Marsmag.net

ละครจบ ‘อีแย้ม’ ไม่จบ – รัดเกล้า อามระดิษ


บทบาทของ ‘แย้ม’ ในละคร ‘สุดแค้นแสนรัก’ ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ เปลี่ยนให้นักร้องเสียงหวาน ‘ต๊งเหน่ง – รัดเกล้า อามระดิษ’ กลายเป็นกระแสฟีเวอร์ขึ้นมาทันที บ้างก็มาในมุมบวกจนเกิดเป็น #ทีมแย้ม เพราะสะใจในการแสดงที่ ‘ถึงกึ๋น’ ตีบทแตกจนละเอียด และแน่นอนอีกกระแสก็จิกด่าเติมคำนำหน้าให้เสร็จสรรพว่า ‘อีแย้ม’

มาดูกันว่า อะไรทำให้นักร้องอารมณ์ดีผู้มีรอยยิ้มเปื้อนหน้าแทบจะทุกวินาทีเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เมื่ออยู่ในบทบาทการแสดง 

วางเปลือกทุเรียนแล้วไปคุยกับเธอกันดีกว่า!

กระแสของ ‘แย้ม’ ดีมากๆ ไปไหนมาไหนก็มีคนพูดถึง โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกอย่างไร
 
กระแสที่เข้ามา แรกๆ ก็จะมีคนเกลียด ในโซเชียลมีเดียต่างๆ นี่มีให้เห็นมากมาย ซึ่งปกติเราก็ไม่ได้เล่นพวกนี้มากนัก แต่ก็มีผู้หวังดีไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรู้จัก หรือน้องๆ นักแสดงด้วยกันส่งมาให้ดู แรกๆ ก็มีเครียดๆ เหมือนกันว่าทำไมเขาเกลียดเราเยอะขนาดนี้
แต่ก็ดีใจมากๆค่ะเมื่องานที่เราตั้งใจทำได้รับเสียงตอบรับอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะตัวเราเอง นักแสดงทุกคนและทีมงานทุกคนก็คงดีใจที่มีคุณผู้ชมมองเห็นในสิ่งที่เราเหนื่อยกับมันมาปีกว่าๆ ต้องใช้คำว่าเหนื่อยจริงๆ นะคะ แค่คุณผู้ชมดูนั่นก็คือผลตอบรับสำหรับเราที่ดีมากแล้ว ต้องขอบคุณมากๆ สำหรับการตอบรับขนาดนี้

เสียงตอบรับจากคนใกล้ตัวที่รู้จักตัวตนของพี่ต๊งเหน่งจริงๆ ล่ะ

คนในครอบครัวหรือคนที่ใกล้ชิดก็จะขำ เพราะตัวตนจริงๆ ของเราไม่ใช่คนแบบนั้นเลยสักนิดเดียว ญาติพี่น้องก็จะมีโทรมาหาคุณแม่ คุยกันไปหัวเราะกันไป คือดูหลานแล้วก็ขำมากว่าทำไปได้อย่างไร
อย่างน้องๆ ที่รักที่สนิทกันก็แตกต่างกันไป บ้างก็บอกว่า ทำใจไม่ได้เลย เพราะว่าเกลียดแย้มมาก แต่ในใจก็บอกตัวเองว่านี่คือพี่ที่เราเคารพรัก จะทำอย่างไรดี บางคนก็ตัดสินใจที่จะหยุดดูตั้งแต่จบตอนแรกเท่านั้น เพราะทนแย้มไม่ได้เลย เกลียดแย้มมากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็รักพี่ต๊งเหน่งมาก คือไม่รู้จะทำอย่างไร สับสนไปหมด ก็จะมีประมาณนี้ (หัวเราะ)
 
แล้วอย่างเวลาเดินตลาดหรือช็อปปิ้งที่ต่างๆ เจออะไรแปลกๆ บ้างไหม

ก็มีหลากหลายนะคะ เอาแบบน่ารักๆ ก่อน ก็จะมีเข้ามาเยอะอยู่ ถ้าเป็นสูงวัยหน่อย เป็นวัยคุณป้า วัยเดียวกับคุณแม่ ท่านจะน่ารักมากๆ เข้ามากอด แล้วก็หอมแก้ม ให้กำลังใจ มีแบบให้อุ้มหลานถ่ายรูปอะไรแบบนี้ และส่วนใหญ่ก็จะให้พรบอกว่า ขอให้ลูกสุขภาพแข็งแรงนะ มีงานเข้ามาเยอะๆ ให้ร่ำรวย
ส่วนที่มาแบบน่าตกใจหน่อยก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) อย่างเช่นไปตลาดที่อยู่หน้าบ้าน เดินมา 10 กว่าปีแล้ว แม่ค้าก็รู้จักกันดีทักทายกันมาเก่าก่อน แต่พอละครออกฉายตอนแรกเท่านั้น แม่ค้าท่าหนึ่งซึ่งปกติเดินผ่านจะทักทายพูดคุยกันตลอดอยู่แล้ว ก็ตะโกนมาแต่ไกลเลยว่า “เอ๊า… มาทำไม กล้ามาด้วยหรือ มาทำไมตลาดนี้ ไม่มีที่ให้ยืนหรอกนะ ไม่ต้องมาแล้ว” เราก็ตกใจมากๆ ได้แต่ก้มหน้าบอกเสียงจ๋อยๆ ไปว่า “มากด ATM ค่ะ เดียวไปแล้วค่ะ” หรืออย่างไปร้านอาหาร ก็มีท่านหนึ่งดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นผู้จัดการร้าน เราก็ถามเรื่องของเมนู เขาก็จะเงียบไปสักพักใหญ่ เราก็งงๆ สักพักถึงจะพูดกลับมาว่า “ไม่อยากพูดด้วยหรอกนะเนี่ย เกลียดมากเลย นิสัยไม่ดี” จากนั้นเดธแอร์ก็เกิดขึ้นทั้งโต๊ะ เพื่อนๆ ก็อึ้ง เพราะพี่เขาพูดด้วยสำเนียงที่จริงจังมากๆ สักพักเพื่อนก็ตัดบทขึ้นมาว่า “พี่เขาดูละครด้วยนะดีจัง” ก็แก้สถานการณ์ไป แต่เขาก็ยังไม่ตอบยังเงียบอยู่ พี่ก็เลยตัดสินใจว่าไม่เป็นไร ก้มหน้าดูเมนูไปเงียบๆ สักพักหนึ่งเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นก็มาแนะนำตามปกติ อย่างล่าสุดไปเดินตลาดนัด ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งมาขอถ่ายรูป พอถ่ายเสร็จก็ตีเราเลย ตีแรงด้วยนะหลายทีเลย ตีไปก็พูดไปว่า “เนี่ยไม่ดีเลย นิสัยไม่ดี แบบนี้ไม่ได้นะ เป็นคนแบบนี้ไม่ได้นะ” ในใจเราก็นึกว่า “เอิ่ม…หนูเป็นไปแล้ว จะให้ทำอย่างไรดีคะ หนูถ่ายเสร็จไปแล้วววว” ก็ยังมีที่ขำๆ อีกหลายๆ ท่านเลย

นอกจากนี้ ที่มาขอถ่ายรูปส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นวัยทำงาน จะมีแบบว่า “รูปแรกพี่ยิ้มกับหนูก่อนค่ะ เอาแบบสวยๆ” พอเสร็จปุ๊บก็บอกว่า “พี่จิกหนูเลยค่ะ จิกหัวหนู เอาแบบจิกด่าเลยก็ได้ค่ะ ด่าแรงๆ แบบเกลียดหนูเลย แรงๆ เลย” พอหนึ่งท่านทำก็จะมีคนอื่นๆ ทำตาม หลายๆ ท่านติดต่อกันเลยแบบว่า “เอาเลยค่ะพี่ สวยๆ แอ็คหนึ่ง จิกๆ แอ๊คหนึ่ง แบบเร็วๆ เลยนะคะ คนอื่นเขารออยู่ เดี๋ยวเขาจะว่าเอา” หลายๆ ที่จะเป็นแบบนี้ เราก็มีคิดในใจบ้างว่า “น้องค่ะ พี่จวนจะเป็นไบโพล่าร์ (โรคที่มีอาการผิดปกติทางอารมณ์สองแบบ) อยู่แล้วค่ะ” คือต้องปรับอารมณ์ตลอด (หัวเราะ)

ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอขนาดนี้ เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากๆ ในชีวิต แปลกดีค่ะ คือที่เราเคยเจอมาในฐานะนักร้อง ก็จะมีแค่ถ่ายภาพ พูดคุย ให้กำลังใจกันธรรมดา แต่ว่านี่เจอแบบดุใส่ หรือมีการค้อนตามอง หรือให้แสดงอารมณ์เปลี่ยนไปมาแบบนี้ ไม่เคยเจอมาก่อนเลยค่ะ ก็ดีค่ะแปลกดี

ผ่านงานแสดงมาเยอะแต่ก็ไม่เคยมีบทบาทแบบนี้ ย้อนไปถึงตอนที่ได้อ่านบทครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

(หัวเราะ) ไม่ค่อยได้อ่านบทละเอียดมากนัก คุณเอ๋ (ผู้จัดการ) จะเป็นคนที่อ่านเยอะกว่า ก็เตือนมาว่าต้องออกเยอะมาก และในแต่ละฉากต้องพูดยาว อีกอย่างสถานที่ถ่ายทำจะเป็นต่างจังหวัดทั้งหมดเพราะว่าเป็นละครย้อนยุค แต่เผอิญว่าอยู่ชานเมืองไม่ไกลมากนักก็เลยไม่ลำบากเท่าไร

ต้องเรียนเพิ่มเติมว่าที่เลือกพิจารณางานแสดงแต่ละอย่าง นอกเหนือจากเรื่องของบทบาทหรือเนื้องานที่เราต้องคิดว่าเราจะมีความสามารถหรือศักยภาพที่จะพอทำให้ได้หรือไม่ อีกสาเหตุหนึ่งก็คือจะดูจากผู้ที่ว่าจ้างหรือผู้ที่ร่วมงานกับเรา ถ้าท่านเป็นคนเก่งหรือเป็นผู้ที่มีบุญคุณ เป็นคนที่เราอยากทำงานด้วย ก็จะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลือกรับงานในอันดับต้นๆ

ในเรื่องนี้ พี่หนุ่ม (กฤษณ์ ศุกระมงคล) ก็โทรมาหาได้คุยกันว่าเรื่องนี้เป็นละครของพี่หนุ่มร่วมกับแม่จิ๋ม (มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช) ใจเราก็ค่อนข้างจะไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะว่าเคยมีโอกาสได้ไปแสดงรับเชิญในละครของพี่หนุ่มก็นับถือในฝีมือกันและก็เคารพรักแม่จิ๋มอยู่แล้ว อีกอย่างแม่จิ๋มเคยให้โอกาสเรียกไปแสดงละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ติดที่ว่าตอนนั้นมีสัญญากับค่ายเพลงอยู่ และบทนั้นค่อนข้างจะแรงมาก เป็นตัวร้ายที่ไปฆ่าคนซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ของการเป็นนักร้อง ตอนนั้นก็เลยต้องกราบขอโทษแม่จิ๋มไป ฉะนั้นตอนนี้เลยคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมากๆ และบทก็น่าสนใจมาก เลยตอบรับ

ตอนที่คุยกันจริงๆ พี่หนุ่มให้บทมา 10 ตอน ก็อ่านๆ ไป ไม่ทันจบตอนแรก แล้วพี่อึ่งที่อยู่บริษัทของแม่จิ๋ม ซึ่งเป็นคนที่ประสานกับผู้จัดและผู้กำกับคอยวางว่า บทนี้น่าจะให้นักแสดงคนไหนเล่นถึงจะเหมาะสม พี่อึ่งบอกว่า “ตัวละครนี้จะเหนื่อยนะและก็ร้ายมากๆ” เราก็ “อืม…ค่ะ” พี่หนุ่มก็เสริมว่า “มองเห็นมุมร้ายที่ต๊งเหน่งน่าจะทำได้ เพราะเคยเห็นจากภาพยนตร์เรื่องจันดารา ที่แม้บุคลิกและลักษณะตัวละครจะคนละแบบโดยสิ้นเชิง ชั้นเชิงไม่เหมือนคุณท้าวยาย แต่เรื่องนี้ก็เข้มข้นด้นอารมณ์ไม่แพ้กันแถมต้องเล่นตั้งแต่อายุวัยกลางคนไปจนถึงแก่ บทบาทแบบนี้คิดว่าต๊งเหน่งน่าจะทำได้” เราก็อ่านบทคร่าวๆ ไปไม่จบทั้งเรื่อง ก็คิดว่า ถ้าพี่เขาไว้วางใจ กล้าที่จะเสี่ยงกับเรา ก็ลองดูกันสักตั้ง

ตีบทแตกขนาดนี้เชื่อว่าต้องมีคนติดต่อให้ไปรับบทบาทในลักษณะนี้อีกแน่นอน จะรับเล่นอีกไหม

ต้องถามผู้จัดการค่ะ (หัวเราะ) คือชีวิตเราจะเป็นคนที่ค่อนข้างจะง่ายๆ ให้ทำอะไรก็ทำ เมื่อรับงานแล้วผู้กำกับให้ทำอะไร ก็เต็มที่ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่ ณ ตอนนี้เรื่องสำคัญมากๆ คือเงื่อนไขของเวลาในการทำงาน ตอนนี้มีละครเวที 2 เรื่อง ซึ่งรับปากไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการทำงานละครเวทีต้องใช้เวลากับมันค่อนข้างมาก ซ้อมแต่ละครั้งจะหลายชั่วโมงและก็ซ้อมเยอะมากๆ เพราะศาสตร์ของละครเวทีคือการที่นำเรื่องราวมาแสดงจริง ให้คุณผู้ชมได้เห็นจริงๆ บนเวที แล้วจะต้องมีสมาธิอยู่กับละครนั้นอยู่เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง ฉะนั้นจะต้องซ้อมให้มากที่สุดเพื่อที่จะป้องกันการผิดพลาดให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นเงื่อนไขของเราตอนนี้ก็คือ ซ้อมละครเวที 2 เรื่อง บ่ายไปจนถึงดึกก็จะต้องอยู่กับละครเวทีนั่นเอง ดังนั้นด้วยเงื่อนไขของเวลาอย่างที่บอก ก็ทำให้ไม่สามารถรับงานละครที่ติดต่อเพิ่มเข้ามาได้ ก็ต้องขอโทษทุกๆ ท่านด้วย

เห็นว่าบทบาทละครเวทีทั้งสองเรื่องที่กำลังซ้อมอยู่ไม่ใกล้เคียงกันเลย มีปัญหาเรื่องการแบ่งแยกประสาทตอนซ้อมบ้างไหม

เป็นโชคดีที่เราเป็นคนเบลอๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ) นี่เป็นเรื่องจริง คือเวลาที่เราทำงานก็จะจดจ่ออยู่กับงานมากๆ อาจจะเพราะว่าเราไม่สามารถใช้สมองคิดได้ขนาดนั้น จะให้แสดงบทนี้อยู่แล้วไปนึกถึงอีกบทของอีกเรื่องหนึ่ง เราไม่สามารถทำขนาดนั้นได้ (หัวเราะ) สมมุติว่ากำลังให้สัมภาษณ์อยู่ตอนนี้ สมองก็จะโฟกัสอยู่แต่เรื่องนี้ เพื่อที่จะตอบคำถามด้วยสมองที่มีทั้งหมด ไม่สามารถคิดได้เลยว่าเดี๋ยวต่อจากนี้จะต้องไปทำอะไร ฉะนั้นเวลาที่ซ้อมละคร สมมุติว่าซ้อมเรื่องนี้ก็จะเป็นตัวละครนี้เลย แต่พอเดินออกมาจากสตูดิโอที่ซ้อมปิดประตูปุ๊บก็จะลืมเลย เหมือนกับล้างระบบเลยทันที ไปอีกที่ก็จะสมาธิกับตัวละครอีกตัวหนึ่งเลย คือจะอยู่แค่กับปัจจุบันไม่พะวงอย่างอื่น อย่างอื่นจะทิ้งไปเลย
แต่ในชีวิตจริงจะเป็นคนหลงๆ ลืมๆ เดี๋ยวลืมโน่นลืมนี่ตลอดเวลา คือถ้าเป็นช่วงที่เรารับผิดชอบอะไรไม่เยอะมากก็ยังโอเคอยู่นะคะ แต่พอต้องรับผิดชอบอะไรหลายอย่างทั้งเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว และครอบครัวด้วย มันจะเกิดอาการทันที ลืมโน่นนี่นั่นมากมายไปหมด (หัวเราะ)

งานแสดงกับงานเพลง แบบไหนยากกว่ากัน

แล้วแต่โจทย์ค่ะ งานเพลงยากตรงที่ว่ามันจะมีเปอร์เซ็นต์ความเป็นตัวเราในการนำเสนอและถ่ายทอดออกไปค่อนข้างเยอะกว่างานแสดง แต่ทั้งสองศาสตร์คือการบอกสาร คือการถ่ายทอด ไม่ว่าเป็นอารมณ์ ความรู้สึก หรือสารอะไรก็ตามที่เราต้องการจะบอก แต่ว่าสื่อที่เราต้องมุ่งเน้นจะต่างกัน อย่างการร้องเพลง เสียงจะเป็นสื่อหลัก ถึงแม้ว่าขณะเราแสดงคอนเสิร์ตอยู่บนเวที ท่านผู้ชมจะเห็นภาพ เห็นการเคลื่อนไหว เห็นรูปร่างหน้าตาของเราก็จริง แต่ส่วนตัวคิดว่านั่นเป็นแค่องค์ประกอบ เพียง 30-40% เท่านั้น ที่เหลือคือเสียงและการถ่ายทอดผ่านเสียงของเรา ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ น้ำเสียง โทน ความเบา-ดัง หรือว่าความเข้มข้นของการตีความ จะผ่านเสียงเป็นหลัก
ในขณะที่การแสดงจะต้องทั้งหมดทั้งร่างกาย สัดส่วนจะต่างกันไปแล้วแต่ฉาก บางฉากอาจจะไม่ต้องพูดอะไรเลยใช้ร่างกายอย่างเดียว บางฉากไม่ต้องขยับอะไรเลยใช้ตาอย่างเดียว ฉะนั้นสัดส่วนมันจะลดหลั่นกันไป

ชอบแบบไหนมากกว่า

ชอบหมดเลย อยากทำหมดทุกอย่าง (หัวเราะ) ผู้จัดการปวดหัวมาก อันนั้นเราก็อยากทำ อันนี้เราก็อยากทำ แต่ผู้จัดการต้องเบรคว่า อันนี้อันนั้นไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ) เราก็โอเค เพราะเขาจะช่วยดูแลความเหมาะสมและหลายๆ อย่างให้กับเราอย่างดีที่สุด

ต่อจากนี้จะผลงานอะไรให้ติดตามบ้าง

เรียงตามลำดับเวลา ก็จะมีละครเวทีเรื่อง ‘แผ่นดินของเรา เดอะมิวสิคัล’ เริ่มแสดง 12-30 มิถุนายน นี้ ที่โรงละครเมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ศูนย์การค้าเอสพลานาด ถนนรัชดาภิเษก

19 มิถุนายน คอนเสิร์ต SUKIE BOYD SOMKIAT Present B Day Dance Party concert ในโอกาสครบรอบ 20 ปี เบเกอรี่มิวสิค ที่ รอยัลพารากอนฮอลล์ สยามพารากอน

4 กรกฎาคม คอนเสิร์ต SUKIE BOYD SOMKIAT Present B Day Dance Party concert ที่เชียงใหม่

13 สิงหาคม ละครเวทีเรื่อง ‘วันสละโสดกับโจทย์เก่าๆ’ เป็นมิวสิคัลคอเมดี้ ของพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ที่โรงละครเมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ศูนย์การค้าเอสพลานาด ถนนรัชดาภิเษก

ทั้งหมดซื้อบัตรได้ที่ Thai Ticket Major ทุกสาขานะคะ
และที่กำลังถ่ายทำอยู่ตอนนี้ก็คือละครโทรทัศน์เรื่อง ‘เดือนประดับดาว’ ของคุณโดนัส (มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล) ที่เป็นผู้จัดและผู้กำกับเองด้วย น่าจะออกอากาศหลังจากสิงหาคมเป็นต้นไป

ส่วนผลงานเพลงใหม่ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ (หัวเราะ) แต่ก็มีการรับปากกับผู้ใหญ่บางท่านไว้บ้าง ประมาณว่ามีชวนๆ ไว้ว่าเดี๋ยวมาร้องเพลงประกอบละครให้พี่นะอะไรแบบนี้ แต่ว่ายังไม่ทราบว่าระยะเวลานานแค่ไหน แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณและเคารพนับถือกันอยู่ และท่านก็เป็นบุคคลที่เก่งและมีความสามารถมากๆ ก็รับปากท่านไว้ว่า ยินดีค่ะ
นอกจากนี้ก็มี พี่บอย โกสิยพงษ์ ที่บอกไว้ว่าจะให้ร้องเพลงหนึ่งคู่กับป๊อด (ธนชัย อุชชิน) แต่ยังไม่ได้คุยรายละเอียดกัน (หัวเราะ) คือจะบอกว่าปกติจะสนิทกับพี่บอยมากๆ ก็จะรู้ว่าเราก็ยุ่ง พี่เขาก็ยุ่ง เอาเป็นถ้าพี่ว่างเมื่อไรก็ตามได้เลย หนูจะไม่ทวง เพราะว่า 1.หนูยุ่ง 2.หนูลืม 3.หนูก็เกรงใจด้วยเผื่อพี่จะเปลี่ยนใจไปให้คนอื่นร้อง เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่พี่จะกรุณาเลยค่ะ (หัวเราะ)

ฝากถึงแฟนๆ ทุกๆ ท่าน

กราบขอบพระคุณมากๆ ต้องกราบเลยจริงๆ นะคะสำหรับกำลังใจและกระแสตอบรับจากทุกๆ ท่าน ไม่ว่าท่านจะเกลียดหรือชอบ นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ท่านได้เห็นงานที่ดิฉันตั้งใจทำ เพราะว่าเราตั้งใจทำงานมากๆ เรามีความสุขและรักในงานที่เราทำ เพียงแค่ได้ทำงานนั้นเราก็มีความสุขแล้ว แต่เราจะสุขใจยิ่งกว่าถ้างานที่เราตั้งใจทำอย่างมีความสุขนั้น สามารถสื่อไปได้ถึงท่านผู้ชมทุกๆ ท่าน การที่เราได้สร้างสรรค์ผลงานให้ท่านได้รับชมเราก็มีความสุขมากๆ แล้ว ยิ่งท่านทั้งหลายมีเสียงตอบรับกลับมาก็ถือว่าเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในการที่จะสร้างผลงานที่ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกในครั้งต่อๆ ไป ต้องกราบขอบพระคุณมากๆ อีกครั้งค่ะ”

เรื่อง : อิทธิพล เนียมสวัสดิ์ ภาพ : ณัชชา เจียรไพศาลเจริญ