เกาะรัตนโกสินทร์ หรือที่รู้จักกันในนามพระนคร ถือเป็นหัวใจสำคัญของเมืองเก่า (old town) ที่มีเสน่ห์ด้านศิลปวัฒนธรรม และมีความดั้งเดิมของวิถีชีวิตผู้คนในกรุงเทพฯ มากที่สุด โดยเฉพาะวัดพระแก้ว (Grand Palace) ที่นักท่องเที่ยวจากทุกชาติต่างมุ่งหน้ามาชม เพราะถือเป็นหนึ่งในหมุดหมายที่พลาดไม่ได้ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย
กิจการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวบนเกาะรัตนโกสินทร์คือ เกสต์เฮาส์ โรงแรม และสถานบันเทิงที่รองรับนักท่องเที่ยวที่ใหญ่และมีสาขาเยอะที่สุด มีฐานบัญชาการหลักบนถนนข้าวสาร ซึ่งถือว่าเป็นสวรรค์ของเหล่านักแบกเป้เดินทาง (backpacker) และหนึ่งในเครือข่ายของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกิจการเหล่านี้ มีบริษัทที่ชื่อว่า ‘บัดดี้ กรุ๊ป จำกัด’ หรือชื่อเดิม ‘บริษัท ไทฟ้า และเพื่อน จำกัด’ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2539 รวมอยู่ด้วย
จิรวิทย์ ชยวรประภา นักธุรกิจหนุ่มทายาทคนเล็กของ ‘ไทฟ้า ชยวรประภา’ (ผู้ก่อตั้งอาณาจักร บัดดี้ กรุ๊ป) ซึ่งเข้ามารับไม้ต่อบอกว่า ด้วยสภาพบ้านเมืองเช่นนี้ แน่นอนอยู่แล้วที่ธุรกิจมูลค่ามากกว่าพันล้านบาทของเขา จะได้รับผลกระทบพอสมควร แต่ทัศนคติของนักธุรกิจหนุ่ม ที่ใครหลายคนอาจมองว่ายังด้อยประสบการณ์ ก็กลับฉายแววของการเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นออกมาอย่างชัดเจน
จากเด็กน้อยผู้เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงของถนนเส้นนี้มาตั้งแต่เกิด จนกลายมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนมันให้พัฒนาไปข้างหน้า หรือเลยไปถึงขั้นที่ว่า เขาคือผู้กุมชะตากรรมของธุรกิจบนถนนเส้นนี้ จิรวิทย์คงหลีกหนีข้อสงสัยของผู้คนที่ว่า ‘เขาเป็นมาเฟียหรือเปล่า?’ ไปไม่ได้
เพราะท่ามกลางการฟาดฟันของวงการธุรกิจที่ต้องเกี่ยวข้องกับเงินตรา และความมึนเมายามราตรี คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หากจะกระโจนลงไปขี่หลังเสือตัวโตที่มีชื่อว่าข้าวสาร ใครคนนั้นคงต้องมีความกล้าหาญ และใจนักเลงพอสมควร
ทว่าข้าวสารจะมีแต่ด้านมืดอย่างที่ใครหลายคนคิดจริงๆ หรือไม่ เหตุใดนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงหลงใหลถนนเส้นนี้กันนัก และแนวคิดที่เขาจะนำเข้ามาพัฒนาธุรกิจต่อจากพ่อจะเป็นอย่างไร นักธุรกิจหนุ่มจะมาเปิดเผยให้เราฟังอย่างหมดเปลือก
คุณเป็นคนที่อยู่ถนนข้าวสารมาตั้งแต่เกิด?
ผมอยู่บนถนนข้าวสารตั้งแต่เกิด จริงๆ ผมเกิดที่นนทบุรี เนื่องจากผมเรียนเซนต์คาเบรียล เราก็เลยย้ายมาอยู่แถวนี้ คุณพ่อ (ไทฟ้า ชยวรประภา) ทำร้านถ่ายรูปอยู่ที่นี่ อยู่ถนนข้าวสารมาตั้งแต่เด็ก ขายก๋วยต๋งก๋วยเตี๋ยว คุณแม่ทำร้านถ่ายรูปบนถนนข้าวสาร เกิดมาเราก็เห็นถนนเส้นนี้มาตั้งแต่ 4 ขวบ คือจำความได้ วิ่งเล่นบนถนน เล่นสงกรานต์บนถนน เห็นการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เรายังเป็นเด็กๆ ว่าพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่ก่อนจะเป็นห้องแถวเล็กๆ เหมือนกันทั้งซอย หลังๆ พอมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะๆ มันก็ขยายไปทางถนนรามบุตรี นิวเวิลด์ สามเสน แล้ววิสุทธิกษัตริย์ ขยายไปทางโน้นแทน
นักท่องเที่ยวต่างชาติหลงใหลอะไรบนถนนข้าวสาร
ทำไมนักท่องเที่ยวมาถนนข้าวสาร… คือแถวนี้มันใกล้แหล่งวัฒนธรรม มีวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดอรุณฯ ซึ่งผมว่าทาง กทม. ก็พยายามรักษาเกาะรัตนโกสินทร์ตรงนี้ให้เป็นโอลด์ทาวน์ ถ้าเราไปต่างประเทศก็จะพบว่า เขาพยายามรักษาเมืองเก่า รักษาสถาปัตยกรรมเก่าๆ ไว้ พยายามสงวนและอนุรักษ์ไว้ เดินมาก็จะได้กลิ่นได้อารมณ์ย้อนยุค
ปัจจุบันเขาแบ่งเมืองเป็น 2 โซน คือเมืองใหม่กับเมืองเก่า เมืองใหม่ก็เป็นย่านการค้าที่มีบีทีเอสผ่าน สีลม สาทร เมืองเก่าก็เป็นโซนนี้ มีมิวเซียม และสถานที่โบราณสำคัญๆ ทำให้นักท่องเที่ยวชอบมาเดินเที่ยว ก็เลยมาพักแถวนี้ ถนนข้าวสารจึงเปรียบเสมือนเป็นเซ็นเตอร์กลาง เป็นฮับสู่อาเซียน เวลาเขาจะบินไปลาว เขาก็มาซื้อตั๋วที่นี่ เมื่อบินไปลาวเสร็จกลับมา จะไปเขมรก็มาซื้อตั๋วรถบัสที่นี่ ฉะนั้นที่นี่จึงกลายเป็นคอมมูนิตี้ของคนที่จะไปเที่ยวในอาเซียน ซึ่งต้องยอมรับว่าไทยนั้นเป็นศูนย์กลางของประเทศย่านนี้ ติดกับมาเลย์ พม่า ลาว เขมร เวลาไปเที่ยวเสร็จทุกคนก็กลับมาที่เมืองไทย หากอยู่กรุงเทพฯ นักท่องเที่ยวก็จะมารวมกันที่ถนนข้าวสาร แล้วค่อยซื้อทัวร์ บางทีเจอกัน กินเบียร์คุยกันถูกคอ ไป destination เดียวกัน ก็ไปเที่ยวด้วยกันเสียเลย
คุณคิดว่าจิตวิญญาณของถนนข้าวสารอยู่ตรงไหน
ข้าวสารมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น สมัยก่อนถนนข้าวสารคนจะมองว่าเป็นแหล่งรวมแบ็กแพ็กเกอร์ โรงแรมราคาถูก ปัจจุบันยังมีอยู่ คืนละ 200-300 บาท แต่เริ่มกระจายไปอยู่ถนนสามเสนแถวซอย 1 บ้าง ซอย 2 ซอย 4 ซอย 6 ซึ่งยังมีเกสต์เฮาส์อยู่ เมืองไทยเป็นเมืองที่มาท่องเที่ยวแล้วคุ้มที่สุด แทบจะที่สุดในโลก การบริการดี อาหารอร่อยและถูกปาก ก๋วยเตี๋ยว ข้าวกะเพรา ผัดไทย อะไรพวกนี้
จิตวิญญาณข้าวสารเปลี่ยนไปไหม… สมัยก่อนนักท่องเที่ยวก็มากินเบียร์กันที่นี่ เด็กๆ ผมยังเคยเจอฝรั่งเมาแล้วแก้ผ้าเดินกลางถนนที่นี่ มีอะไรแบบบ้าๆ บอๆ ซึ่งเป็นอารมณ์ของถนนข้าวสาร บางทีฝรั่งวัยรุ่นอยากทำอะไรเฮ้วๆ หลังเรียนจบแล้ว เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังมีสนุกอย่างนั้นอยู่ มันเหมือนเป็นแหล่งสนุก แฮงก์เอาต์ ปาร์ตี้เจอกัน เป็นเฟรนด์ คอมมูนิตี้ เจอเพื่อนต่างชาติต่างภาษากัน อย่างผมนั่งกินเบียร์ก็มีคนมาทักทาย ผมมีเพื่อนต่างชาติ เขารู้ว่าผมชอบเล่นรถโบราณเขาก็ซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับรถโบราณมาฝาก มีมาทุกปี ผมจะมีเพื่อนต่างชาติเยอะเหมือนกัน
แล้วถนนข้าวสารมีด้านมืดหรือเปล่า
ผมว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีก็แล้วกัน คือในแง่ของผิดกฎหมายผมไม่เคยเห็น ข้อดีของถนนข้าวสารที่ต่างจากพัฒน์พงษ์ คือเราไม่มีอะโกโก้เลย เท่าที่ผมสัมผัสนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเวลาที่เราไปโรดโชว์ต่างประเทศ จะพบว่าถนนข้าวสารจะมีชาวต่างชาติเดินทางกันเป็นครอบครัวมาพักเยอะ พาลูกพาเด็กมาเดินเที่ยว เดินช้อปปิ้ง กิน พักผ่อน จูงลูกเด็กเล็กแดงเดินอย่างสบายใจ เป็นท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากกว่า ส่วนด้านมืดผมมองว่าไม่มี แค่เป็นแหล่งแฮงก์เอาต์ ส่วนมากดื่มอย่างเดียว มีเพื่อนมามีตติ้งกันอะไรอย่างนี้ เพราะที่นี่ตื่น 24 ชั่วโมง
การทำธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับความบันเทิงต้องเป็นคนที่ใจนักเลงและเป็นเพลย์บอย จริงหรือเปล่า
ใจนักเลงไหม… ผมว่าคนทำธุรกิจอย่างนี้น่าจะมีเพื่อนเยอะ ส่วนเพลย์บอยผมว่าไม่นะ เพราะว่าผมเป็นคนมีเพื่อนเยอะมาตั้งแต่เด็ก สมมุติเรามีเพื่อน 10 กลุ่ม เราต้องมาทั้ง 10 วัน เราต้องอยู่ที่นี่ตลอด เพราะว่าเพื่อนเราเยอะที่แวะเวียนมา ส่วนเรื่องใจนักเลง ธุรกิจบันเทิงเอนเตอร์เทนเมนต์นี่ บางคนมองว่าเป็นธุรกิจสีเทา สำหรับผมมองว่าเป็นอาชีพหนึ่ง ถ้าเราทำให้ถูกต้อง มีใบอนุญาตสถานประกอบการ ตรวจทางหนีไฟ และเราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ก็เป็นอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้ ซึ่งผมมองว่าก็เหมือนกับร้านอาหารทั่วไป อย่าไปมองว่าต้องเป็นมาเฟียนะ หรือไม่เป็นมาเฟียทำไม่ได้หรอก
อย่ามองว่าเป็นมาเฟียเลย เราเคารพในกฎกติกา พยายามที่จะทำให้มันถูกต้อง ผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าทำให้ถูกต้องนะ สถานประกอบการของเรามีใบอนุญาตทุกที่ ซึ่งขอยากมาก แล้วคนปกติเขาจะไม่ขอกัน เพราะมันยาก อย่างเรานี่ไม่ได้ เสียภาษีแพงกว่าก็ต้องยอม เพราะเราไม่อยากถูกบอกว่า ใช้อำนาจมืดนะ ไม่มีใบอนุญาตแล้วมาเปิดได้อย่างไร มันไม่ได้นะ เราเน้นความถูกต้อง
ไม่ชอบคำว่า ‘มาเฟียถนนข้าวสาร’ เลยใช่มั้ย
ผมว่ามันแรงไป มาเฟียมันต้องมีอิทธิพลหรือทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ตัวผมเองไม่เคยใช้อิทธิพล แล้วเราก็ไม่มีความรู้สึกว่าทำไมต้องใช้อิทธิพล ในเมื่อเราทำถูกต้องทุกอย่าง ผิดก็ว่ากันไปตามผิด ถูกก็ว่ากันตามถูก มีอะไรเราก็คุยกันแบบตรงๆ
อยู่ถนนข้าวสาร เจอผู้หญิงเกือบทุกชาติ ชอบชาติไหนมากที่สุด
ยังไงผมก็ยังชอบคนไทย ผมมีเพื่อนผู้หญิงต่างชาติเยอะนะ ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา แคนาดา อังกฤษ แต่ผมว่าผู้หญิงไทยมีเสน่ห์มากที่สุด ผู้หญิงต่างชาติเขาจะแข็งๆ หน่อย ไม่ค่อยอ้อน ผู้หญิงไทยขี้อ้อนสุดแล้ว เป็นเสน่ห์ของผู้หญิงไทย หน้าตาผมไม่มีสเป๊ก เพราะแฟนเก่าของผมแต่ละคน คนละแบบกันเลย เพียงแต่เราดูว่า คนนี้มีเสน่ห์ น่ารัก
คุณเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงเข้ามาหาเยอะ? เพราะยังหนุ่ม รวย เท่ คูล และเป็นเจ้าของกิจการที่ใหญ่มากของถนนข้าวสาร
ถามว่ามีไหม ก็มีมาก แต่ส่วนมากผมจะเริ่มที่คำว่าเพื่อน จะมีการขีดเส้นว่าถ้าเป็นเพื่อน ยังไงก็ไม่มีคำว่ากระโดดข้ามเส้นคำว่าเพื่อนได้โดยเด็ดขาด แต่ถ้าสมมุติว่าคนนี้เราจะจีบก็จะจีบเลย แต่ถ้ารู้จักในฐานะเพื่อนก็จะเป็นเพื่อนไปเรื่อยๆ ชัดเจนเลย เนื่องจากผมเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ ก็ไปมาหาสู่กันเรื่อยๆ อย่างบางคนเรารู้ว่าเขาชอบเรา ก็บอกว่าเป็นเพื่อนกัน เรามีระยะ คุณให้เรามากไปก็ต้องถอย ต้องรักษาระยะอยู่เสมอไม่ให้มีเรื่องอื่น
แสดงว่าทำผู้หญิงอกหักมาเยอะแล้ว
ไม่รู้ว่าเยอะหรือเปล่า เพียงแต่ดูว่ามีใครเข้ากับเราได้หรือเปล่า ใครที่เข้าใจเรา เพราะทำธุรกิจแบบนี้ บางทีหาคนเข้าใจยากนะ เนื่องด้วยธุรกิจการงาน บางคนบอกว่าทำธุรกิจอย่างนี้ ผู้หญิงเยอะแน่นอน อยากจะบอกว่ามีไหมล่ะ เพราะเราทำธุรกิจกลางคืน ถ้าเขาไม่เข้าใจก็จะบอกว่า ไปหากิ๊ก ไปหาสาว ซึ่งเราต้องไปดูแล เฮฮากับเพื่อนๆ พรรคพวก และลูกค้า อะไรอย่างนี้
วางอนาคตตัวเองไว้ตรงจุดไหน
ต้องทำบนถนนเส้นนี้ คงใช้ศักยภาพและขีดความสามารถของตัวเองที่มี ขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเราไม่ไหว การรีไทร์ตัวเอง ผมมองว่าถ้าสวยๆ คงเป็นที่อายุ 55 ถ้าธุรกิจไปได้ด้วยดี เพราะผมเชื่อว่าผู้ชายทุกคนทำงานไปสักพัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว ซึ่งคุณก็อยากมีครอบครัวที่ดี อยากกลับบ้านไปอยู่ไปเล่นกับลูก ส่งลูกไปโรงเรียน ลูกโตขึ้นมา มีเวลาไปพักผ่อนด้วยกัน ตอนนี้ก็ต้องทำงานเพื่อสร้างอนาคต ต้องเป็นไปตามนี้
บางส่วนจากคอลัมน์ Interview นิตยสาร mars ฉบับวางแผงปัจจุบัน มีนาคม 2557
เรื่อง : พริบพันดาว โรดริเกวซ
ภาพ : อิศเรศน์ ช่อไสว
อัปเดตหลากหลายเรื่องราวข่าวสาร สาระบันเทิงได้ที่แฟนเพจ mars magazine