Marsmag.net

“อย่ามาอ้างว่าไม่มีเวลา!” : จาตุรงค์ มกจ๊ก ดาวตลกหุ่นล่ำบึ้ก!!


“การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี” ทุกคนได้ยินคำนี้กันมาตั้งแต่รู้ความ แต่น้อยคนนักจะทำ และทำได้สม่ำเสมอ ด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้า เท่าที่มนุษย์มนาจะสรรหามาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการที่จะไม่ออกกำลังกายของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “ไม่มีเวลา”

ในฐานะนักแสดงรุ่นใหญ่ฝีมือดี ผู้ชายคนนี้ก็เคยคิดว่าตัวเองไม่มีเวลาเช่นเดียวกัน แต่สุดท้าย เขาก็ค้นพบว่า เวลาเป็นสิ่งที่จัดสรรได้ เขาพูดถึงขั้นที่ว่า ไม่น้อยเลยที่เอาเวลาไปเผาผลาญกับเรื่องไร้ประโยชน์ แต่สิ่งที่เป็นคุณกับตัวเอง กลับบอกว่าไม่มีเวลา

“จตุรงค์ พลบูรณ์” หรือ “จาตุรงค์ มกจ๊ก” ในวัย 50 ปี ยังดูกระฉับกระเฉงแตกต่างจากอีกหลายคนในวัยเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับมนุษย์โซเชียลเน็ตเวิร์ก อาจจะเคยผ่านตาภาพของผู้ชายคนนี้เปลือยกายท่อนบน โชว์กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่แม้แต่หนุ่มๆ จำนวนมากยังอาย และตอนนั้น คุณอาจจะนึกในใจ “นี่มันภาพกราฟิกหรือเปล่า(วะ)?”

อ๊ะๆๆ ถ้าคุณกำลังกังขาสงสัยเช่นนั้นอยู่ ลองติดตามบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ไปทีละบรรทัด กล้ามมัดๆ ที่คุณอยากได้ อาจไม่ใช่คำตอบที่สำคัญที่สุด เพราะสุดท้าย มันก็จะย้อนกลับไปยังถ้อยคำที่เราเกริ่นไว้ข้างต้น ทุกคนรู้ว่า “การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี” แต่ ณ วันนี้ คุณได้ให้ความสำคัญกับมันอย่างเพียงพอแล้วหรือยัง?
 
ไม่แน่ว่า บทสนทนาถัดจากนี้ อาจกระตุ้นให้คุณลุกขึ้นไปคว้าชุดออกกำลังกายที่แขวนตายอยู่ในตู้เสื้อผ้ามาหลายปี และ..เริ่มต้นเอ็กเซอร์ไซส์อย่างจริงจัง…
อะไรคือแรงจูงใจในการหันมาออกกำลังกาย?
จริงๆ แล้วก็สนใจมาตลอด แต่บางทีก็จัดเวลาไม่ถูก คือเริ่มเล่นเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว แต่ว่าเล่นแบบไม่ได้ผล เล่นแบบไม่ถูกต้อง เล่นแบบไม่สม่ำเสมอ เล่นแบบวิ่งธรรมดาไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว วิ่งตามถนน ตามอะไรอย่างนี้ ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พุงก็ยังอยู่ อ้วนก็ยังอ้วน เพราะว่าเป็นคนเลิกกินไม่ได้ ถึงเวลาก็ต้องกิน ก็เลยต้องมาทำให้ถูกวิธี ในที่นี้หมายถึงว่าทำถี่ๆ ให้โปรเค้าจับให้ ก็เสียเงินนะ ที่ฟิตเนสเฟิร์สนี่แหละ ทีนี้พอจับสัก 30 ชั่วโมง คอร์สละ 30 ชั่วโมง ก็เลยต่ออีก 30 เป็น 60 ชั่วโมง

เริ่มจริงจังเมื่อสองปีที่แล้ว เพราะเป็นคนอยากออกกำลังกายอยู่แล้ว แต่บางครั้งมันไม่ได้ผล มันก็เริ่มท้อ ไม่ได้ผลมันก็เริ่มไม่ดี อยากหุ่นดี แต่เลิกกินไม่ได้ มีวิธีเดียวเท่านั้นคือออกกำลังกาย เพราะอาหารอดไม่ได้ ก็เลยทำมาสองปี เล่นเป็นทุกอย่างแล้ว ทุกวันนี้สอนคนอื่นได้เลย คือหมายถึงเป็นทุกอย่าง มันก็เหมือนกับเข้ามาเรียน พอเรียนแล้วก็ทำเองได้ จนทุกวันนี้ทำเป็นกิจจะลักษณะ คือเลิกไม่ได้ เลิกงานปุ๊บก็ต้องเข้ามาฟิตเนสเลย

จุดประสงค์แรกคืออยากหุ่นดี อยากมีซิกแพกเลยใช่ไหม?
มีสองอย่างเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก อยากร่างกายแข็งแรง เพื่อไม่ให้เจ็บป่วย เพื่อไม่ให้เป็นโรคโลหิตในสมองแตก ไม่เป็นเบาหวาน ไม่เป็นไขมัน ไม่ให้เป็นโรคร้ายต่างๆ อยากแข็งแรง สองคืออยากโชว์ อยากอวด เพราะว่าเราเหนื่อยมาก็ต้องโชว์

มีกลุ่มในการออกกำลังกายหรือเปล่า หรือว่ามาคนเดียว?
ไม่เคยมากลุ่มเลย นอกจากว่ามีใครชวนไปขี่จักรยานก็ไป ซื้อจักรยานมาก็ขี่ได้มากกว่าเขาด้วย แต่ว่าไม่ชอบ เพราะสำหรับการออกกำลังกาย ถ้ามัวแต่นั่งรอเพื่อน เมื่อไหร่จะเจอเพื่อน เพื่อนเมื่อไหร่จะนัดได้ห้าคน ได้สองคน ได้สามคน ออกคนเดียวมันไม่ไหว เพราะมันเบื่อ ถ้าคิดอย่างนี้ไม่ต้องออกกำลังกาย ถ้าผมมามัวรอคนรอเพื่อนรอพวกรอพ้องแล้วก็จะมาออกกำลังกายนี่ ไม่ต้องเล่นเลยดีกว่า ขนาดโทรศัพท์ผมยังไม่เอาเข้าเลย อยู่ในเก๊ะตลอด คราวนี้มันจะได้เนื้อๆ มันจะได้เต็มๆ เท่านั้นเอง ที่นี่ก็มีคนเข้ามาคุยกับผม ผมยังไม่คุยเลย นอกเสียแต่ว่าเราอารมณ์ดีก็คุย 2-3 คำ เสร็จก็เล่นต่อ ถ้ามัวแต่คุย มากับเพื่อน สมมติมาออกชั่วโมงครึ่ง มันจะได้ 45 นาที นอกนั้นคุยหมด มันไม่ได้ผล
ปริมาณความถี่ในการออกกำลังกาย ต่ออาทิตย์ ต่อวัน วันละกี่ชั่วโมง?
ผมไม่ใช่ข้าราชการ ไม่ใช่ทำงานไปเช้า-เย็นกลับ เวลางานของผมมันไม่เหมือนคนอื่น ผมต้องจัดการตัวเอง บางคนจะใช้คำอ้างว่า ไม่มีเวลา คำว่า “ไม่มีเวลา” มันดูดีมาก มันดู เฮ้ย งานเยอะเว้ย เท่ มันไม่มีเวลา งานมันยุ่ง แต่มันเป็นคำที่เอามาขวางการออกกำลังกาย ใช้คำนี้ปุ๊บ ไม่เสียด้วย แต่ขวางเลย ไม่ต้องออกกำลังกาย ส่วนผมจะตัดคำว่าไม่มีเวลาออก ถ้าคนอย่างผมมีเวลาในการออกกำลังกาย ใครก็มีทั้งนั้นแหละ อย่ามาอ้างว่าไม่มีเวลา อย่างที่เห็นผมในทีวีออกรายการ เล่นละคร แล้วทำไมยังมีเวลา เพราะฉะนั้น เราต้องจัดสรรเวลาของตัวเอง คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน นอนทุกคนไม่เกิน 7 ชั่วโมงหรอก ลบไปเหลือ 17 ชั่วโมง มนุษย์เรา ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะทำงาน 17 ชั่วโมง มันต้องมีเวลาเหลือ บางคนถามว่าผมเล่นที่ไหน ผมตอบไม่ถูกหรอก ผมตอบได้เลยว่าผมเล่นทุกที่ที่ขับรถผ่าน แต่ที่เล่นประจำคือที่นี่ (ฟิตเนสเฟิร์ส โฮมโปร เพชรเกษม) ผมเป็นเมมเบอร์ที่นี่ แต่เมมเบอร์ผมเล่นได้ทุกที่ บ้านผมอยู่พุทธมณฑลสาย 4 ถ้าวันไหนตื่นสายได้จริงๆ ก็จะมาเล่นที่นี่ แต่ส่วนใหญ่เย็นๆ จะเล่นที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เพราะมันเป็นทางผ่าน แต่ถ้าเลิกเร็วอย่าง 4-5 โมงเย็น ก็จะขับรถมาเล่นที่นี่ เพราะฉะนั้นผมจะจัดสรรเวลาของตัวเอง ไม่มีใครมาจัดสรรเวลาให้เราได้หรอก

วันหนึ่งเล่นประมาณกี่ชั่วโมง?
โดยเฉลี่ยแล้วเล่นประมาณชั่วโมงครึ่ง บางวันก็ 1 ชั่วโมง 45 นาที หรือ 2 ชั่วโมงก็มี แต่ 2 ชั่วโมง มันนานไป มันเยอะไป บางอย่างมันจะเล่นเป็นเซต ถ้ามันออกมากไป มันก็จะไม่ดี

จนถึงวันนี้ มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง?
มันเปลี่ยนมากเลย จากที่น้ำหนักตัวหนักสุดเลยนะอยู่ที่ 76 กิโลกรัม ตอนนี้เหลือ 63 แต่ที่หายไปมันกลายเป็นกล้ามเนื้อซะส่วนใหญ่ กลายมาเป็นบอดี้ เป็นรูปร่าง ผมจะไม่มีซิกแพกทั่วไปเหมือนกับวัยรุ่น 25-30 ปี พวกนี้เล่นแป๊บเดียวมันจะขึ้นเร็ว แต่ผมอายุมากแล้ว ปีนี้ก็ 49 ผมโหมกระหน่ำก็ได้ทรงประมาณแบบนี้ ตอนนี้เล่นแบบประคอง แค่เล่นประคองก็ 5 วันแล้ว อาทิตย์หนึ่งอย่างน้อยต้องเข้าฟิตเนส 5 วัน
เล่นประคอง หมายถึงเล่นยังไง?
การเล่นประคองคือ ไม่เน้นให้มันใหญ่ ถ้าจะเล่นให้มันใหญ่ก็ต้องเล่นตามสูตรตามโปรแกรม อย่างเช่น วันนี้เล่นไหล่ วันนี้เล่นหลัง วันนี้เน้นหน้าท้อง วันนี้เล่นแขน ก็จะมีคนจัดโปรแกรมให้เลย แต่ผมไม่เล่นตามโปรแกรม ผมเล่นประคองให้หุ่นมันอยู่แค่นี้ ผมไม่อยากให้ใหญ่มากกว่านี้ เพราะผมเป็นตลก ผมเป็นนักแสดง มันจะน่ากลัว มันจะดูไม่คอเมดี้

จะไปเล่นหนังแอ็กชันหรือเปล่าเลยมาฟิตหุ่น?
ไม่ใช่เลย แต่มันมีเล่นไปแล้วเป็นละครเรื่องแววมยุรา เป็นแนวแอ็กชัน คิวบู๊เยอะ เวลาใส่สูทเข้ารูปรัดๆ เตะต่อยแล้วมันดูเท่ดี แต่จริงๆ ที่เรามาออกกำลังกาย เราไม่ได้เน้นเกี่ยวกับหนังหรือละคร เราเน้นเรื่องสุขภาพกับอยากโชว์มากกว่า อย่างเรื่องสุขภาพก็เห็นได้ชัด แต่ก่อนผมจะเป็นหวัด 4 เดือน 6 เดือน เป็นทีก็ 10 วัน แต่เดี๋ยวนี้เป็นทีก็แค่ 2 วัน
       
        “ช่วง 25-30 ปี ผมยังหลงระเริงมีความสุข เสพสุข เที่ยว กินเหล้า สูบบุหรี่
          ตอนนี้ไม่มีเลย พอเวลาเรามาออกกำลังกายแล้วมันไม่เหมือนคนเก่า”

ถือว่าเปลี่ยนแปลงเยอะไหมในความรู้สึกของเรา?
ก็ไม่รู้นะ แต่ผมว่าผมตายทีหลังพวกที่ไม่ออกกำลังกาย เขาน่าจะตายก่อนผม ไม่ได้แช่งใครนะ เพราะเรารู้ตัวเราเอง อย่างเวลาเรานั่ง เรายืน เราก้ม เราลุก มันผิดจากแต่ก่อนมากนะ สมัยก่อนยืนคุยกับใครนานๆ รอเข้าฉาก ยืนซ้อมคิว ซัก 5-10 นาที ก็เริ่มมองหาเก้าอี้แล้ว เดี๋ยวนี้ยืนเป็นชั่วโมง ผมยังยืนไม่รู้สึกเลย คือเรารู้สึกว่าตัวเองไม่ธรรมดา เคยงัดข้อกับพวกหนุ่มๆ ในกองถ่าย ไม่มีใครสู้ผมได้เลยนะพวกที่ไม่ออกกำลังกาย มันเปลี่ยนเยอะเปลี่ยนไม่ใช่เล่นๆ เปลี่ยนชนิดที่ว่ารู้อย่างนี้ออกตั้งแต่อายุ 30 แล้ว ช่วง 25-30 ปี ผมยังหลงระเริงมีความสุข เสพสุข เที่ยว กินเหล้า สูบบุหรี่ ตอนนี้ไม่มีเลย พอเวลาเรามาออกกำลังกายแล้วมันไม่เหมือนคนเก่า เพราะเราคนเก่าอะไรก็ไม่ไหว เปลี่ยนทัศนคติในการดำเนินชีวิตไปเลย

มีทานพวกอาหารเสริมด้วยหรือเปล่า?
คือพวกที่ออกกำลังกายแล้วกินโปรตีนหรืออาหารเสริมต่างๆ เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้มันใหญ่ขึ้น เขาทานเพื่อไปแข่ง ให้มัดกล้ามมันขึ้นเห็นชัด แต่ทุกวันนี้ก็มีคนกิน ที่เห็นกล้ามใหญ่ๆ ไม่มีสักคนที่ไม่กิน แต่ผมไม่กินเพราะผมไม่ต้องการให้มันใหญ่ ผมอายุมากแล้วเอาสิ่งพวกนี้เข้าไปในร่างกายมันก็จะไม่เหมาะ ไม่ใช่มันไม่ดีนะ แต่มันไม่เหมาะกับเรามากกว่า เพราะพวกอาหารเสริมโปรตีนพวกนี้มันเหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้มันใหญ่ เร่งกล้ามเนื้อให้มันเห็นชัดเป็นมัดๆ แต่ผมไม่ต้องการอย่างนั้น ผมคิดเอาเองว่า ถ้าเราอยากได้โปรตีนเราก็กินอาหารสิ อันนี้มันเหมือนเป็นทางลัดมากกว่า
สำหรับตัวเองใช้เวลานานแค่ไหน กว่าจะมาได้ขนาดนี้ ที่เริ่มเห็นเป็นกล้ามเนื้อ?
2 ปีถึงได้ขนาดนี้ แต่ 4 เดือนก็เริ่มเห็นเป็นกล้ามเนื้อแล้ว บางคนออกกำลังกาย 1 เดือนผ่านไปแล้ว มันเหนื่อยนะที่ออกสม่ำเสมอ 2 เดือนก็แล้ว ก้มดูพุงก็ยังยื่นเหมือนเดิม 3 เดือนก้มดูพุงอีก ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ก็เลยหยุด แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังมาแล้ว แต่เขาไม่รู้ตัว เขามาหยุดก่อนที่มันจะเห็นผล พอเดือนที่ 4-5 มันจะเริ่มเห็นผลขึ้นมาแล้วมันจะเริ่มเป็นทรง กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์เริ่มมีบ้าง หน้าท้องไขมันปลิ้นๆ เริ่มหายไป แต่คนเรานี่มันเห็นตัวเองทุกวัน มองตัวเองในกระจกทุกวัน การเปลี่ยนแปลงมันมองไม่เห็น แต่คนที่ไม่เห็นกันเลย 4 เดือนเขาจะมองเห็น มนุษย์ส่วนใหญ่จะคิดแบบนี้ แต่สำหรับผมไม่เคยคิดเลย ผมไม่สน เพราะผมอายุมากแล้วก็เล่นไปเรื่อยๆ คิดในใจว่ามันไม่ขึ้นก็จะเล่นไปเรื่อยๆ ขึ้นไม่ขึ้นก็ไม่สน เพราะเล่นแล้วมันติด มันเหมือนมีความสุขอะไรบางอย่าง เหมือนสมัยก่อนที่เราสูบบุหรี่แล้วเข้าห้องน้ำไปด้วย มันมีความสุขนะ แต่ตอนนี้หลังออกกำลังกายแล้วกลับบ้านไปนอน ช่วงนอนหลับนี่มันมีความสุขมากเลยนะ มันเหมือนหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมา

กับการออกกำลังกาย มีเทรนเนอร์ส่วนตัวหรือเปล่า?
ผมเคยจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนนี้ไม่มีแล้วไม่ต้องแล้ว สามารถเป็นเทรนเนอร์ให้คนอื่นได้เลย ใครจะจ้างได้นะ ตอนนั้นก็มีเทรนเนอร์อยู่แค่ 2 เดือน

จำเป็นไหมที่จะต้องมีเทรนเนอร์?
ก็อย่างที่ผมบอก ผมออกเองไม่ได้ผล เพราะผมเล่นไม่เป็น เพราะเราไม่รู้ ทุกคนเวลาจับเวตขึ้นมาก็ทำได้แค่ยกขึ้นยกลงแค่นั้น แต่จริงๆ แล้วเวตอันหนึ่งมันเล่นได้เป็นร้อยท่า หรืออย่างอยู่บ้านเราก็สามารถออกกำลังกายโดยใช้ร่างกายจริงๆ ออกได้เป็นร้อยท่า แต่บางคนเขาไม่รู้ไง สำหรับบางคนที่ไม่มีเงิน การจ้างเทรนเนอร์เข้าคอร์สฟิตเนสต่อคอร์สก็ 2-3 หมื่นบาท มันก็เยอะอยู่นะ ในกรณีที่ไม่มีเงิน คุณก็วิ่ง ออกกำลังกายอยู่บ้าน ออกไปเถอะเพราะมันดีต่อคุณ ถ้ามีเงินหน่อยก็ควรจ้างเทรนเนอร์ เพราะว่าคุณเดินเข้าไปในฟิตเนส เครื่องออกกำลังกายมีเป็นร้อย พอคุณเดินเข้าไป คุณเล่นไม่เป็นซักอย่าง ต้องมีเทรนเนอร์คอยช่วยแนะนำ ตอนนี้เล่นได้ทุกอย่าง

สำหรับคนที่ยังไม่ออกกำลังกาย จะจูงใจพวกเขาอย่างไรบ้าง?
มีคนในเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ที่เขาติดตามผมอยู่นะ ถ้าใครสนใจก็ติดตามได้ jaturong_p คนที่เขาติดตามเหล่านี้เขาก็หันมาออกกำลังกาย เท่าที่ผมรู้ก็ร้อยกว่าคน เมื่อวานก็เจอเขาเข้ามายกมือไหว้ บอก “ติดตามอยู่นะ ตามมา 4 เดือน แล้วก็เริ่มเล่นฟิตเนสเพราะผมนะ” มากน้อยผมไม่สน แต่ว่าร้อยคนที่ออกกำลังกาย ผมถือว่าผมประสบผลสำเร็จแล้ว ผมทำให้เขาออกกำลังกาย ซูโม่กิ๊กไปสมัครฟิตเนสเฟิร์สก็เพราะผม ไข่นุ้ย เชิญยิ้ม, พี่ดู๋ สัญญา ก็ออกกำลังกายเพราะผม หลายคนเห็นเราเป็นไอดอลทางด้านการออกกำลังกาย หลายคนพูดว่า “พี่รงค์อายุขนาดนี้แล้วพี่รงค์ยังออกกำลังกาย ก็เลยเอาบ้าง” คนในประเทศไทย 60 ล้านคน แต่มีคนออกกำลังกายเพราะผม 100 คน ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น เชิญชวนเลยใครที่อยากออกกำลังกาย ก็อย่างที่บอกว่า ถ้า 4 เดือนแล้วไม่เห็นผล ต้องเชื่อว่ามันได้ผล แต่คุณมองไม่เห็นแค่นั้นเอง ทำต่อไปผลมันจะปรากฏเอง

 

 

“เวลาทำงานก็ต้องให้เกียรติคนที่จ้างเรา
เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นเขาที่ใหญ่กว่าเรา
บางทีเราอย่าไปยึดว่าต้องเอาแบบเรา
ต้องให้เกียรติคนที่จ้างเรา”

 

มีเวลาออกกำลังกายขนาดนี้ แล้วเรื่องการงานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?
ตอนนี้ก็มีรายการอยู่ 7 รายการ มีละคร เรียนด้วยนะ ทุกวันอาทิตย์ที่กรุงเทพธนบุรี คณะรัฐศาสตร์ จะจบแล้ว เหลืออีก 1 ปี

แล้วเรื่องทำหนังล่ะ?
หนังตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว กำลังจะทำละคร เพราะว่าหนังมันไม่ดี ไม่ดีในที่นี้หมายความว่า โดนกันทั่วหน้า เพราะว่าคนจะดูหนังเดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว หายไปประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ก่อนว่างไม่รู้จะทำอะไรก็ไปดูหนัง เดี๋ยวนี้ว่างก็หยิบโทรศัพท์มากดเล่น 2 ชั่วโมงก็หมดไป ละครที่กำลังจะทำก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการเสนออยู่ เป็นแนวผีคอเมดี้ ซึ่งผมเป็นคนเขียนบทเอง แล้วก็เป็นผู้กำกับด้วย

มองย้อนเส้นทางชีวิตของตัวเอง จากวันที่เริ่มทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วเห็นอะไรบ้าง?
การทำงานก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด เพราะว่ามนุษย์ถ้าไม่ทำงาน จะเอาที่ไหนเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่ก็ประสบผลสำเร็จบ้างไม่ประสบผลสำเร็จบ้าง ดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็ถือว่าดีกว่าขายก๋วยเตี๋ยวถั่วงอกเต้าหู้เลือดหมู ที่อดีตเคยทำมาสมัยเด็กๆ ก็ถือว่าดีกว่ามาก เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ ซื้อไร่ซื้อที่ให้อยู่ ก็จะยังอยู่ในวงการนี้เรื่อยๆ ธุรกิจส่วนตัวก็มีโก๊ะข้าวมันไก่สาย 4 เป็นของผมนะ เป็นแบรนด์ของโก๊ะตี๋ แต่เขายกแฟรนไชส์ให้เป็นของผม 1 สาขา

กับการทำงาน ย่อมมีบ้างที่ไม่เป็นไปตามเป้า ถึงจังหวะแบบนั้น คุณจัดการกับความคิดตัวเองอย่างไร?
การทำงานทางด้านการแสดงของผมไม่ค่อยผิดหวังนะ เกี่ยวกับเรื่องบันเทิงไม่ค่อยผิดหวัง มาผิดหวังกับการทำธุรกิจอย่างอื่น ผมเคยลงทุนทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี สุดท้ายมาได้ข้าวมันไก่ที่โอเค ผมไม่เคยคิดว่าช่วงผิดหวังเสียใจต้องทำยังไง ไม่เคยคิด เพราะผมไม่มีต้นทุนอะไร เงินที่ลงทุนทำธุรกิจต่างๆ คือเงินที่ผมได้มาจากการแสดง เงินพวกนี้มันมาจากความสามารถของเรา ผมถือว่ามันเป็นกำไร พอเราเอาเงินตรงนี้ไปลงทุนถ้ามันหายไปก็เท่ากับเราไม่ได้กำไรแค่นั้นเอง ตอนนี้ก็ตั้งใจจะทำข้าวมันไก่ให้ดีก่อน กำลังจะขยับขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น เพราะร้านเก่ามันไม่มีที่จอดรถ
เวลาทำงาน เราเครียดไหม?
จริงๆ ผมเป็นคนไม่เครียดนะ เวลาทำงานก็จะคอยอำ แกล้ง แหย่ คนโน้นบ้างคนนี้บ้าง เวลาอยู่บ้านก็จะเล่นกับลูกคนเล็ก ตอนนี้ 6 ขวบแล้ว ก็จะเล่นกับลูก ดูทีวีไป ไม่เครียด ถ้าอยู่กับเพื่อนๆ ก็จะเป็นคนสนุกสนานเฮฮา


คุณมีหลักในการทำงานอย่างไรบ้าง?
เวลาทำงานก็ต้องให้เกียรติคนที่จ้างเรา เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นเขาที่ใหญ่กว่าเรา บางทีเราอย่าไปยึดว่าต้องเอาแบบเรา ต้องให้เกียรติคนที่จ้างเรา และสิ่งที่ทำให้นักแสดงหมองไหม้ไปหลายคนก็พวกเหล้า บางคนกินเหล้ากินจนไม่รู้เวลา ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะต้องไปทำอะไร มีงานอะไรรึเปล่า มันก็ทำให้เสียงานไปเยอะแล้ว แต่ผมจะไม่ทำแบบนั้น ถ้าเขาจ้างเราไป เราต้องทำให้ดีที่สุด