Marsmag.net

The Phenomena เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข


เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่ใครบางคนอัปรูปของเขาในขณะที่ถ่ายทำแฟชั่นเซตนี้ขึ้นสู่โซเชียลเน็ตเวิร์ก
มวลมหาประชาแฟนจำนวนมหาศาลของ เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข ก็พากันมาปรากฏตัวอยู่รอบๆ กองถ่ายของเราโดยมิได้นัดหมาย
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุทะลุ 40 องศา ซึ่งถ้าเอาตัวไปรับรังสีจากดวงอาทิตย์นานหน่อย ก็อาจแผดเผาให้ร่างกายของใครหลายคนละลายกลายเป็นไอ แต่สาวๆ อีกจำนวนไม่น้อยกลับละลายไปก่อนหน้าแล้ว ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ของเจมส์จิ โดยไม่ต้องรอให้ดวงอาทิตย์แผดเผา
ถึงวันนี้ คงไม่มีใครแปลกใจอีกแล้วว่า เหตุใด เพียงการปรากฏตัวขึ้นมาในวงการบันเทิงแค่ปีแรก ก็ได้ส่งให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ปรากฏการณ์’ ได้ในทันที

นั่นเพราะไม่ใช่แค่เขาหน้าตาดี มีความสามารถล้นเหลือ แต่มันยังต้องบวกความเอาจริงเอาจังในหน้าที่การงาน และตัวตนซึ่งเป็นคนอัธยาศัยดีเข้าไปด้วย
ท่ามกลางอากาศร้อนของวันนั้น ไม่มีสักครั้งที่เราจะได้เห็นใบหน้าบึ้งตึงจากเขา เมื่อใดที่มีแฟนคลับมาขอถ่ายรูป เขาจะยิ้มและพยักหน้ารับอย่างยินดี ก่อนจะหันหลังกลับเข้าสู่กองถ่าย ยืนพิงรถ Toyota รุ่น NEW Vios TRD Sportivo ซึ่งเขาเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ ขยับท่า เปลี่ยนมุมตามสั่งของช่างภาพอย่างเต็มใจ

เรามองเขาอีกพักใหญ่ จนกระทั่งการถ่ายทำแฟชั่นเซตนี้จบลง เมื่อเขาเปิดปากพูดคุยกับเราคำแรก เราถึงได้รู้ว่า หัวใจของเราเองก็กำลังละลายด้วยเสน่ห์ของเขาไปแล้วเช่นกัน

Q : เจอพิษของอากาศร้อนวันนี้เข้าไปเป็นอย่างไรบ้าง
A : ร้อนครับ ตัวแดงไปเลยทีเดียว (หัวเราะ) ผมเคยถ่ายเอาต์ดอร์นะ แต่ไม่เคยเจอบรรยากาศอะไรที่แดดเปรี้ยงขนาดนี้มาก่อน แต่ก็สนุกดีครับ ทีมงานทุกคนก็เต็มที่

Q : เข้าเรื่องกันเลย เจมส์คิดอย่างไรกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปรากฏการณ์เจมส์จิ’ ซึ่งเพียงการปรากฏตัวในวงการบันเทิงแค่ปีแรกของเรา ก็ทำให้เกิดกระแสคลั่งไคล้จากแฟนคลับมากมายขนาดนี้
A : เรียกว่าตกใจดีกว่า คือไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะมีวันนี้ หรือสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน เพราะว่าเราก็ไม่คาดหวังกับตัวเองด้วย และเผอิญมันก็เกิดขึ้นมา เราก็รู้สึกไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่คอยตามมาดูเราตามงานต่างๆ หรือว่ามาดูผลงานของเราเยอะขนาดนี้

Q : กดดันไหม
A : กดดันครับ คือกดดันในเรื่องของการทำงานครับ เพราะว่าตอนนี้เรารู้สึกว่ามันมีคนดูที่เพิ่มมากขึ้น และมีกลุ่มคนดูซึ่งมีฐานของอายุกว้างยิ่งขึ้น

Q : แล้วเจมส์มีวิธีจัดการกับความกดดันเหล่านี้อย่างไร
A : เราก็จะต้องทำอะไรที่ตัวเองรู้สึกว่าทำแล้วมันจะออกมาดีที่สุด และรอบคอบที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป คือเราก็แค่คิดซะว่ามันก็ต้องทำ แต่แค่ต้องทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง เพราะมันเป็นงานของเรา

Q : ล่าสุดเจมส์มีชื่อเข้าไปติดเป็น ‘คนบันเทิงผู้ทรงอิทธิพลแห่งทศวรรษ’ (อันดับที่ 6) ด้วย รู้สึกอย่างไรกับตำแหน่งที่เราได้มา
A : สุดยอดครับ (หัวเราะ) พูดไม่ออกเลย เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองมีอิทธิพลมากมายแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญคือ ผมอยากผลิตงานให้แก่วงการบันเทิง ที่เขาเรียกว่าการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

Q : หลายคนมักจะบอกว่า การที่ใครสักคนประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในขณะที่อายุยังน้อย โดยเฉพาะดารานักแสดงด้วยแล้ว มันมักทำให้เขาคนนั้นหลงตัวเอง เจมส์คิดอย่างไรกับตรงนี้
A : ผมก็ไม่รู้นะ แต่ผมคิดว่าคงแล้วแต่ตัวบุคคลมากกว่า แต่จริงๆ แล้วผมรู้สึกว่า ชื่อเสียงที่ได้มามันเฉยๆ ผมไม่ได้ยึดติดกับตรงนี้ ไม่ยึดติดกับความดัง ไม่ยึดติดกับหน้าตา เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นแค่งานงานหนึ่ง ซึ่งพอเราได้มาทำงานตรงนี้แล้ว เราต้องทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือผมคิดว่าผมคงไม่ใช่คนหยิ่ง หรือหลงตัวเองอะไร

Q : แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งชื่อเสียงที่มีอยู่ตอนนี้หายไปจะรับได้จริงๆ เหรอ
A : รับได้ครับ รับได้ ผมเฉยๆ อยู่แล้ว เพราะว่าตั้งแต่แรก เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะมีชื่อเสียงโด่งดังอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว แต่พอมีวันนี้แล้ว เราก็ต้องรักษามันให้ดีที่สุด แต่ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งชื่อเสียงเหล่านี้หายไป ผมคงไม่เสียใจอะไร คือผมมีคติอย่างหนึ่งว่า เราต้องคิดให้ทุกวันคือวันสุดท้ายของชีวิต ดังนั้นเราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ คือถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้ว เกิดเราไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว หรือว่าเราอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงแล้ว หรือคนอาจจะไม่รู้จักเราแล้ว เราก็จะได้รู้สึกว่า เฮ้ย เมื่อวานเราทำได้ดีที่สุดแล้วนะ นี่คือสิ่งผมยึดถืออยู่ตลอด

Q : เจมส์กลัวความล้มเหลวหรือเปล่า
A : ชอบครับ ผมคิดว่าความล้มเหลวมันคือบทเรียนที่ดีที่สุดในชีวิตของมนุษย์นะ ผมคิดว่าการที่เรากลัวความผิดพลาด นั่นล่ะคือความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา เพราะฉะนั้นผมไม่กลัวความผิดพลาด เพราะถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมา เราก็จะได้เรียนรู้ไปกับมัน

Q : การที่เจมส์เข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุยังน้อย คือพอจบ ม.6 ก็เข้าวงการบันเทิงเลย ด้วยความที่เราเป็นเด็กมันทำให้เกิดปัญหาต่อการทำงานบ้างไหม
A : ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของเวลาเรียนมากกว่า แต่ถ้าถามว่าอายุของการทำงานเกี่ยวไหม ก็ค่อนข้างมีส่วนเกี่ยวข้องครับ เพราะว่าเราไม่ค่อยจะรู้เรื่องมากนักว่า เฮ้ย มันต้องทำอย่างไรบ้าง คืออย่างตอนเด็กๆ เราจะไม่ค่อยได้รับผิดชอบอะไรมาก อย่างมากที่สุดก็คือการบ้านที่เราต้องทำ แต่พอโตขึ้นมาได้เริ่มทำงาน เราจะรู้ว่าเราต้องรับผิดชอบงานที่มันใหญ่ยิ่งขึ้น มันเป็นแค่ช่วงเวลาในการเปลี่ยนผ่านน่ะครับ แต่ผมว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ ที่ทำให้เราได้มองเห็นอะไรที่มากขึ้น ไกลขึ้น

Q : แต่ชีวิตในแบบวัยรุ่นทั่วไปที่ได้เที่ยวเล่นก็จะหายไปเลย รู้สึกเสียดายตรงนี้หรือเปล่า
A : มันก็มีความสนุกที่ต่างกันนะครับ คือถ้าถามว่าอยากไปเที่ยวเล่นไหม ก็อยากไปเที่ยวเล่นเหมือนกัน แต่ว่าวันหนึ่งที่เราได้มีโอกาสได้มา ได้เห็น ได้ทำตรงนี้ มันก็เป็นความสนุกอีกแบบหนึ่ง ที่เด็กวัยรุ่นทั่วไปก็จะไม่ค่อยได้พบเจอเหมือนกัน เพียงแต่เราก็จะไม่ได้พบเห็นสิ่งที่วัยรุ่นทั่วไปเขาทำกันแค่นั้นเอง

Q : ถึงวันนี้แล้วได้เรียนรู้อะไรจากวงการบันเทิงบ้าง
A : ก็สนุกดีครับ พอเข้ามาก็ได้เรียนรู้ ได้สนใจหลายอย่างดี อย่างวันนี้ถ่ายๆ อยู่ ก็ได้ไปดูเรื่องกล้อง เรื่องแสงด้วย คือสิ่งที่ได้เรียนรู้มันเยอะมากเลยครับ คือผมคิดว่าได้เรียนรู้ในเรื่องของการได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้เรียนรู้สังคมว่าจริงๆ แล้วโลกภายนอกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง และมันค่อนข้างจะใหญ่เหลือเกิน คือใหญ่เหลือเกินที่ถ้าเราอยู่อีกจุดหนึ่งเราจะมองไม่เห็น แต่เมื่อเข้ามาอยู่ ณ จุดนี้ เราก็ได้เรียนรู้มัน

Q : ได้วางเป้าหมายในวงการนี้ไว้ไหมว่า ต่อไปเราจะไปยืนอยู่ ณ จุดไหน
A : ในวงการบันเทิง ผมอยากจะเป็นผู้สร้างความบันเทิงให้แก่คนดูให้ดีที่สุด ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นดารา อะไรก็ได้ที่ทำให้คนยิ้มได้ ผมก็มีความสุขแล้วครับ

Q : ตัวตนจริงๆ ของเจมส์ จิรายุ เป็นอย่างไร ใช่คนอบอุ่น สุภาพเรียบร้อยอย่างที่เราได้เห็นจากคาแร็กเตอร์ของคุณชายหมอในละคร ‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ’ หรือเปล่า
A : เป็นคนอบอุ่นดีครับ (หัวเราะ) แต่สุภาพเรียบร้อยคงจะไม่ใช่ แต่ผมว่าก็เป็นปกติของเด็กวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งละครับ ชอบเรียนรู้ ชอบทำนู่นทำนี่ ชอบศึกษา

Q : เจมส์มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งสองปีแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ กับจังหวัดบ้านเกิดอย่างพิจิตร แตกต่างกันมากไหม
A : มากครับ มันจะแตกต่างกันตรงเวลา คือถ้าสมมุติว่าอยู่ต่างจังหวัด ประมาณสองทุ่มตลาดปิด ทุกอย่างก็ปิดหมดแล้ว คือเมืองก็ปิดเลย ถนนหนทาง ไฟ ก็ปิดหมดแล้ว ไม่มีรถวิ่ง แต่พอมาอยู่กรุงเทพฯ สองทุ่ม ชีวิตบางคนเพิ่งเริ่มเองครับ เพิ่งออกจากบ้าน ไปทำนู่นทำนี่ เพิ่งแต่งตัวเสร็จ แต่สำหรับผมมันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สนุกดี

Q : ทราบมาว่า พอมาใช้ชีวิตในเมือง ปกติเจมส์ก็เป็นคนที่ขับรถไปไหนมาไหนเองอยู่บ้าง แล้วปัจจุบันก็ได้ไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับทาง Toyota โดยเฉพาะรุ่น NEW Vios TRD Sportivo ด้วย จริงๆ แล้วรถยนต์ในฝันของเจมส์ต้องเป็นรถแบบไหน
A : ก็คงไม่พ้น Vios ครับ คือจริงๆ แล้วผมอาจจะไม่ใช่คนชอบรถแต่งที่มันสปอร์ตจ๋า เพราะถ้าใช้ในชีวิตประจำวัน ผมอยากให้รถยนต์สามารถตอบความต้องการของผมในทุกด้านมากกว่า พูดง่ายๆ คือไม่อยากให้มันแค่สวยภายนอกอย่างเดียว แต่ยังคิดถึงเรื่องการขับขี่ ต้องขับสนุก มั่นใจ กว้างขวางไปกันได้หมด ทั้งไปกับเพื่อนและก็ครอบครัว ซึ่ง Vios ก็ตอบโจทย์ผมได้ดีมากๆ ครับ

Q : แล้วโดยส่วนตัว NEW Vios TRD Sportivo ตอบโจทย์อะไรต่อไลฟ์สไตล์การขับขี่ของเจมส์บ้าง
A : ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะขับรถเร็วนิดนึง จึงต้องให้ความสำคัญกับช่วงล่าง ซึ่ง Toyota รุ่นนี้ก็ถือว่าทำได้ดีมากๆ รู้สึกว่าถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมาก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ นอกนั้นผมก็ชอบรุ่นนี้เพราะมันมีเบาะหนัง คือผมเป็นคนชอบทำอะไรหกอะครับ (หัวเราะ) เบาะหนังมันก็ดูแลง่ายดี และที่ชอบอีกอย่างนึงคือ DVD ที่ใช้โปรแกรมนำทาง Smart G Book ได้ครับ เพราะเวลาไปถ่ายละครหรือออกกองที่ไหนไกลๆ จะได้ไม่หลงทาง

Q : พอเจมส์มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ Toyota ดูเหมือนลุคการแต่งตัวแบบผู้ชายเรียบร้อย แสนดี ที่เป็นภาพจำจากละครเรื่อง ‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ’ จะกลายเป็นหนุ่มมาดเท่ สไตล์สปอร์ตไปเลย คิดว่าสไตล์แบบนี้เหมาะกับตัวตนของเจมส์หรือเปล่า
A : ปกติแล้วในชีวิตประจำวัน ผมจะแต่งตัวไม่ค่อย formal มาก ทุกๆ วันส่วนมากก็ใส่รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืด กางเกงยีนส์บ้าง แต่พอได้มาถ่ายโฆษณาชุดนี้ ผมก็ชอบนะครับ มันดูเท่ดี สำหรับแฟชั่นวันนี้ ผมก็ชอบเรื่องของโทนสี เพราะผมเป็นคนชอบสีดำๆ อยู่แล้ว ไม่แน่ต่อไปผมอาจจะลองเปลี่ยนลุคแต่งตัวสไตล์นี้ไปทำงานบ้างดีมั้ยครับ

Q : สมมติถ้าเลือกสาวสวยให้มานั่งเบาะหน้าข้างคนขับซึ่งเจมส์เป็นคนขับได้สักคน เจมส์จะเลือกใคร
A : (หัวเราะ) เลือกแม่ครับ

Q : แหม ตอบเป็นดาราเชียว
A : (หัวเราะ) ถ้านอกจากแม่ คงจะเป็นสาวที่จินตนาการขึ้นมา เริ่มจากภาพ silhouette หน่อยก็จะเป็นผู้หญิงผมยาว สีผิวก็จะเป็นประมาณไม่ขาวมากนัก ประมาณพอดีๆ ผิวเอเชีย ไม่ได้เป็นคนสวยเกินไป แต่ออกน่ารักๆ หน่อย (หัวเราะ) เริ่มตื่นเต้นแล้วเนี่ย

Q : อันนี้คือสเป๊กสาวในฝันที่แฟนคลับสาวๆ ควรฟังไว้เลยใช่ไหม
A : ใช่ครับ ใช่

Q : ตอนนี้เจอบ้างหรือยัง
A : ยังเลยครับ ยัง (หัวเราะ)

Q : แล้วจริงๆ ในเรื่องของความรัก ทัศนคติส่วนตัวที่เจมส์มีต่อมันเป็นอย่างไร
A : ความรักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้เลยนะครับ ผมคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่ทำให้อะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องใช้มันให้ถูกวิธีครับ เพราะมันก็มีทั้งผลดีและผลเสีย คือผมก็ฝันไว้ว่าอยากจะมีครอบครัวตอนที่ตัวเองสามารถรับผิดชอบอะไรได้แล้ว แล้วผมก็เป็นคนชอบเด็กอยู่แล้วด้วย ก็เลยอยากมีลูก แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตครับ
 
คอลัมน์ FACE TO FACE 
ในนิตยสาร mars ฉบับมิถุนายน 2557
ปก เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข