นับถอยหลังอีกไม่กี่วัน (14 พฤษภาคม 2558) ภาพยนตร์แนวซอมบี้ ผีดิบกระหายเลือดออกล่ามนุษย์ที่เราคุ้นเคยจากโลกฮอลลีวู้ด กำลังจะมาสร้างความตื่นเต้นชวนสยองในแบบไทยๆ มีการวางช่วงเวลาแห่งความน่าสะพรึงเอาไว้ช่วงกรุงศรีอยุธยา กับภัยพิบัติ ‘โรคห่า’ ระบาดอย่างรุนแรง แต่คนตายกลับไม่ยอมไปสู่สุคติ
จินตนาการสุดโต่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ชื่อว่า ‘ผีห่าอโยธยา’ โดย ‘หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล’ หรือ ‘คุณชายอดัม’ โอรสใน ‘หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล’ และ ‘หม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา’ ซึ่งสำหรับผู้ชายวัย 29 ปี ต้องยอมรับว่าท่านเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะมุมมองในวงการภาพยนตร์ ส่วนจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น mars ได้แวะเวียนไปยัง FuKDuK สตูดิโอย่านกรุงเทพกรีฑาของคุณชายอดัม ซึ่งท่านให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมสละเวลาให้สัมภาษณ์ทั้งที่เพิ่งเหนื่อยล้าหลังกลับจากกองถ่ายหมาดๆ
การทำหนังในแบบ คุณชายอดัม
สำหรับเรื่องหนังแล้วผมไม่ได้จำกัดความชอบ ดูได้หมด หนังตีความก็ชอบ ส่วนคนทำหนังก็จะมีหลายคน ทั้ง ลุค เบซอง (Luc Besson ผู้กำกับ Léon: The Professional, The Fifth Element) หรือ คุโรซาว่า (Akira Kurosawa ผู้สร้างหนังชาวญี่ปุ่น) กับเรื่องที่กำลังทำอยู่ก็เป็นหนังอาร์ตต้องอาศัยการตีความมากๆ เรียกว่าฉีกขนบอยู่เหมือนกัน ไม่ได้มีความเฉพาะตัวสักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าหนังมันคือการค้นหา
ผมไม่บอกว่าตนชอบแบบนี้เท่านั้นร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เราให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เพราะยังไม่แก่แค่ 29 ดังนั้นมันไม่มีความตายตัว ถ้าผม 60 แล้วทำหนังผ่านมา 30 เรื่องเหมือนกันเป๊ะน่าจะเรียกว่าเป็นอะไรเฉพาะทางเรา แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่องที่เราชอบ อยากสัมผัส
ส่วนใหญ่ผมจะเขียนพล็อตเรื่องเอง พยายามให้คนอื่นเขียน แต่ยังไม่มีใครทำได้ตรงความต้องการ คือพื้นฐานคนไทยส่วนใหญ่มันอยู่กับไสยศาสตร์ ภูตผี นั่งฌาน ซึ่งมีบทมาเสนอผมเยอะ จำพวกวิญญาณนี่อย่างน้อย 20 – 30 เรื่อง ที่เหลือเป็นหนังบู๊พริตตี้ คือหนังแอ็คชั่นเอาพริตตี้ ผู้หญิงสวย เซ็กซี่ มาบู๊น่ะครับ แต่สิ่งที่เราอยากลองเช่นใน ‘ผีห่าฯ’ หลายคนเรียกหนังผี แต่มันไม่ใช่ผี มันเป็นหนังซอมบี้ ซึ่งคนไทยเรารู้จักกันดีมากๆ เพียงไม่มีหนังไทยเป็นซอมบี้จริงจัง เรามีขุนกระบี่ผีระบาด (เข้าฉายปี 2547 กำกับโดย ทวีวัฒน์ วันทา) เรียกว่าซอมบี้กึ่งสแลชเชอร์ฟิล์ม (slasher films) ส่วนก้านคอกัด (เข้าฉายปี 2554 กำกับโดย โจอี้ บอย) เป็นตลกครึ่งซอมบี้ครึ่ง มีเซ็กซี่ด้วย ก็เลยยังไม่เห็นใครทำแบบ ซอมบี๊… ซอมบี้ เราเลยอยากทำตรงนี้
อย่างไรก็ต้องคิดออกแบบให้ไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะส่วนใหญ่จะสร้างเรื่องราวเกิดขึ้นปัจจุบัน มันไปถึงทางตันของมนุษยชาติ เช่น ซานแอนเดรีย เอย เวิลด์วอร์ ซี เอย ผมจึงคิดว่าเราทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่สามารถสร้างกรุงเทพจากจินตนาการได้ ถึงอาจทำได้แต่คนคงด่าเราเละเทะว่าไปลอกชาวบ้านเขามา คำว่า ‘ลอก’ ตรงนี้มันเป็นความคิดด้านลบเกิน ทั้งที่ซอมบี้มันก็มาจาก วูดู ตอนแรกเป็นการปลุกคนตายขึ้นมารับใช้ เป็นทาส เป็นโรคระบาด หลัง โรเมโร (George A. Romero ผู้เขียน Dawn of the Dead) เป็นคนทำให้มันดังขึ้นมา
น่าเสียดายนะครับที่คนเห็นตัวอย่างผีห่าอโยธยาแล้วไปเรียกว่า Walking dead Thailand แต่จริงๆ แล้วผมเป็นแฟน Dawn of the dead ส่วน walking dead นี่เป็นอะไรที่ดูๆ ไปแล้วไม่ชอบ เราดูหนังเก่าๆ พวก Dawn of the dead ของแซ็ก ชไนเดอร์ (Zack Snyder) รู้สึกว่ามันกว่า
คุณภาพหนังนำมาซึ่งตัวเลข
ผมว่าการทำหนังมันเหมือนเป็นกบฏ เหมือนเป็นทรราชแผ่นดิน เป็น ‘นนทก’ เทวดาจะขึ้นสวรรค์ต้องเขกหัวนนทกทุกคน อย่างผมผมล้างเท้าประชาชนด้วยหนังแล้วคนจะเขกหัวผมอย่างไรก็ต้องทำใจ ถ้าวันหนึ่งผมเกิดไปขอนิ้วเพชรจากพระอินทร์ก็คงไม่ดีเอาเสียเลย
ฉะนั้นเราต้องรับการเขกหัวของชาวบ้านได้ เราไม่ได้บอกว่า attitude ของคนไทยไม่ดี มันเป็นความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ เราคิดสิ่งที่เราทำมันมีทั้งแอนตี้ หรือเอ็นจอย
คุณภาพของหนังนำมาซึ่งตัวเลขครับ อย่างเรื่องผีห่าฯ ได้กำไรไปแล้ว เพียงมันไม่ได้กำไรในเมืองไทย มันได้ต่างชาติมีพรีเซลล์ไปก่อนหน้า (ขายสิทธิ์ฉายล่วงหน้าให้ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์) พอคนเห็นหน้าหนัง เห็นรูปแบบโปรดักชั่น เห็นวิธีการนำเสนอเขารู้สึกว่ามันไม่ได้แพง เมืองนอกซื้อเขาจ่ายแสนดอลลาร์นี่ก็ 3 ล้านบาทแล้วครับ ซื้อ 3 เจ้าก็ 9 แสน ดอลลาร์ นี่จะทบทุนอยู่แล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก ต่างกันที่เราจะมาคาดหวังจากคนไทยให้เข้ามาดูหนังมันเหนื่อยมาก
ยอมรับว่าเรื่องแรกสารวัตรหมาบ้าขายไม่ออกทั้งในไทย และเมืองนอก เก็บตัวเลขได้1.3 ล้านแล้วจบเลยครับ ไม่ได้กำไรใดๆ ทั้งสิ้น เจ๊งไม่เป็นท่า ซึ่งหนังเรื่องที่สองดันขายเมืองนอกได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าตลาดหนังของเราไปอยู่ตรงไหน ตอนนี้แค่ซื้อเราเพราะหน้าหนังมันน่าสนใจ ไม่ใช่ว่าผมมีชื่อ แต่ถ้าผมเป็นสปิลเบิร์ก, เจมส์ คาเมรอน หรือ ปีเตอร์ แจ็คสัน เดินไปไหนก็มีคนพร้อมซื้อทั่วโลกแต่ไม่ใช่ เราเอาหน้าหนัง เอาโปสเตอร์ไป คนเขาสนใจขอดูบทหน่อยสนใจ ราคาเท่าไหร่ ได้สิทธิ์อะไรบ้างก็ยังเป็นการซื้อขายเหมือนขายเขียงหมูอยู่
นักแสดงต้องร่วมงานด้วยใจ
การเลือกตัวนักแสดงผมเอาคิวเป็นหลักครับ ดูว่าใครทุ่มเทกับเรา ใครอยากเล่น คุยกับ ‘เต้ย’ (พงศกร เมตตาริกานนท์) เต้ยบอกเอาครับมันดี ตอนนั้นเขาก็ยังไม่ได้เล่นละครบางระจัน เรียกว่ายังไม่ได้เปิดกล้องเลย เขาเพิ่งแสดงพันท้ายของพ่อผม ซึ่งก็ยังไม่ได้ฉาย เล่นคุณชายรัชชานนท์เรื่องเดียว ไม่มีคนรู้จักเลย ตอนนี้ดันมาดังก่อนหนังผมฉายซะได้ (หัวเราะ) ก็โชคดีผมไป
เราเอาคนที่เขารู้สึกแฮปปี้ที่ทำงานกับเรา ผมกลับค้นพบว่าตัวเองเป็นผู้กำกับที่หลีกหนีจากนักแสดงมีชื่อเสียงที่ไม่มีคิวไม่มีเวลา อย่างแค่พริตตี้เดี๋ยวนี้ก็งานรัดตัวจะตายใครหน้าอกใหญ่หน่อยมีคิวถ่ายทุกวัน ออกอีเว้นท์ เดินสายโชว์ตัว รวยจะตายชักครับ เราไม่อยากได้ตรงนี้ อยากได้นักแสดงที่ฟังเรา บางคนผมไปเจอใน เดโมเครซีสตูดิโอ (Democrazy Theatre Studio) เล่นละครเวที ผมไปนั่งดู พอจบปุ๊บผมก็ชวนมาเล่นหนัง ผมใช้วิธีแบบนี้ แต่ถ้าไม่มีคิวไม่เป็นไรเอาไว้เรื่องหน้า
‘พี่เต๋า’ (สมชาย เข็มกลัด) เองตอนเล่นสารวัตรหมาบ้า (พ.ศ.2556) ก็ไม่ได้เลือกเพราะเขาเป็นดาราแม่เหล็ก แต่ในเรื่อง ‘วสันต์ แสงพรึง’ คือ ตำรวจอายุ 39 ลูก 2 เป็นคนโผงผาง แต่นิสัยจริงๆ แล้วทุกคนรักและเคารพ ตอนนั้นผมเล่นฟิตเนสอยู่ พี่เต๋าเดินเข้ามาผมเลยถาม พี่อายุเท่าไหร่แล้ว พี่เค้าตอบ 39 มีลูก 2 ซึ่งตรงกับบทในหนัง 100 เปอร์เซ็นต์ ผมถามเลยพี่เล่นหนังผมเถอะ พี่เค้าตอบเลย ได้
ตลาดหนังไทยกับความสนใจในปัจจุบัน
หน้าหนัง และกระแสเท่านั้นครับ มันตอบยากเหมือนกัน ปัจจัยมีหลายอย่างผมไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ฝนตกคนก็ไม่ดูหนังแล้วครับ ปฏิวัติก็ไม่ดูหนัง เจอข่าวเนปาล วันนี้เกิดมีเล่นคอนเสิร์ต pray for Nepal คนก็ไม่ดูหนังแล้ว คือมันมีเหตุ มีปัจจัยที่ทำให้คนเลือกเข้า หรือไม่เข้าโรงหนัง
อย่างเสียเจียงว่าฟาสต์ (Fast & furious 7) ฟาสต์ก็รวยเลย คนดูมากขึ้น อย่างนี้ก็เป็นตัวอย่าง เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนังผมจะฉายอีกไม่กี่วัน ผมไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น มานั่งลุ้นขอให้อย่ามีอะไร มีความสงบสุข เกิดวันนั้นมีระเบิด มีคาร์บอมบ์ พร้อมกัน ใครจะดูหนังอีก ตู้ม… หนังเจ๊งสิครับ ถ้าอเวนเจอร์ขอเลื่อนฉายหนึ่งอาทิตย์ หนังเจ๊งสิครับ ตรงนี้เราไม่รู้เลย แต่สิ่งที่เรารู้เลยคือเราตั้งใจเต็มที่
การทำการตลาดโดยอาศัยอะไรเพียงอย่างเดียวมีผลช่วยหนัง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม แต่สิ่งเดียวที่ทำให้หนังยืนพื้นอยู่ได้ในระยะเวลาอันยาวนานคือคุณภาพหนัง ถ้าผมทำ 40 เรื่องที่ดี เต็มที่ แล้วทุกคนรู้ เรื่องที่ 41 เขาอาจจะเห็นใจ ซึ่งผมว่าผีห่าอโยธยาได้รับอานิสงส์จากที่เราตั้งใจทำสารวัตรหมาบ้า ถึงแม้จะมีคนดูในโรงแค่ 8,350 คน ทั้งประเทศ ได้ตังค์มาแค่ 1.3 ล้าน เชื่อว่าคนเหล่านั้นก็จะติดตามดู หรืออย่างใครที่ดู DVD ตามหลังเขาก็จะเห็นว่าเราตั้งใจทำนะ
บางส่วนก็อยากดูผีห่าฯ เพราะตัวหน้าหนังมันหวือหวา เราแก้ไขปัญหาตอนทำสารวัตรหมาบ้า แม้ผมจะทำหนังสไตล์ตัวเอง ที่เราชอบ ไม่ได้คิดอะไรที่มันตลาด ถ้าตลาดต้องมีตลกโผล่มาแล้ว แต่เรื่องนี้หน้าหนังดันไปแมทช์กับแฟนหนังคนไทยที่มีความชอบในซอมบี้อยู่แล้ว แฟนคลับเขาเยอะ เรื่องนี้มันเป็นพีเรียดด้วย (period หรือย้อนยุค) คนก็สงสัย เอ๊ะ! มันเพี้ยนเปล่าวะผู้กำกับคนนี้
ไปอ่านในเพจของสหมงคล คนด่าผมเยอะเลยว่าเพี้ยน อยู่ดีๆ เอาประวัติศาสตร์ เอาเรื่องในอดีตมาปนกับซอมบี้ ตรงนี้แง่ดีคือมันเป็นกระแสติดมาพอสมควร ผมเชื่อว่าน่าจะได้รายได้บ้างไม่ได้เยอะไม่ได้น้อย
อุปสรรคของคนทำหนัง
อุปสรรค์ทุกวันครับ ทุกสิ่งมันมีอุปสรรค อย่างนี่หนังจะฉายอีกไม่กี่วันก็ยังนั่งตัดอยู่เลย (หัวเราะ)
รู้สึกได้ว่าคนไทยเขาแฮปปี้ในสิ่งที่เขาดู เลือกดูสิ่งที่อยากดู ตรงนี้มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้อยากดู บ่อยครั้งพบว่าคนดูหนังไม่ใช่เพราะอยากดู แต่ดูเพราะมันเป็นกระแส เพราะความสนุก แต่สนุกไม่ใช่เพราะหนังดี ดูเพราะมีความคุ้มค่าตั๋ว ไม่ใช่เพราะมีโปรดักชั่นใหญ่ มันไปตรงจริตของเขา ตรงกระแส ตรงความชอบ ได้เห็นสิ่งที่เขาอยากเห็นตรงนั้นตรงนี้น่าดู น่าจ่ายตังค์นะ ตลาดมันจึงอยู่ตรงนี้ ไม่ได้พัฒนาขึ้น เพราะคนก็ยังกลุ่มเดิมๆ
อย่างนเรศวรคนอาจดูเพราะปลุกกระแสรักชาติ อยากรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ เป็นหนังฟอร์มยักษ์ หรืออยากดูผู้พันเบิร์ด ส่วนอยากดูฟาสต์เพราะ พอล วอล์คเกอร์ตายนะ หนังเกี่ยวกับรถ หนังลงทุนมหาศาล หนังแต่ละเรื่องมันมีปัจจัย ตรงใจคนแค่ไหน ทำดีอย่างไรแต่ไม่โดนมันก็เจ๊งไป แค่นั้นเองครับ
เรื่องผีห่าอโยธยา
เรื่องนี้แบ่งออกเป็นแอ็คชั่น 50 ดราม่า 50 ส่วนความตลกนั้นไม่มีนะครับ ผมไม่ได้มีเซ้นต์ทางนี้ เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะมี คือผมไม่ใช่คนตลกจึงไม่พยายามทำ เรื่องราวจึงออกไปทางดราม่า มันต้องมีเหตุมีผล ตัวละครมีที่มาที่ไป ผมเองยังรู้สึกว่าผีห่ายังมีความเป็นดราม่าที่ฟันคอขาด เลือดกระฉูดพอสมควร
ส่วนหนังเรื่องต่อไปเป็นหนังอาร์ตครับชื่อ ‘เดอะ ซับมารีน’ เป็นหนังภาษาต่างประเทศครับ เรียกว่าหนังทดลองก็ได้ รวมถึงตอนนี้ทำซีรีย์อยู่ครับ แนวทริลเลอร์ (thriller) ผมมานั่งคิดครับ ถ้าเราเอา ‘ทเว้นตี้โฟร์’ (ซีรีย์ 24) มาบวกกับ ‘อันเบรคเคเบิล’ (Unbreakable เข้าฉายปี 2000 ผลงานของ M. Night Shyamalan) มันจะเป็นอะไร แต่ปรับให้ดูเป็นไทยบ้าง ตอนนี้กำลังทำบทกันอยู่ แต่เปิดเผยอะไรมากไม่ได้
รับมือกับการละเมิดลิขสิทธิ์
โอ้ยดีครับ (หัวเราะ) ทำผิดกฎหมายไปเขาก็จับ เราไม่ต้องมารับมือตรงนี้หรอก คนจะดูเขาก็ดู คนจะละเมิดลิขสิทธิ์ต่อให้คนไม่ดูเขาก็ไม่เข้าโรงอยู่แล้ว ทำอย่างไรที่จะดึงเข้าไปดูในโรงอันนี้สำคัญมากกว่า แต่ไม่ใช่หมายความว่าไม่พยายามป้องกัน ปราบปราม อย่าง ‘พี่มาก’ ทำได้นะครับ ถามว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ไหม ผมว่าครึ่งหนึ่งในจำนวนรายได้พันล้านนั่นน่ะน่าจะเคยดูแบบละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ยินดีตีตั๋วเข้าไปดูในโรงด้วย
การทำงานคือการพักผ่อน
ผมไม่พักผ่อนเลยครับ ผมชอบการผจญภัยนะ แต่ผจญภัยด้วยงาน อย่างนี่จะส่งทีมไปเนปาลผมมีทีมผู้เชียวชาญ แล้วก็ไม่ได้ไปตายเอาดาบหน้าอย่างที่เขาโพสต์กันในเน็ต ส่งไป 8 คน ตัวผมเองอาจแค่ส่งเสบียงให้ถึงที่แล้วกลับ ดูแลว่าไม่ให้โดนบล็อกด้วยกลุ่มก่อจลาจล ดูเรื่องพื้นที่ความเสียง นี่แหละครับคือการผจญภัยของผม
มันมียุคหนึ่งครับที่ผมคิดว่าการเที่ยว เป็นแค่เที่ยวเฉยๆ มันไร้ความหมายมากเลยเที่ยวเสร็จก็ถ่ายรูปลงโปสการ์ดก็จบ แล้วบอกว่าฉันเคยไปมาแล้วนะ แต่ถ้าเราได้ไปในบางที่ทำให้มันมีความหมาย มีประสบการณ์ ได้ทำงานไปด้วย ซึ่งนอกจากเที่ยวเรายังได้อะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ใช่แค่วันหยุดไปถ่ายรูปขาตัวเอง กับแก้วไวน์แล้วกลับไม่เอาครับ ผมว่าแบบนั้นใครๆ ก็ทำได้ มองว่าเราจะทำอะไรที่ดีกว่านั้นได้ไหมในการพักผ่อน
อีกอย่างคือถ้าผมอยากพักก็พักได้เลยครับ ผมมีโรงแรมอยู่ที่ปราณบุรี มันสามารถทำได้เดี๋ยวนี้ไงครับ ฉะนั้นการพักผ่อนแบบนั้นผมว่ามันอยู่แค่ เอื้อมเลยเลือกหาอะไรที่สนุกๆ ทำ
เรื่อง : เอกลักษณ์ มุสิกะนันทน์
ภาพ : อิศเรศน์ ช่อไสว