Marsmag.net

ล้วงลึก..เชอร์รี่ สามโคก เปิดอก “เจ้าแม่หนังเสียว”

หนุ่มคนไหนยังไม่เคยได้ยินชื่อ “เชอร์รี่ สามโคก” ยกมือขึ้น?
อาจจะมีทั้งรู้และไม่รู้จัก เล่าให้ฟังสั้นๆ ว่า ถ้าคุณเป็นคนที่นิยมดูหนังแผ่นติดเรต นอกจากน้องแนท-เกศริน หรือเอมมี่ แม็กซิม ที่โด่งดังเป็นพลุแตกในแวดวงหนังแนวนี้แล้ว อีกหนึ่งนามที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาดก็คือ เชอร์รี่ สามโคก

ปฐมเหตุแห่งการที่เราพาตัวเองเข้าไปในโลกของเชอร์รี่ครั้งนี้ เพราะหลังจากที่เล่นหนังอาร์มาอย่างดุเดือด เชอร์รี่ก็ประกาศแขวนเต้า โบกมือลาวงการหนังอาร์เป็นการถาวรหรือไม่ เราไม่ได้ถาม แต่ทุกๆ คำสนทนา มันบอกกล่าวอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง มันมีความหมายระหว่างบรรทัดให้คิด แน่นอน…

ผู้หญิงร้อย(กว่า)เรื่อง
ในโลกของหนังเรต

อาจไม่ใช่ข่าวใหญ่ระดับพาดหัวตัวไม้ แต่เรื่องหนึ่งซึ่งกำลังถูกพูดถึงกันในแวดวงสมาคมนิยมหนังแผ่นติดเรต ก็คือ การโบกมือลาวงการหนังอาร์ของดาราตัวท็อปที่เป็นขวัญใจชายไทยจำนวนไม่น้อยทั่วประเทศ เหตุและผลของการตัดสินใจนี้เป็นอย่างไร หญิงสาวผู้ผ่านงานการแสดงมาอย่างโชกโชน ยิ้มแล้วเล่า…

“จริงๆ แล้ว เชอร์รี่เล่นหนังแผ่นหรือหนังอาร์อีโรติก หลังจากที่เชอร์รี่เล่น “น้ำตาลแดง 2” แล้วล่ะค่ะ เล่นมา 2-3 ปี มีผลงานออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 50 กว่าเรื่อง แล้วที่ยังไม่ออกมาอีกไม่รู้เท่าไหร่ เชอร์รี่เคยนั่งนับว่า ถ้าออกมาทั้งหมด ก็เกือบร้อยเรื่อง เชอร์รี่เลยมองว่ามันค่อนข้างเยอะแล้ว และรู้สึกอิ่มตัว แต่ที่สำคัญ เชอร์รี่รู้สึกว่า ทิศทางของหนังแผ่นเรตอาร์ ก็ไม่ได้กว้างมาก มันจะเป็นโปรเจกต์เล็กๆ ใช้ทุนไม่เยอะ ความละเอียดในเรื่องบทหรือโปรดักชันอะไรต่างๆ ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถือว่าเป็นหนังทุนต่ำ พูดง่ายๆ ว่าเชอร์รี่เล่นมาทุกบทบาทแล้วล่ะ ในแวดวงหนังแผ่น ไม่ว่าจะดีจะร้ายจะไทยจะเทศจะอะไร เราเล่นมาหมดแล้ว ก็เลยมองว่ามันน่าจะพอแล้ว แล้วเราก็ไม่อยากเลิกเล่นตอนเขาไม่จ้างแล้ว”

มีอะไรที่มากกว่านั้นไหม? เราสงสัย

“พูดตรงๆ มันก็มีผลกระทบหลายอย่างต่อเชอร์รี่ แต่ตรงนี้ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นางเอกหนังแผ่น หลายคนในโลกโซเชียลก็จะชอบมาคอมเมนต์ไม่ดีเวลาเชอร์รี่มีผลงานออกทางฟรีทีวี เมื่อก่อนเชอร์รี่เล่นบางรักซอย 9 เล่นประมาณ 6 ตอนเท่านั้นค่ะ แล้วก็มีกระแสในโซเชียลว่าเชอร์รี่ไม่เหมาะสม เอามาเล่นได้อย่างไร

“ภาพเราเป็นภาพเซ็กซี่ เป็นดาราหนังอีโรติก แล้วยิ่งมาเล่นหนังแผ่นอีก มันก็ยิ่งตอกย้ำภาพ มันก็มีผลกระทบในเรื่องของงาน อย่างเช่น เวลาคนติดต่องานละครเข้ามา เชอร์รี่จะเล่นได้ไหม ก็เล่นไม่ได้ เพราะภาพเราดูแรง เล่นหนังใหญ่ก็พอเล่นได้ แต่จะโดนด่ามากกว่าชม แล้วคนก็ไม่ได้โฟกัสที่ว่าเราเล่นดีหรือไม่ดี แต่เขากลับมองว่าเราไม่เหมาะสม หรือมองว่าอดีตเราเป็นอย่างไร”

แต่ไม่ว่าคนจะมองอย่างไร เชอร์รี่กลับบอกว่าเธอไม่ได้ติดใจอะไร และเข้าใจทุกอย่างในสิ่งที่เกิดขึ้น

“ไม่ใช่ว่าคนเขาไม่แยกแยะนะคะ เราก็เข้าใจนะ บางทีเรามองดาราบางคนว่าเขาขายความเซ็กซี่ เราก็ยังไม่ได้มองเขาในแง่ดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คนอื่นเขาก็คงมองเราอย่างนั้นได้เช่นเดียวกัน แล้วเขาก็ไม่ได้มารู้จักเราจริงๆ ว่า ตัวจริงเราเป็นอย่างไร นั่นมันคืองานนะ แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจ แน่นอนว่าการที่เราหยุดจากตรงนั้น เราก็ไม่สามารถลบภาพเดิมออก แต่เราแค่รู้สึกพอ และคิดว่าไปทำอย่างอื่นบ้างดีกว่า”

ความหมายของการ “ไปทำอย่างอื่น” ของเธอ รับรองว่าฟังแล้วคุณต้องอึ้งแน่ๆ

“จริงๆ แล้วเชอร์รี่สร้างอะไรขึ้นมาเป็นอนาคตของเชอร์รี่ไว้แล้ว โดยที่ไม่ได้ไปออกสื่อหรือบอกกับใคร ตอนที่เชอร์รี่ทำงาน เชอร์รี่เก็บเงินไปทำธุรกิจแล้ว เชอร์รี่มีธุรกิจบ้านเช่าคนงานอยู่ที่บ้านเกิดนครปฐม เชอร์รี่มีธุรกิจร้านของฝากหนึ่งร้าน มีธุรกิจร้าน “20 ช็อป 20 บาท” อีกหนึ่งร้าน แล้วก็มีบ้านร้อยปีที่เชอร์รี่ไปซื้อที่ภาคเหนือ เป็นบ้านไม้อายุร้อยปี เราซื้อยกหลังมา แล้วพอดีเรามีที่ที่เชียงใหม่ ก็เลยยกบ้านเอามาไว้ตรงนั้น ตอนนี้ก็เปิดเป็นรีสอร์ต มีพวกโรงเรียนติดต่อมาขอทัศนศึกษา เพราะว่าในนั้นมีของเก่าๆ แล้วก็มีเหมือนร้านกาแฟโบราณที่ไม่ได้ขายกาแฟจริงๆ นะ แต่มันเป็นร้านโบราณ และยังมีร้านตัดผมที่ตัดผมแบบโบราณ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราทำ แต่ว่าเราไม่ได้ไปบอกใครว่าเราทำ ไม่ได้ว่าเราจะรวยยังไงนะคะ ทุกอย่างมันก็มาจากตัวเราเอง ที่เราทำมา แล้วเราก็เอาไปลงตรงนั้นลงตรงนี้ สำหรับอนาคต”

รีเพลย์…
เส้นทาง ‘เจ้าแม่หนังอาร์’

อยู่บนเส้นทางหนังสยิว และมีผลงานมาเป็นร้อยเรื่อง ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ใครต่อใครจะขนานนามเธอว่าเป็น “เจ้าแม่หนังอาร์” เชอร์รี่บอกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรกับถ้อยคำดังกล่าว

“เขามาเรียกทีหลัง เพราะว่างานหนูเยอะไงคะ คือบนแผงหนังอีโรติก ต้องมีผลงานออกใหม่ของเชอร์รี่ทุกเดือน แล้วก็ก่อนที่เชอร์รี่จะมาเล่น เชอร์รี่ก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างแล้ว ทีนี้พอมาเล่นหนังปุ๊บ เราก็เลยดูมีชื่อชั้นนิดนึง กลายเป็นเจ้าแม่ไปเลย แต่ก็ดีค่ะ ถ้าเขามองเราว่าเป็นเจ้าแม่ ก็เนื่องด้วยผลงานเราค่อนข้างเยอะ หลายค่าย ก็รู้สึกขอบคุณแล้วกันที่ให้ฉายานั้นมา”

แต่ก่อนจะได้ฉายานั้นมา เธอก็เป็นหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกรู้สาและมีความใฝ่ฝันเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ

“มันต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่เชอร์รี่เรียนมหา’ลัย อยู่ที่ศิลปากร ทับแก้ว เชอร์รี่เป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ปิดเทอมก็มาอยู่กับเพื่อนที่กรุงเทพฯ แล้วก็ทำงานเป็นพริตตี้ เป็นนักแสดงตัวประกอบ พอเปิดเทอมก็กลับไปเรียน เราก็พอรู้ลู่ทางวงการบันเทิงบ้าง งานซึ่งเป็นที่รู้จักหน่อยก็คงเป็นโฆษณา “สินมั่นคงประกันภัย” ชุดมาเร็วเคลมเร็วไปเร็ว แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรต่อ เลยทำให้ขาดช่วง

“หลังจากนั้น พอเรียนจบ ป.ตรี เชอร์รี่ตั้งใจจะมาเรียนต่อปริญญาโทที่กรุงเทพฯ แต่มันเป็นจังหวะที่มีคนเขาติดต่องานเข้ามาพอดี เลยได้ถ่ายแบบลงหนังสือ ถ่ายแบบลงหนังสือบ้าง ทริปถ่ายภาพบ้าง แต่มันเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไปเจอคนที่เขาไม่ค่อยดีแล้วเขาก็พาเราไปถ่ายรูปไม่ดี แล้วมันค่อนข้างมีผลกระทบมากเพราะว่าไปถ่ายแค่ 2-3 วัน แต่ว่าวันหนึ่งเขาถ่าย 20-30 ชุด แล้วเขาปล่อยออกมาเดือนละชุด พอมันปล่อยออกมาในอินเทอร์เน็ตแล้วเนี่ย คนในอินเทอร์เน็ตบางทีเขาก็มาโยงกันว่าจำเราได้ เราเป็นนางเอกโฆษณา แล้วก็มาเป็นข่าวตอนที่เราไปเล่นบางรักซอย 9

“ส่วนเรื่องของวงการหนังแผ่น เขาก็ติดต่อมาตั้งนานแล้วล่ะ แต่เชอร์รี่ไม่เคยอยากจะเล่นเลย แล้วทีนี้พอเล่นน้ำตาลแดง ภาค 2 แล้ว เขาก็ติดต่อมาอีกครั้ง ก็เหมือนคุยเงื่อนไขกันมันโอเค เชอร์รี่ก็เลยเล่น เพราะเชอร์รี่มองว่าใครจะมองหนังแบบนี้ยังไง เชอร์รี่ไม่ทราบนะคะ แต่เชอร์รี่มองว่ามันอยู่ในลิมิตที่เราทำได้ หนังแผ่นอีโรติกมันไม่ได้ทำอะไรกันจริงๆ เหมือนพวกหนังเอ็กซ์หนังโป๊ มันก็ยังเป็นหนังถูกกฎหมาย มันไม่ได้ทำอะไรกันจริงๆ ขั้นตอนของการทำงานมันก็มีการเซฟการทำอะไรที่มันไม่ได้ทำจริง เชอร์รี่ก็มองว่ามันเป็นงาน มันก็เป็นงานการแสดงอย่างหนึ่ง ก็ทำได้ และเหนืออื่นใด มันมีการจัดเรต หนังที่เราเล่นเป็นหนังเรต 18+ หนังเรตนี้มันไม่มีทางเห็นอวัยวะช่วงล่าง เหมือนหนังเอ็กซ์พวกนั้น”

“แถวสามโคกอ่ะ หนูจี๊ดสุด”

นอกจากคำว่า “เจ้าแม่หนังอาร์” อีกหนึ่งฉายาซึ่งเป็นที่โจษจันกันในหมู่ผู้คน ก็คงหนีไม่พ้น “เชอร์รี่ สามโคก” อย่าเพิ่งจินตนาการไปไหนไกล เพราะที่มาที่ไปของฉายานี้ หญิงสาวบอกว่ามันเรียบง่ายมาก

“ส่วนใหญ่แล้วทุกฉายาที่ได้มา มันก็มาจากผลงาน แรกเริ่มเลยก็จะเป็น “เชอร์รี่ วีระดา” เกิดมาจากเมื่อก่อน เชอร์รี่ถ่ายแบบ แล้วยังไม่อยากใช้ชื่อตัวเอง เขาบอกว่าตอนนั้นเชอร์รี่หน้าเหมือน กิ๊บซี่-วนิดา ตอนแรกจะใช้ “กิ๊บซี่-วีระดา” แต่เจ้าของหนังสือบอกว่าเชอร์รี่เป็นที่รู้จักแล้ว งั้นขอใช้เชอร์รี่ ก็เป็นเชอร์รี่ วีระดา ต่อมาก็มี “เชอร์รี่สินมั่นคง ก็มาจากโฆษณาประกันภัย “เชอร์รี่ออนสเตจ” มาจากเล่นกับพี่หม่ำ

“อันที่คนสงสัยมากที่สุดคงจะเป็นเชอร์รี่สามโคก เชอร์รี่ไม่ได้อยู่อำเภอสามโคก ปทุมธานี แต่ว่าในตอนที่เล่น “หม่ำออนสเตจ” กับพี่หม่ำ จ๊กมก มีมุกตอนหนึ่งซึ่งพี่หม่ำเขาคิดให้เชอร์รี่เท้าสะเอวด่าพี่มดแฟนพี่หม่ำ แล้วก็บอกว่า “พี่ไม่รู้ว่าหนูเป็นใครนะ หนูอ่ะ เชอร์รี่ สามโคก แถวสามโคกอ่ะ หนูจี๊ดสุด” แล้วพี่หม่ำก็จะตบมุกมาว่า อ่อ “มันอยู่ปทุม” มุกไม่ได้ฮานะคะ แต่คนก็จำว่าเออ เชอร์รี่สามโคก ไม่ได้เกี่ยวกับปทุมธานีใดๆ เลย หลังจากนั้นก็จะมี “เชอร์รี่บางรักซอย 9” และ “เชอร์รี่ น้ำตาลแดง 2”

นั่นหมายความว่า สามโคก ไม่ได้มีนัยทะลึ่งอย่างที่หลายคนคิด? เราแอบกระแซะ

“จริงๆ ไม่ค่อยชอบคำนี้เท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจว่าตอนแรกที่พี่หม่ำคิดมุกนี้ขึ้นมา คำว่าสามโคก มันคงเป็นคำมันๆ ฟังดูสองแง่สองง่าม และบังเอิญเป็นชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีด้วย ก็ไม่อะไร แต่พอมาเป็นเชอร์รี่ สามโคก คนก็ตีความไปในเรื่องทะลึ่งตึงตัง มันเข้าใจได้ค่ะ ถามว่าชอบมั้ย เราก็คงไม่ได้ชอบ แต่เราได้รับฉายานี้มาแล้ว แล้วแต่คนจะตีความยังไง เราก็คงไปห้ามเขาไม่ได้ ก็แล้วแต่ค่ะ สนุกสนานกันไป”

ปลงและเข้าใจ
ในกระแสโลก

แน่นอนว่า สิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีวันเลี่ยงพ้นก็คือ “คำของคน” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้หญิงที่เดินมาในเส้นทางสายนี้ มีหรือที่ใครจะมองว่าดี ส่วนมากล้วนแล้วแต่หยามหมิ่นดูแคลนกันทั้งนั้น เชอร์รี่เองก็ผ่านพบประสบเจอเรื่องราวแบบนั้นมา

“ต้องบอกว่าตอนแรกๆ ที่เจอกระแสสังคมแบบนี้ ก็ทำเอาเชอร์รี่เกือบเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนมาด่า ทำอะไร ทำงานอะไรก็มีคนมาด่า ด่าแบบเสียหายด้วย เราก็ตกใจ ทำไมเขาต้องเกลียดเรา เราไปทำอะไรให้เขาเหรอ ช่วงนั้นที่เป็นมากๆ คือไม่ออกจากห้อง คือไม่ใช่อะไรนะคะ เพราะแค่เราไปเดินห้าง เราเห็นคนมองเรา ซึ่งอาจจะมองเพราะเราดูแต่งตัวเป๊ะกว่าชาวบ้านทั่วไป เราอาจจะดูคุ้นๆ หน้า หรือเราอาจจะดูยังไงไม่รู้ แต่เขามองเรา มือเชอร์รีjสั่น เหมือนรู้สึกหวาดระแวงว่าคนที่มองเราคือคนที่ด่าเราในโซเชียลมีเดียหรือเปล่า เขาเป็นคนที่ไม่ชอบเราหรือเปล่า

“ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก อยู่แต่ในห้อง แล้วก็อ่านหนังสือคติธรรมข้อคิด ให้กำลังใจตัวเองไป แล้วก็คนคนหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าใคร ให้กำลังใจเชอร์รี่ด้วยการพูดว่า “เชอร์รี่ เขาเกลียดเราเพราะงานที่เราทำ เขาไม่ได้เกลียดที่ตัวตนของเรา ยังไม่มีใครรู้จักเลยว่าเชอร์รี่เป็นอย่างไร เชอร์รี่ลองดูงานตัวเองแล้วคิดว่าไม่ใช่ตัวเองสิ เชอร์รี่จะชอบไหมล่ะ ก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้น เขาไม่ได้รู้จักเรา เขาเกลียดงานที่เราทำ งานที่เราทำมันก็เป็นงานที่ดาร์กไซด์อยู่แล้วในสังคมไทย ฉะนั้น จะหาคนที่ยอมรับนับถือมันก็คงยาก” พอมาทุกวันนี้ เชอร์รี่ก็เลยปลง ทำใจได้บ้าง แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่มีคนเข้ามาโจมตีในแฟนเพจเชอร์รี่ ก็มีตอบโต้บาง เฉยบ้าง ตอบโต้ในที่นี้ เราก็แค่อธิบาย แต่บางคนเขาไม่ได้ต้องการคำอธิบาย เขาต้องการแค่จะโจมตีเรา ต่อให้เราอธิบายยังไง เขาก็จะโจมตีอยู่ดี”

แต่ถึงจะมีคนโจมตี แต่เชอร์รี่ก็มีกำลังใจจากครอบครัวเสมอมา…

“ในเรื่องทางบ้านของเชอร์รี่ คือครอบครัวเลี้ยงแบบให้ตัดสินใจเองในทุกอย่างในชีวิต ตั้งแต่สมัยเรียน จะเรียนอะไรเอาเลย เขาให้โอกาสเชอร์รี่ในการตัดสินใจเลือกชีวิตตัวเอง แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพ่อแม่ ปรึกษาครอบครัวได้ แต่ด้วยการที่เขาให้เราตัดสินใจเอง ทำให้เราไม่ค่อยปรึกษาอะไรใครเท่าไหร่ และทางครอบครัวจะบอกเสมอว่า เชอร์รี่จะเดินผิดเดินถูก เดินไปทางไหนก็แล้วแต่ ถ้าเดินผิดพลาดแล้วรู้ตัวก็เดินใหม่ เพราะท้ายที่สุด ทุกคนต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง พอเกิดเรื่องขึ้นมา ทางบ้านเชอร์รี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาก็แค่เป็นห่วง แต่เขาก็ไม่ได้ชอกช้ำระกำใจอะไรขนาดนั้นที่เราทำงานแบบนี้ เขาเห็นอยู่ว่าเราทำอะไรทั้งหมด เราทำไปทำไม เราก็มาดูแลครอบครัว เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ได้เสียใจ แต่ก็ไม่ได้ดีใจ เขาเป็นห่วงเรามากกว่า ว่าจิตใจเราจะไหวไหม”

นักแสดงทุกคน หรือคนทำงานทุกชีวิต ย่อมมีหมุดหมายในการนำเสนอว่าผลงานของตัวเองจะให้อะไรกับสังคมบ้าง ไม่ว่าในเชิงเนื้อหาสาระหรือความสนุกสนานบันเทิง เรายิงคำถามนี้ให้เชอร์รี่ตอบในช่วงท้ายว่าเธอคิดว่าอะไรคือเป้าหมายในการทำงานของเธอ…

“เอาเป็นว่า งานของเชอร์รี่ เชอร์รี่มองในส่วนแค่การแสดงของเชอร์รี่แล้วกัน เพราะว่าองค์รวมของภาพยนตร์มันคือทุกๆ อย่าง มีนักแสดงคนอื่นๆ มีการตัดต่อ มีการเขียนเรื่อง มีอะไรตรงจุดอื่นซึ่งเชอร์รี่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่การแสดงของเรา เราคอนโทรลได้ ถามว่าการแสดงของเชอร์รี่ให้อะไร ก็คงจะให้ความบันเทิงกับคนดู ภาพยนตร์คือความบันเทิงอยู่แล้ว แต่ละเรื่อง อาจจะมีข้อคิดที่แตกต่างกันไป ความบันเทิงในที่นี้ ก็แล้วแต่ละกันว่าแต่ละคนจะบันเทิงในรูปแบบไหน ถ้างานของเชอร์รี่สร้างความบันเทิงให้กับคนดู เชอร์รี่ก็ดีใจ จะบันเทิงแบบไหนก็แล้วแต่ แต่ไม่ต้องมาบอกกันก็ได้” (ยิ้ม)

………………………………….

*** 7 คำถาม แหวกหัวใจ เชอร์รี่ สามโคก ***

1. เชอร์รี่มีแฟนหรือยังครับ?
หูยยย…ถ้าแฟนคลับน่ะเยอะเลยค่ะ 555

2.แล้วอย่างนี้ น่าจะมีคนจีบเยอะนะครับ?
คนชอบคิดอย่างนั้นมาก เชอร์รี่ต้องมีคนมาจีบเยอะแน่ๆ เลย แต่ตามจริงแล้ว เชอร์รี่เป็นคนชอบเก็บตัว มีคนรู้จักเยอะ แต่เพื่อนที่สนิทจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนสมัยเรียน เชอร์รี่ไม่เที่ยวพวกผับบาร์ปาร์ตี้อะไรอย่างนี้ มันปวดหัว อยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ แล้วปวดหัว เราชอบอยู่บ้าน มีโลกส่วนตัว เพราะฉะนั้นเชอร์รี่รู้จักคนเยอะก็จริง แต่เราจะเจอคนค่อนข้างน้อย อย่างงานหนัง เชอร์รี่พูดได้เลยว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีพระเอกหนังหรือว่าทีมงานคนไหนมาจีบเชอร์รี่เลย แล้วเราเลือกได้ว่าเราจะเลือกให้หรือไม่ให้ความสนิทกับใคร

3. คนที่จะตีสนิทกับเชอร์รี่ได้ ต้องเป็นคนยังไง?
ไม่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นคนยังไง เหมือนสมมติว่า ถ้าเป็นคนที่ร่วมงานด้วยแล้วก็อาจจะได้คุย เราก็จะดูวิธีการคุยของเขา ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าเรารู้สึกว่าคุยแล้วเราสบายใจ เราก็จะคุยต่อ แบบดูลึกๆ หน่อย แต่ถ้าสมมติว่าคนไหนคุยแล้วเรารู้สึกคุยแค่นี้ดีกว่า ก็จะคุยในลักษณะงาน

4. สเปกผู้ชายในใจของเชอร์รี่?
สเปกเหรอคะ เชอร์รี่ใกล้จะ 30 แล้ว สเปกมากไปก็คงจะโสดไปอีกนาน คือว่าจริงๆ ก็ไม่ได้มีสเปกหรอกค่ะ เชอร์รี่เชื่อในเรื่องของโชคชะตา ว่าบางคนที่เขาคบกัน ดูไม่น่าจะใช่สเปกของอีกคนหนึ่งเลย คนบางคนเคยตั้งสเปกไว้ว่า ฉันจะต้องชอบผู้ชายผู้หญิงแบบนี้ ลักษณะอย่างนี้ แต่พอมีแฟนจริงแล้วมันคนละอย่างกันเลย คนหล่อก็คงเยอะแต่ไม่ใช่ทุกคนที่เรารู้สึกถูกชะตาหรืออยากคุยด้วย สำหรับเชอร์รี่ ก็เลยบอกว่าเชอร์รี่ไม่มีสเปกหรอกค่ะ แล้วแต่พรหมลิขิตแล้วกันว่าเราจะถูกใจกับคนไหน แต่ถ้าเอาคร่าวๆ ลักษณะผู้ชายที่เรากรี๊ด เชอร์รี่ชอบผู้ชายลักษณะแบบ จอห์น เทอร์รี นักฟุตบอลทีมเชลซี เพราะเป็นผู้ชายที่ดูแข็งแรง แก่ หัวล้าน ไม่เป็นไร ดูแข็งแรงก็พอ แล้วก็ชอบผู้ชายที่เก่ง เก่งในที่นี้ไม่ใช่เก่งเรื่องอะไร แต่ทำมาหากินเก่ง คนเราไม่ต้องเก่งทุกอย่าง แต่มีอะไรให้เราชื่นชมจังเลย เท่านั้นก็พอแล้ว

5. เชอร์รี่ชอบอวัยวะส่วนไหนของตัวเองมากที่สุด?
น่าจะเป็นดวงตา เพราะเชอร์รี่เป็นคนตาดุ ถ้าไม่แต่ง ถ้าไม่ยิ้ม หรือไม่ใส่บิ๊กอาย ดวงตาจะดูดุมาก แต่ก็เป็นคนตาวิ้งได้เหมือนกัน มันดูลึกลับซับซ้อนและมีเสน่ห์ดี

6. เชอร์รี่เป็นผู้หญิงแบบไหน?
จริงๆ แล้วเชอร์รี่เป็นผู้หญิงลึกลับ และค่อนข้างซีเรียส คิดมาก จริงจังกับชีวิต จริงจังกับสิ่งที่เราอยากทำ หรือว่าสิ่งไหนที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสเรา เราก็ทำเต็มที่ จริงจังกับมันเต็มที่ ไม่ได้เป็นผู้หญิงปาร์ตี้ที่ชอบเที่ยว แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นกุลสตรีไม่ดื่มไม่อะไรเลย ก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่ารูปแบบของเรา ถ้าจะมีความสุขกับการเที่ยวคือการได้คุยกับเพื่อนเก่า อย่างถ้าเป็นร้าน ก็ชอบนั่งร้านชิลๆ ฟังเพลง

7. เชอร์รี่จีบยากไหม?
คงยากนะคะ จริงๆ แล้วเชอร์รี่ไม่ได้ชอบคนที่มาจีบ ประเภทว่าตั้งใจมาจี๊บบบบ…มาจีบเลย ถ้าตั้งใจมาจีบ รับรองไม่ติดหรอก ต้องมีชั้นเชิงให้เชอร์รี่ไม่รู้ตัว แบบให้เราสงสัยว่าชอบเราหรือเปล่านะ อย่างนี้ถึงจะดูน่าสนใจ แต่ถ้าตั้งใจมาแบบว่า โอ้โห จีบเลย เชอร์รี่ไม่เอาหรอก เหมือนเชอร์รี่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นใครอะนะ อย่างในแฟนเพจ เชอร์รี่ก็มีแฟนคลับเป็นหมื่นถึงสองหมื่น ก็จะมีทุกวันที่ส่งข้อความมาหาเชอร์รี่ ผมจีบคุณได้ไหม 555 มาทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ย มาหวานจ๋อยตั้งแต่แรกพบ จ้ะ กลับบ้านไปเถอะพี่ 555