คุณจะทำความรู้จักกับใครคนหนึ่งได้อย่างไร ในเมื่อคุณไม่มีวันที่จะได้เห็นหน้า รู้จักชื่อ หรือรับรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขา
“ผมไม่สะดวกเปิดหน้า แต่ถ้าเป็นทางโทรศัพท์ หรือหลังไมค์ (เฟซบุ๊ก) ผมโอเค”
เข้าใจได้ไม่ยาก เตรียมใจมาแล้วด้วยซ้ำในตอนที่ชายหนุ่มคนนั้นตอบกลับมาเช่นนี้ — เรารู้ดี สำหรับเขา การเปิดเผยตัวตนออกมาสู่สาธารณะมันย่อมเป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงเกินไป
สุ่มเสี่ยงในความหมายที่อาจส่งผลร้ายต่อชีวิต สุ่มเสี่ยงต่อคนคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์กลับมีบุคลิกอย่างหนึ่ง แต่การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมจริงๆ ก็มีบุคลิกอีกอย่างหนึ่ง ท่ามกลางดินแดนที่การคิดต่างอย่างออกหน้าออกตา เป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งกว่ายาก ไม่ว่าการคิดต่างในเรื่องนั้นๆ จะเป็นสิ่งผิดหรือถูก ดีหรือไม่ดีก็ตาม
“เวลาเราชอบสิ่งไหน เราก็ต้องวิจารณ์สิ่งนั้นได้”
ดังนั้นเขาจึงเลือกนำความเป็นนิรนามมาใช้ เพื่อที่จะพูดอะไรได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้น ความนิรนามที่เขายอมรับตรงๆ ว่า มันก็เป็นความไม่แฟร์อย่างหนึ่งในแง่ของการวิพากษ์วิจารณ์
“อยากให้เข้าใจว่า ศาสดามันเป็นคาแร็กเตอร์หนึ่งในพื้นที่หนึ่ง ผมเหมือนเป็นตลกคนหนึ่ง ที่พยายามเล่นบทบาทหนึ่งให้คุณได้ดู”
ช่วงเย็นของวันเดียวกับที่มีข่าวการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ ซึ่งใครหลายคนต่างคาดการณ์ว่า มันจะเป็นตัวแปรที่ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองคุกรุ่นอีกครั้ง เรากดโทรศัพท์ ต่อสายคุยกับเจ้าของเพจ ‘ศาสดา’ เพจวิพากษ์วิจารณ์การเมืองชื่อดังของโลกออนไลน์…
แต่ประเด็นที่เราสนใจ กลับไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมากนัก
แน่นอน วันนี้ เห็นได้ชัดว่า ศาสดามีความรู้สึกร่วมกับการเมืองอย่างเข้มข้น
ทว่าก่อนจะกลายมาเป็นเพจการเมือง ที่คนบางกลุ่มมองว่าเอียงข้างอย่างทุกวันนี้ ย้อนกลับไปราวสองถึงสามปีก่อน เพจศาสดาถือกำเนิดขึ้นมาจากชายคนหนึ่งผู้อยากนำเสนอเรื่องราวในเชิงวัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา และที่สำคัญเรื่องราวของ ‘เซ็กซ์’ ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่ช่วยกระตุกความสนใจให้เพจของเขามียอดไลค์พุ่งถึงห้าพันคนอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงเจ็ดวัน
ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ความสนใจในเรื่องราวต่างๆ ของมนุษย์ ย่อมลื่นไหลเปลี่ยนไปตามสิ่งที่ใครคนนั้นกำลังมีความรู้สึกร่วม
แต่เราก็ยังอยากพาเขาย้อนเวลา พูดคุยกันถึงประเด็นต่างๆ ที่เขาเคยสนใจ ทั้งประเด็นทางศาสนา สังคม ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของเซ็กซ์ ที่เขาถึงขนาดเคยหยิบเอาประโยคซึ่งเกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศของมนุษย์มาตั้งเป็นชื่อหนังสือในนาม ‘ความเงี่ยนไม่เคยปรานีใคร’ มาแล้ว
แม้วันนี้ เมื่อบทสนทนาจบลง เราจะยังจินตนาการไม่ออกว่า ชายผู้หาญกล้านำคำอันยิ่งใหญ่อย่าง 'ศาสดา' มาเป็นชื่อเรียกของตัวเองจะมีใบหน้าอย่างไร ทว่าสิ่งหนึ่งที่สามารถบอกกล่าวกันได้ก็คือ แม้ไม่ถึงขั้นตรัสรู้หรือนิพพาน แต่ทัศนคติของเขานับจากนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเปิดเปลือยหัวใจ เพื่อทำให้คุณรู้จักกับตัวตนภายในของตัวเองเพิ่มขึ้น
ทั้งๆ ที่ตั้งชื่อเพจว่าศาสดา ทำไมคุณถึงยังนับถือศาสนาของคนอื่นอยู่
คือมีคนจำนวนมากนึกว่าผมไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เปล่า ผมนับถือ แล้วผมก็เป็นศาสนิกที่ดีเหมือนกันนะ ช่วงที่ผมยังเป็นพุทธเต็มตัวอยู่ คือพูดแล้วตลกนะ อาจจะดูว่าผมเหี้ย วิจารณ์พระนู่นนี่นั่น แต่ผมแม่งสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนเลย คือผมคิดว่า เวลาเราชอบสิ่งไหนก็ตาม เราต้องวิจารณ์สิ่งนั้นได้ ผมคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมก็นับถือศาสนาของผมไป แต่ในส่วนที่ไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ถูก ไม่ใช่ ผมก็ต้องวิจารณ์ได้ คือคนจำนวนมากชอบคิดว่า ถ้ารักแล้วต้องห้ามวิจารณ์ ไม่แตะ ไม่ต้อง เดี๋ยวมัวหมอง — ไม่มีหรอก วิจารณ์มันไม่มีมัวหมองหรอก ใจเราถ้ามั่นคง ไม่ว่าทำอะไร มันไม่มีปัญหาเลย ผมศรัทธา ผมก็ยังเหมือนเดิม สมมุติใครจะมาลบหลู่ศาสนา มาล้อพระพุทธเจ้า ตัดต่อกับรูปแมคโดนัลด์หรืออะไรก็ตาม ผมก็เฉยๆ มึงก็ล้อไปสิ ผมอาจจะขำ แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมจะเสียศรัทธา ผมถือว่าผมนับถือเหมือนเดิม มึงจะล้อก็ล้อไป แล้วผมไม่โกรธด้วย ผมขำมากกว่า
แต่ตอนนี้คุณก็เปลี่ยนไปนับถือคริสต์แล้ว
ใช่ เพิ่งเปลี่ยนเป็นคริสต์เมื่อปลายปีที่แล้ว ชีวิตคือการเดินทาง ปีที่แล้วเกือบหนึ่งปีเต็มๆ ผมไปนับถือศาสนาพราหมณ์ เพราะว่าผมอยากจะลองหาอะไรใหม่ โอเค แน่นอน ผมเป็นพุทธมาตั้งแต่กำเนิด และเป็นศาสนิกที่ดีระดับหนึ่งเลย แต่อยู่ดีๆ ปีที่แล้วผมไปอ่านมหาภารตะ (หนึ่งในมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย ประพันธ์เป็นโศลกภาษาสันสกฤต นับเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์อิติหาส เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของเทพปกรณัมในศาสนาฮินดู) ผมเลยสนใจเรื่องปรัชญาศาสนาพราหมณ์ เลยลองเข้าไปนับถือศาสนาพราหมณ์ดู แต่สุดท้ายก็เจอว่าไม่ใช่คำตอบเท่าไหร่ ประกอบกับช่วงหนึ่งผมเครียดๆ หลายเรื่อง ผมอยากลองศึกษาศาสนาคริสต์ดู เพราะจริงๆ มันมีความน่าสนใจอยู่นะ คือศาสนาพุทธบอกคุณว่า ทุกอย่างเกิดจากจิตปรุงแต่ง ความทุกข์เกิดจากใจของคุณ ทีนี้ถามว่า พระพุทธเจ้าพูดถูกไหม ก็คงถูกน่ะ ส่วนมากปัญหาเกิดที่ใจใช่ไหม ศาสนาพุทธบอกว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ คือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แก้ที่ตัวเราเอง แก้ที่ใจเราเอง ปัญหาก็จบ พูดถูก แต่ถามว่ายากไหม ยากมาก คุณลองคิดสิ สมมุติชีวิตคุณมีปัญหามากๆ คุณไปขอคำปรึกษา แล้วเขาบอกคุณว่า ก็พึ่งตัวเอง แก้ที่ใจ เขาพูดถูกนะ แต่ยาก โคตรยากเลย
ขณะเดียวกันศาสนาคริสต์บอกว่า คุณมีศรัทธา คุณอธิษฐาน พระเจ้าอยู่กับคุณ คืออย่างน้อยๆ คุณก็มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งน่ะ นั่นคือพระเจ้า ซึ่งในศาสนาคริสต์พระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องกราบไหว้เพียงอย่างเดียว เขาเป็นเพื่อน เป็นบิดา แล้วเขาอยู่ข้างๆ คุณ ฉะนั้นสำหรับคนที่ท้อแท้กับปัญหาชีวิตเนี่ย ศาสนาคริสต์ค่อนข้างตอบโจทย์มากกว่า ผมก็เลยลองมาศึกษาดู
สมมุติถ้าวันหนึ่ง มีคนมายึดเอาเพจศาสดาเป็นสรณะแทนศาสนา คุณจะรู้สึกอย่างไร
อย่าครับ เดี๋ยวชีวิตฉิบหาย (หัวเราะ) คือผมมองเพจของผมเหมือนเป็นห้องน้ำ เป็นที่ที่คุณมาเยี่ยว มาขี้ มาระบาย คุณไม่ควรเอามาเป็นสรณะนะ นี่ผมพูดได้เลยนะ คือคุณอ่านได้เพื่อลองทบทวนกับสิ่งที่คุณเชื่อในใจ แต่คุณไม่ต้องเอามาเป็นสรณะ คือผมเขียนเรื่องความหื่น ผมอาจจะเขียนบ่อย แต่ในโลกความเป็นจริง คุณจะมานั่งหื่นทุกนาทีมันก็ไม่ได้ ถูกไหม มันเป็นแค่มุมหนึ่งในชีวิต
ในแง่ของการวิพากษ์วิจารณ์ คุณคิดว่ามันแฟร์หรือเปล่าที่ใช้ความเป็นนิรนาม (anonymous) มาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
ผมหลีกเลี่ยงในการวิจารณ์ตัวบุคคลพอสมควรนะ เพราะมีคนท้วงติงว่าผมไม่แฟร์ ซึ่งเขาพูดถูกนะ แม้กระทั่งสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็วิจารณ์ว่าผมไม่แฟร์ เพราะผมไม่เปิดเผยหน้าในการวิจารณ์ และสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอดคือการจำกัดกรอบการวิจารณ์ ผมจะไม่วิจารณ์ตัวบุคคล ไม่วิจารณ์ปัญหาในเชิงศีลธรรม เช่น ใครเป็นเมียใคร ผัวใคร ผมไม่ยุ่ง ยกเว้นเรื่องทัศนะทางการเมืองบางอย่างจริงๆ ผมพยายามหลีกเลี่ยงนะ เอาง่ายๆ ผมชอบวิจารณ์คุณอภิสิทธิ์ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) แต่ผมจะไม่วิจารณ์ในฐานะตัวบุคคลเลยนะ แต่ผมแค่จะบอกว่า ผมไม่เห็นด้วยกับจุดยืนของคุณอภิสิทธิ์เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เรื่องที่เป็นส่วนตัวหลังม่าน ผมก็จะพยายามหลีกเลี่ยง เพราะผมตระหนักดีว่าผมมีความไม่แฟร์อยู่ตรงนี้ จะพยายามให้อยู่ในกรอบของเชิงหลักการ โดยวิจารณ์แค่เรื่องการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสาธารณะเท่านั้น
แล้วการเกิดขึ้นมาของกรุ๊ป ‘ศาลาคนเงี่ยน’ ที่ต่อยอดมาจากเพจศาสดาล่ะ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
คือจริงๆ ห้องนี้ เดิมชื่อห้อง ‘ศาสดาเล้านจ์’ เป็นห้องที่ผมสร้างให้สำหรับคนที่อุดหนุนหนังสือของผมได้มาคุยกันแบบสนิทสนม พอดีตอนนั้นผมคิดพิเรนทร์ขึ้นมา โดยบอกว่าศาสดาเล้านจ์มันดูอินเตอร์ไป ก็เลยคิดว่า เฮ้ย เปลี่ยนเป็นศาลาคนเงี่ยนเถอะ ล้อศาลาคนเศร้า พอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คนเข้ามาอยู่ในห้องสองสามร้อยคน มันไม่สามารถเปลี่ยนกลับได้แล้ว ระบบเฟซบุ๊กไม่สามารถเปลี่ยนให้ได้ แต่จริงๆ แล้วในห้องก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้มีการนัดสวิงกิ้งกัน แค่มาคุยเรื่องเพศบ้าง ปรึกษาแบบขำๆ บางคนก็นัดกินข้าวกัน
ไม่ได้มีการนัดมีเซ็กซ์กันตามที่หลายคนเข้าใจ?
ก็คงมีส่วนตัวหลังไมค์ แต่อันนี้ผมไม่ทราบ แต่โดยหน้าเพจมันไม่มี มันก็มีคุย มีแซว มีถ่ายรูป มีปรึกษาปัญหา ไม่มีการโชว์ภาพโป๊ด้วยนะ มันเหมือนเป็นสังคมที่ให้คนที่ทะลึ่งตึงตังมาคุยกัน พูดง่ายๆ เหมือนการตลาด ตั้งชื่อให้มันหวือหวาแค่นั้นเอง แล้วในกรุ๊ปจะไม่คุยเรื่องการเมืองด้วย เพราะผมถือว่าเรามีการเมืองในเพจศาสดาแล้ว ผมขอให้เป็นที่ที่ให้คนทุกสีผ่อนคลาย ผมเคยพูดว่า ‘ความเงี่ยนไม่เคยแบ่งสี ความหงี่ไม่เคยแบ่งฝ่าย’ คือเรื่องเซ็กซ์มันเป็นเรื่องสำหรับทุกสี คุณทะเลาะกันในหลายที่แล้ว ขอพื้นที่นี้ที่จะทำให้คุณไม่ทะเลาะกันเถอะ ผมรำคาญ แล้วคนไทยนี่แม่งทะเลาะกันเกือบทุกที่ มันควรจะมีบางพื้นที่ที่เราเลิกทะเลาะ มาคุยอะไรเบาๆ แล้วจริงๆ ในห้องนั้นก็มีคนที่เป็นหน้ากากขาว เป็นพันธมิตร เป็นประชาธิปัตย์อยู่หลายคนนะ ช่วงที่มีความเคลื่อนไหวเรื่องหน้ากากขาว โผล่กันอยู่ในห้องกันเป็นสิบ
กลับไปที่เรื่องเซ็กซ์ การที่คุณกลายเป็นศาสดา ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นคนดังในระดับหนึ่ง มันทำให้คุณมีโอกาสได้คู่นอนง่ายขึ้นหรือเปล่า
ผมมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง คือสมภารไม่กินไก่วัด มีส่งมาคุยหลังไมค์ แต่ผมปฏิเสธทุกคนเลย เพราะว่าเดี๋ยวมันเสียเรา คือคุยแบบทะลึ่งตึงตังกันได้ คุยขำๆ คุยแบบหมาหยอกไก่ คุยได้ แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องมีอะไรมาเบรกไว้บ้าง เพราะไม่งั้นเดี๋ยวจะเสียเรื่องเสียราว
คือก็ต้องยอมรับว่ามีคนเสนอตัว
มี โดยเฉพาะตอนที่คนยังคิดว่าผมอายุสี่สิบกว่า มันตลกมากเลยนะ คือผู้หญิงส่วนมากแม่งชอบผู้ชายแก่ว่ะ คือตอนที่ทุกคนคิดว่าผมอายุสี่สิบ สี่สิบห้าเนี่ย มีผู้หญิงเสนอตัวเยอะมาก ยี่สิบสามสิบคนเลย แล้วสวยๆ ด้วยนะ วัยรุ่นด้วยนะ มาพูดแบบเชิญชวนในทางนั้นเยอะมาก แต่พอเขารู้ว่าอายุยี่สิบห้า ยี่สิบหก หายหมดเลย
คุณตั้งชื่อหนังสือของตัวเองว่า ‘ความเงี่ยนไม่เคยปรานีใคร’ ทำไมคุณถึงคิดว่าความเงี่ยนไม่เคยปรานีใคร
จริงๆ แล้วสำนวนนี้เป็นสำนวนเก่า ในเมืองไทยมีคนใช้พอสมควร แต่ตอนหลังๆ มันก็หายไป ผมเอามาใช้อีกครั้ง เพราะอยากให้มันตลกด้วย และเป็นการตลาดด้วย เอาจริงๆ ถ้าอ่านหนังสือผมก็จะไม่ได้เขียนเรื่องความเงี่ยนสักเท่าไหร่
ทำไมความเงี่ยนไม่เคยปรานีใคร ก็เพราะว่าเวลาคนเรามีอารมณ์ทางเพศ มันทำได้ทุกอย่างแหละ คุณทำในหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ปกติคุณไม่ทำ คุณเล้าโลมในหลายๆ จุดที่คุณจะไม่ทำในภาวะปกติ หรือแม้กระทั่งคุณสามารถบอกรักได้ง่ายๆ คือคุณยอมได้ ทำอะไรได้ทุกอย่าง เพื่อสนองความต้องการทางเพศของมนุษย์ จริงๆ ในชีวิตมนุษย์ ความต้องการทางเพศก็เป็นแรงขับดันอย่างหนึ่งต่อหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ แม้กระทั่งการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ก็มาจากผลพวงของความต้องการทางเพศ มีใครเกิดจากไม้ไผ่บ้าง ไม่มี พูดง่ายๆ ก็ต้องปี้กันทั้งนั้น
คุณสามารถขาดเซ็กซ์ได้ไหม
ไม่ได้ครับ ถ้าขาดชีวิตก็ไม่มีความหมาย ให้คุณไม่ชักว่าวสามเดือนได้ไหมล่ะ
ที่บ้านรู้ไหมว่าคุณเป็นเจ้าของเพจศาสดา
รู้ เขาก็ตามอ่าน บางเรื่องเขายังแซวผมเลย เขาก็ไม่เห็นรู้สึกอะไร เรื่องจำนำข้าวนี่เขาก็ด่าให้ผมฟัง ผมก็ฟัง แต่ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะผมไม่เห็นด้วย
ตัวตนจริงๆ ของคุณเป็นอย่างไร จริงๆ แล้วแรงเหมือนในเพจหรือเปล่า
คือภาษาเวลาเขียนมันก็อย่างหนึ่งนะ มันก็รุนแรงตามคาแร็กเตอร์คอนเส็ปต์ แต่จริงๆ เบื้องลึกแล้วผมเป็นคนไม่มีอะไร ผมเป็นคนอยากมีเพื่อนมากกว่าที่จะมีศัตรู ผมคุยได้หมดกับคนทุกสี ผมเป็นคนธรรมดา พูดได้เลย คือผมซ่าในเพจก็ซ่าไป แต่ผมเป็นคนที่ซ่าด้วยอารมณ์แบบสนุกสนานขำๆ แต่ตัวตนของผมเวลาอยู่ในสังคม ผมก็เป็นคนธรรมดา เจอผู้หลักผู้ใหญ่ผมก็ยกมือไหว้ ผมไม่ใช่คนกร่าง พูดจาหยาบคายในที่สาธารณะ ไม่ใช่แบบนั้น
อยากให้เข้าใจว่า ศาสดามันเป็นคาแร็กเตอร์หนึ่งในพื้นที่หนึ่ง ผมเหมือนเป็นตลกคนหนึ่ง ที่พยายามเล่นบทบาทหนึ่งให้คุณได้ดู ในชีวิตปกติทั่วไปผมก็เป็นคนธรรมดา โอเค ผมอาจมีมุมมองแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีมารยาทสังคม หรือไม่มีกาลเทศะ ผมไม่ได้ไปแก้ผ้าเดินอยู่ในที่สาธารณะ ผมก็ยังรู้ว่าสังคมมีกฎมีระเบียบของมัน ผมก็เคารพ แต่อันไหนผมไม่เห็นด้วยผมก็แย้ง คุณไม่เห็นด้วยคุณก็เถียง ก็ด่าผมได้ บางเรื่องผมโพสต์ดีคนก็ชม บางเรื่องผมเขียนห่วยคนก็ด่า ผมก็เฉยๆ ไม่เป็นไร
>>>>>>>>>>>>>>>>>***บางส่วนจากบทสัมภาษณ์ในนิตยสาร mars ฉบับเดือนมิถุนายน ซึ่งเนื้อหาถ้อยคำอันเข้มข้นยังมีอีกมากมายหลากหลายประเด็น สำหรับผู้ที่เป็นแฟนคลับของ “ศาสดา” หรือแม้กระทั่งไม่ได้เป็นแฟน แต่อยากอ่านทัศนะของศาสดาผู้นี้แบบเต็มๆ สามารถติดตามได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป***
เรื่อง : ฆนาธร ขาวสนิท
ภาพ : สุวิทย์ กิตติเธียร
อัปเดตหลากหลายเรื่องราวข่าวสาร สาระบันเทิงได้ที่แฟนเพจ mars magazine