยชน์ ไม่ทำ อาหารไม่อร่อย ยังไม่กินเลย ทั้งที่กินเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ยังไม่กินเลย เพราะฉะนั้น ธรรมชาติรู้ ธรรมชาติเลยต้องหยอดเอาความเสียวความมันเข้ามา ให้มนุษย์ติดใจไง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็จะขี้เกียจจะขยายพันธุ์
“ทำไมผู้หญิงต้องมีผัวได้คนเดียว
แต่ผู้ชายมีเศษมีเลยได้เป็นร้อยๆ คน”
“ถ้าอยู่ดีๆ เราคิดว่า ผู้หญิงกับผู้ชายมาร่วมกันแล้วไม่มีความเสียวความมัน แล้วจะร่วมกันทำไมให้มันเหนื่อย ถูกมั้ย จะให้มันเหนื่อยทำไม ธรรมชาติรู้ไง ถึงได้หยอดความเสียวความมันทำให้มนุษย์มันติดใจ มีการฉ้อฉลที่จะหลอกล่อให้มนุษย์ผู้หญิงผู้ชายขยันในการประกอบกามกิจ เพื่อการขยายพันธ์ แต่มนุษย์มันกลับไปเจอไอ้ความเสียว ความมัน ความหลงใหล เลยเตลิดเปิดเปิงไป เลยเถิดขอบเขตของธรรมชาติ และไอ้ความเลยเถิดตรงนี้ ธรรมชาติไม่ได้คิด ทุกวันนี้เห็นมั้ย ที่ฆ่ากัน เอาปืนยิง หึงหวงกัน เป็นเมียกู ผัวกู อะไรอย่างนี้ เพราะยึดถือ ธรรมชาติมันไม่ได้คิดตรงนี้ แต่เป็นมนุษย์เตลิดมันเองต่างหาก
“บางคนอย่างเป็นเมียเรา ก็จะต้องเป็นเมียเราตลอด เป็นเมียคนอื่นไม่ได้ ความคิดอย่างนี้ไง แล้วแถมเอาศักดิ์ศรีมาด้วยว่ามึงเป็นเมียกูแล้ว ถ้ามึงไปทำอย่างอื่น ศักดิ์ศรีกูก็ไม่มี เอาศักดิ์ศรีเข้ามาขย่มอีกที เอามาบวกอีกที อย่างผมเป็นผัว ผมมีหน้าที่การงานดีแล้วเมียผมมีชู้ ถ้าเมียมีชู้แสดงว่า เขาอยากมาก เขาอยากจะทำกับคนอื่น แต่ฝ่ายผัวจะไม่โทษอย่างนั้นแล้ว แต่โทษมึงหยามกู ศักดิ์ศรี นี่ไงมนุษย์ กลับมาเติมศักดิ์ศรีของตัวเองเข้าไปอีก
“ทุกวันนี้ เห็นมั้ย ขึ้นข่าวหน้าหนึ่ง ผัวหึงยิงเมีย น้ำกรดสาด เอาน้ำมันเบนซินราดจุดไฟเผา ทั้งที่ความเป็นจริง ไอ้การร่วมเพศกันมันเป็นธรรมชาติ ผู้ชายผู้หญิง ถ้าไปถามผู้หญิงว่าเคยมีอะไรกับผู้ชายกี่คน ผู้หญิงก็ตอบว่าคนเดียวก็คือผัว แต่ถ้ากลับกัน ถ้าไปถามผู้ชายว่าเคยเอาผู้หญิงกี่คน โหยจำไม่ได้ละ ไม่รู้ว่าเอามากี่คนแล้ว ทำไมเป็นอย่างนั้น ในเมื่อทุกวันนี้การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน แต่ทำไมผู้หญิงต้องมีผัวได้คนเดียว แต่ผู้ชายมีเศษมีเลยได้เป็นร้อยๆ คน
“ทุกวันนี้ความเหลื่อมล้ำมันยังมีอยู่ ผู้ชายยังต้องเหนือกว่า จะมาบอกว่าผู้หญิงเรียกร้องให้สิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน มันเป็นการหลอกตัวเองเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเรื่องเซ็กซ์นี่อันดับหนึ่ง อดข้าวยังไม่ตายนะ แต่อดเซ็กซ์นี่ฆ่ากันตาย เคยมีมั้ยเมืองไทยแย่งข้าวกันกินแล้วฆ่ากันตาย น้อยมาก มีก็แต่ไอ้กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่เท่านั้นเอง แต่เรื่องเซ็กซ์มันเกิดทุกวัน หึงหวงอะไรต่างๆ ฆ่ากันทุกวัน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วอาหารการกินก็ต้องอันดับหนึ่งเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดนะ แต่บางคนบอกว่าสามวันไม่กิน ก็ได้ขอให้มีเซ็กซ์ละกัน
“ธรรมชาติไม่ได้สอนให้เล่นท่าโน้นท่านี้เลย
แต่เป็นเพราะมนุษย์ต่อเติมกันไปเอง”
“ทุกวันนี้ บอกได้เลยว่า น่าละอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมพูดออกอากาศก็พูด ภาครัฐ ภาคเอกชน พวกศูนย์ต่างๆ มูลนิธิต่างๆ มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป คือไม่กล้ามาเปิดเผยเรื่องราวของเซ็กซ์ว่ามันเป็นยังไง ผู้หญิงผู้ชายร่วมเพศกันแล้วอะไรมันจะเกิด เกิดอย่างไร เกิดแบบไหน ในสิ่งเหล่านี้ ไม่มี มีแต่บางทีอยู่ดีๆ เอานิสิตนักศึกษามาเดินแจกถุงยางแค่นั้น แค่นี้เหรอในการรณรงค์เรื่องเซ็กซ์ว่าใส่ถุงยางแล้วปลอดภัย ใส่ถุงยางแล้วไม่เป็นเอดส์ อันนั้นเท่ากับไปยั่วยุเขามั้ย แล้วทำไมคิดได้แค่นั้น สู้สอนดีกว่า ผู้หญิงผู้ชายมีอะไรกัน ถ้าไม่ใส่ถุงยางมันจะเกิอะไร มารหัวขน จะเกิดโรคเอดส์ ไอ้โรคเอดส์นี่เราจะบอกนะว่ามันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่เติมแต่งทีหลังเพราะว่ามันเอามนุษย์ไม่อยู่แล้วไง ห้ามก็ไม่อยู่แล้ว เพราะว่ามันเตลิดเลยเถิดไปมากเกินไปแล้ว มนุษย์จะล้นโลกแล้ว มันก็เลยส่งโรคเอดส์มาให้กลัว เป็นแล้วตายนะรักษาไม่ได้นะ แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครกลัว ถูกมั้ยล่ะ ไอ้ที่เป็น ก็เป็นไปสิ นอนรอความตาย ไอ้ที่ยังไม่เป็นก็กระเสือกกระสนต่อคิวกัน
“แล้วทุกวันนี้ รายการต่างๆ หลายรายการไปสอนเด็กว่าให้ระวังอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ใช่ ชี้ชัดไปเลย กระทรวงศึกษาก็น่าจะออกหนังสือมา ให้รู้เลย สรีระเป็นยังไง อวัยวะเป็นยังไง วิธีทำยังไงแบบไหนอย่างไร มีให้ถูกต้องเลย ถ้าถามบอกว่าธรรมชาติเขาให้ท่า (ท่าร่วมรัก) มาหรือเปล่า เขาไม่ได้ให้ เขาให้แค่ว่า อันนั้นกับอันนี้เข้ากันได้ แล้วให้ผู้ชายหลั่งน้ำเข้าไปเพื่อปฏิสนธิ แต่ทำไมมนุษย์คิดท่าได้ตั้งร้อยแปดท่า ธรรมชาติไม่ได้สอนให้เล่นท่าโน้นท่านี้เลย แต่เป็นเพราะมนุษย์ต่อเติมกันไปเอง แล้วถามว่าสำคัญมั้ย สำคัญสิ เพราะมนุษย์มันคิดค้น คิดค้นเอาท่าโน้นท่านี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็คือการร่วมเพศกันอยู่ดีนั่นแหละ แล้วทำไมต้องมีท่าเยอะ เพราะความมีหัวคิดของความเป็นมนุษย์ที่ต้องการสร้างสรรค์ความสุขความสนุกความเสียวเพิ่มเติมมากขึ้น มันก็เลยมีท่าแปลกๆ ท่าโน้นท่านี้ แต่ว่าแต่ละท่าแล้วนี่มันอยู่กันได้ไม่นานหรอก มันทำกันเดี๋ยวเดียวมันก็เมื่อยก็ปวดแล้ว แล้วสุดท้ายมันก็ต้องกลับไปท่ากบดานเก่า ท่านั้นล่ะ เป็นท่าจบ
“เซ็กซ์สำคัญเป็นอันดับหนึ่งของการเป็นมนุษย์ แต่ทุกคนไม่มีใครยืนยัน ผมยืนยันคนเดียว ว่าเซ็กซ์คือความสำคัญของมนุษย์ จะเจริญก็เพราะเซ็กซ์ จะย่อยยับไปก็เพราะเซ็กซ์นี่แหละ คนเราเจริญขึ้นมาได้ก็เพราะเซ็กซ์ สมบูรณ์ไง แล้วก็มีสติมีสมอง แต่ว่าบางคนว่าเซ็กซ์ล่มจม ก็คือคิดไม่ออก เอาเรื่องเซ็กซ์มาแก้ปัญหา มีการยิงกันฆ่ากัน ทุกวันนี้เรื่องเซ็กซ์อันดับหนึ่ง ใครจะเถียงก็เถียงได้ แต่ผมยืนยันว่าเรื่องเซ็กซ์อันดับหนึ่ง”
(บทสนทนายังไม่จบ มาพบกันวันถัดไป)