Marsmag.net

ล้วงเรื่องรักหลังม่าน ‘หมั่นไส้’ กับชายลายคุก ‘เก่ง ลายพราง’

2-3 วันมานี้เราได้เห็นข่าวเรื่องการเหยียบพรมแดงที่งานเทศกาลหนังในเมืองคานส์ของนักแสดงไทย 3 คน ได้แก่ ปู-วิทยา ปานศรีงาม, เฟรม กมลชนก และเก่ง ลายพราง ซึ่งรายหลังนี่มาไกลเกินฝันของใครหลายคนจะคาดคิด!!

ภายใต้คอมเมนต์ข่าวเรื่อง ‘เก่ง ลายพราง’ เหยียบพรมแดงเมืองคานส์นั้น เกินร้อยละ 50 อุดมไปด้วยข้อความหยามเหยียดและดราม่าไปกับกำพืดและโทษทัณฑ์ในอดีตของเขา บ้างก็ว่าบทคนคุกเถื่อนถ่อยที่เขาแสดงได้ดีในหนังเรื่อง A Prayer Before Dawn นั้น ก็เพราะซึมซับมาจากชีวิตจริง และอีกสารพัดคำเย้ยหยันที่รวมๆ แล้วพอจับอาการได้ว่า หลายต่อหลายคนกำลัง ‘หมั่นไส้’ ในความสำเร็จของชายขี้คุกอย่างเขา!!!

แต่ช่างเถอะ! ใครๆ ก็หมั่นไส้กันได้ว่าไหม? แต่ลึกไปกว่านั้นภายใต้รอยสักเขรอะเกรอะกรังชายคนนี้ก็มีหัวใจคล้ายๆ กับเรา รู้จักรัก รู้จักอ่อนโยน และรู้จักการดูแลเอาใจใส่คนรักเหมือนที่บุรุษหลายๆ คนพึงกระทำ ซึ่ง mars เคยได้รับรู้เมื่อครั้งที่เขายอมเปิดใจเรื่องแต่งงานกับสาววัยทีนเมื่อปีที่แล้ว

ลองมาอ่านหัวใจของชายลายคุกคนนี้อีกครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเขาถึงเสียน้ำตาที่พรมแดง!!

ชีวิตคู่ในปัจจุบันของคุณ จุดเริ่มต้นมันอยู่ตรงไหน?

จริงๆ แล้วผมเป็นคนไม่มีสเป๊ก คือมันเป็นช่วงเวลา เช่นเวลาเราเจอคนไหนถูกใจชอบใจเราจีบเลย แต่ช่วงเวลานั้นต้องเป็นช่วงเวลาที่เราโสดนะ เวลาที่เราจะคิดจริงจังกับใครเราต้องเคลียร์ตัวเองก่อนนั่นหมายถึงว่าเราต้องโสด

ตอนนั้นผมทำงานดีเจนะก่อนที่จะมาทำรีวิวสินค้า เป็นดีเจตามผับ ทำงานร้องเพลงด้วย แล้วก็มาเจอน้องที่ผับแห่งหนึ่งจังหวะเราเดินผ่านพอดีแล้วเพื่อนน้องในโต๊ะนั้นเป็น FC เราทั้งโต๊ะเลย แต่น้องเขาไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักเก่งลายพรางคือใคร เราเดินเข้าไปเพื่อนๆ น้องเขาก็มาขอถ่ายรูป แล้วคืนนั้นน้องเขาก็ใส่ชุดแดงด้วย เด่นอยู่คนเดียว แต่เมื่อก่อนไม่ขาวอย่างนี้นะ ผิวดำกว่านี้

ทีนี้หลังจากเพื่อนๆ เขาขอถ่ายรูป ผมก็เลยได้โอกาสพอดี ผมเลยขอถ่ายรูปมั่ง แต่ไม่รู้จะส่งให้ยังไง ก็เลยขอไลน์เขา พอให้ไลน์มาปุ๊บเราก็ส่งรูปไปให้ โดยเรียกเขาว่าที่รัก เขาก็ตอบกลับมาว่า พี่เรียกที่รักได้ไง เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย

หลังจากวันนั้นที่เรียกเขาว่าที่รักเราก็นัดกันไปกินไอติมที่สเวนเซนส์ (ทำไมต้องไปกินไอติม?) มันเป็นอะไรที่เด็กๆ เขาชอบไง ต้องไปตามวัยเขา เพราะถ้าพาไปร้านที่เป็นผู้ใหญ่เขาอาจจะรู้สึกว่าคนนี้เป็นผู้ใหญ่ไป เราต้องไปตามวัยเด็กเขา

ครั้งแรกที่นัดกินไอติมเขาเกร็งๆ กลัวเราด้วย เพื่อนเขาที่มาด้วยก็เกร็ง เสร็จแล้วคุยด้วยกันสักพักนึงก็ชวนมาอยู่ด้วยกันเป็นแฟนเลย คือตอนที่เราชวนมาอยู่นี่ไม่ได้ลักพาตัวเขานะ คือเราบอกกับทางแม่เขา แม่เขาก็เป็น FC เราเขาก็ชอบ เพราะแม่เขาก็แก่กว่าผมไม่เท่าไหร่

ถามว่าตอนนั้นรักหรือยัง? คือจริงๆ แล้วความรักก็เหมือนที่ทุกคนเขาพูดกันคือต้องใช้เวลา แต่สำหรับผมวันเดียวก็รักได้แล้ว คือเรารู้สึกว่าถ้าเรามีความสัมพันธ์กับคนคนนี้ระหว่างที่เราโสดอยู่ คบกันแค่วันเดียวผมก็รักแล้ว เราเป็นคนรักคนง่ายแล้วก็โดนหลอกง่าย คือทุกอย่างเนี่ยมันง่ายไปหมดเลย ทุกเรื่องนะ แต่ว่าเรื่องความรักมันจะมากขึ้นไปอีก เราเป็นคนที่จะจริงจังแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ เป็นคนอ่อนไหว ซึ่งหน้าตาภายนอกอาจจะดูไม่ใช่อย่างนั้น

ตอนนั้นที่คบหากันแล้ว น้องเขามาอยู่ด้วยกันแล้ว น้องเขารู้สึกอย่างไร เคยพูดให้เราฟังไหม?

อย่างแรกที่เรารู้สึกเลยก็คือเพื่อนเขาอาจจะบอกว่า มึงไปอยู่กับพี่เขาสิ พี่เก่งเขาเฟี้ยว เขาเป็นเน็ตไอดอล อันนี้เป็นความคิดของผม แต่เขาอาจจะยังไม่ได้ชอบเราจริงๆ เพราะว่า หนึ่ง-เขากลัวด้วย สอง-ยังลังเลอยู่ว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี อันตรายไหมเพราะว่าคนแบบนี้ดูทรงจากภายนอกจะต้องค้ายาแน่นอน ติดคุกแน่นอน นี่คือความคิดของเขาแน่นอน อีกส่วนหนึ่งพอเขาได้ปรึกษากับแม่แล้วแม่อาจจะบอกว่า แล้วแต่ลูกแล้วกันแม่ไม่ได้ว่าอะไร แต่พ่อเขาไม่ได้ พ่อดุครับ คือที่คบกันตอนแรกเขาเอารูปเราขึ้นไลน์ พ่อเขาก็เลยพูดว่าถ้าลูกเอารูปไอ้คนนี้ขึ้น เอารูปหมาขึ้นดีกว่า ตอนนั้นผมก็รู้สึกไม่ดีเลยบอกว่าถ้าจะคบกับพี่ลบไลน์พ่อไปเลย คือเราอยากให้เขาชัดว่าจะคบกับเรา น้องเขาก็โอเค ยิ่งตอนหลังที่เราประกาศไปว่าจะแต่งงาน พ่อแม่เขา และทางญาติผู้ใหญ่ทางพ่อเขาก็โอเค เพราะตอนแรกที่เขารับไม่ได้เพราะเขาคิดว่าเราค้ายา เพราะเห็นว่าเราไม่ทำอะไร แต่จริงๆ แล้วงานของผมคืองานบนโลกโซเชียล งานรีวิวสินค้า งานโฆษณาสินค้าออนไลน์ ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ออกไปไหน อยู่กับบ้านแล้วก็โพสต์โฆษณาสินค้า แต่เมื่อได้คุยได้บอกเขาแล้วเขาก็โอเค แล้วก็บอกว่าตอนแรกที่พูดไม่ดีเขาขอโทษด้วย

ช่วงที่ตัดสินใจว่าจะมีภรรยาที่เด็กกว่ามาก เรารู้สึกต้องรับผิดชอบเยอะไหม?

รับผิดชอบเยอะมาก มันตื้นตันใจนะ จริงๆ ชีวิตแต่งงานผมเนี่ยผมแต่งมารอบนึงแล้ว รอบนั้นมันเป็นวัยเรียน เราแต่งก็แต่งวะเพราะไม่เคยแต่งงานมันตื่นเต้น แต่ว่ารอบนี้ที่เราแต่งคือเรารู้สึกว่าเราทำขึ้นมาเอง เราหาเงินทุกบาททุกสตางค์เอง เราจัดงานเอง ไม่มีออแกไนซ์ ไม่มีอะไรสักอย่าง เราทำของเราเองหมดเลย แล้วที่สำคัญเราทำให้สังคมเขารู้ว่า เวลาที่เราจะมีเมียเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 เนี่ย แต่งงานก็แต่งได้แต่สังคมจะมองว่ามันไม่ใช่ ผมโดนด่าแรงๆ เยอะ ทุกวันนี้ก็ยังมีนะด่าเราไอ้หน้าลายกับเด็กแก่แดด ถามว่าในมุมหนึ่งก็ดี คนยังรู้จักเก่งลายพราง รู้จักไอ้หน้าลาย เป็นการสร้างกระแสให้เรา อย่างน้อยมีคนรักเราหมื่นคนมีคนเกลียดเราร้อยคนก็พอแล้ว

บอกได้ไหมว่ามีวิธีการดูแลซึ่งกันและกันยังไง?

จริงๆ แล้วตั้งแต่คบมาแล้วแต่งงานกันเราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมเลย ต่างคนต่างรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองเยอะขึ้น กระแสดีเข้ามาเยอะ ต่างคนต่างไม่ค่อยจะมีเวลาให้กัน แต่จะใช้วิธีการคุยกันทางโทรศัพท์ อย่างเรามาทำงานเราก็ปล่อยเขาอยู่กับบ้านบ้าง อยู่กับเพื่อนบ้าง แต่ไม่ได้ปล่อยให้อยู่กับเพื่อนทุกวันเพราะบางทีเวลาเขาอยู่กับเพื่อนเราก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ยังไง แต่อยู่กับเราเราพาเขาไปในทางที่ดีแน่นอน

ด้วยวัยที่ห่างกัน น้องเขาก็ยังวัยรุ่น เรามีวิธีบาลานซ์ชีวิตยังไง?

ช่วงหลังๆ ก่อนจะเจอน้องเขา เราก็มีแฟนเด็กมา 3-4 คน เราเข้าใจเลยว่าเขาต้องการอะไรยังไง เมื่อมาเจอคนคนนี้เรารู้สึกว่าผ่านมาเยอะแล้วนะอายุจะ 40 แล้ว แล้วพออยู่กับน้องคนนี้กระแสมันดีที่สุด คือถ้าเราคบกับน้องเขาต่อไปเรื่อยๆ งานเข้ามาแน่นอน นั่นหมายความว่าเราสร้างฐานะได้เราเลยคิดว่าเมื่อเจอน้องคนนี้แล้วเราต้องหยุด ไม่ว่าจะเถียงกันยังไงทะเลาะกันยังไง จะบอกเลิกกันยังไง สุดท้ายเราก็ต้องยอมขอโทษ เราต้องเบาลงเอง คือถ้าเขาแรง เก็บข้าวของจะไปจากเรา ท้ายสุดเราก็ต้องยอมเขา ขอโทษเขา คือด้วยความแรงของวัยเด็กเขาไปแน่ๆ แต่ถามว่าอยู่ได้ไหมเราก็อยู่ได้ แต่ถ้าต้องไปเริ่มกับแฟนคนใหม่ คนจะมาจ้างเรารีวิวสินค้าแบบนี้ไหม แล้วอีกหน่อยวัย 60 เขาคงจะไม่จ้างเรารีวิวสินค้าแล้ว แล้วการที่มีแฟนคนนี้เราต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างช่วยกันก็ถือว่าโอเค

คือเราไม่ได้มองแค่ความรักอย่างเดียว เรามองเรื่องความอยู่รอดของคู่เราด้วย เมื่อก่อนเคยคิดว่าเรารักใครเราเป็นผู้ชายเราต้องหาเลี้ยงผู้หญิง ประกอบกับหน้าตาเราเป็นอย่างนี้เราทำได้แค่นี้ก็คือว่าสุดยอดแล้ว แต่การที่เราจะเป็นครอบครัวจริงๆ เราต้องช่วยกัน อย่างน้อยเราต้องช่วยทำงานบ้านไม่ใช่นอนอย่างเดียว อย่างแฟนที่ผ่านมาส่วนมากจะชอบพักผ่อนเยอะ ไม่ค่อยชอบทำอะไร ตัวผมจะเป็นคนทำเอง เพราะเราถือคติว่าถ้าจะเอาเขามาอยู่ด้วยเราต้องเป็นคนสร้างครอบครัว แต่เมื่อวัยผ่านความคิดมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากที่เราเคยคิดว่าต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องเป็นผู้นำครอบครัว เราต้องสร้างของเรา เมียนอนอย่างเดียวมันไม่ใช่แล้ว เราเปลี่ยนไปแล้ว อย่างน้อยเธอต้องทำงานบ้านบ้างนะ ช่วยกันทำมาหากิน

ถามจริงๆ ราชสีห์อย่างเรากลัวเมียไหม?

ไม่กลัวนะแต่เกรงใจ เกรงใจในความที่เขาเป็นคนดี เป็นคนดีในที่นี้หมายความว่าที่อยู่ด้วยกันมานี่เขาไม่เคยทำให้เราระแวงเรื่องผู้ชาย อาจจะดื้อบ้างแต่เอาอยู่ เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตครอบครัวจริงๆ อย่างเวลาที่เขาโกรธถึงแม้เราไม่ผิด เราก็ต้องบอกว่าขอโทษนะ (ไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีเหรอ?) ไม่ครับ ชีวิตคู่มันไม่มีคำว่าศักดิ์ศรีครับ

คุณมองผู้ชายสมัยนี้ยังไง?

ผู้ชายสมัยนี้มันมีความเจ้าชู้อยู่ในตัว อย่างผมนี่มีความเจ้าชู้มากเลเวลระดับ 9 เต็ม 10 แต่เรามีภรรยาอยู่แล้วก็เป็นคนที่สำคัญที่สุด แต่ผู้หญิงเขาจะคิดไม่เหมือนกัน คือเมื่อเขาเป็นที่หนึ่งแล้วคนอื่นก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาแซม ผู้หญิงคิดแบบนี้นะ เราจะบอกตรงนี้เลยว่าชีวิตการแต่งงานมันเปลี่ยนเราจริงๆ เมื่อก่อนแฟนไม่เคยดูโทรศัพท์ ไม่เคยบ่นเรื่องกินเหล้า ไม่เคยบ่นเรื่องเที่ยวเลานจ์ พอแต่งงานปุ๊บมาเลย ถามเราตลอดว่าอยู่ไหน วิดีโอคุยกันตลอด จริงๆ อยากจะเลิกใช้ไอโฟนเลยนะอยากจะไปใช้โทรศัพท์ไม่มีกล้องแทน แต่ถ้าเราคิดจะสร้างครอบครัวกับเขาจริงๆ มันเป็นแบบนี้เลยนะ เราก็ต้องซื่อสัตย์ ไอ้เรื่องนอกลู่นอกทางต้องพลิกแพลงเอา

คุณมีความโรแมนติกในชีวิตคู่ไหม?

ก็มีเหมือนกันนิดๆ หน่อยๆ แต่แฟนมักจะมองว่าเราเฉยๆ เพราะความโรแมนติกของเราเป็นแบบคนแก่ซึ่งเด็กๆ เขาอาจจะไม่รู้หรือเปล่า อย่างเช่นก่อนจะไปทำงานเราจะแอบหอมแก้มเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว วันเกิดเราก็มีของขวัญมีตุ๊กตาให้นะ วันธรรมดาเราก็โพสต์สิ่งดีๆ ต่อกัน

ตั้งเป้าอนาคตว่าจะมีลูกไหม?

ความจริงปล่อยให้มีมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าไม่มีสักที อย่างผมก็มีลูกกับแฟนคนแรกนะ ตอนนี้อายุ 15-16 โตเป็นสาวแล้ว แต่เราไม่ได้มีโอกาสที่จะเลี้ยงเขาดูแลเขาตั้งแต่เด็กๆ ความผูกพันเลยน้อย ตอนนี้เขาโตแล้ว มีแฟน ถามว่าเรามีอารมณ์ของความเป็นพ่อไหม? มันมีแน่นอน ซึ่งถ้าผู้ชายที่เขาคบจะสักเต็มหน้าเหมือนเราเราก็ไม่ว่า แต่ขอให้ดูแลลูกสาวเราดีๆ ไม่ใช่ว่าไปทะเลาะตบตีกัน ไปเสพยากัน เราไม่ชอบ อยากให้เขาคิดตั้งแต่วันนี้ดีกว่าที่จะคิดได้ตอนติดคุก อย่างเรามีเมียเด็กก็เช่นกัน เมื่อพ่อแม่เขาปล่อยให้มาอยู่กับเรา เราต้องดูแลเขาให้ดีเช่นกัน

เคยร้องไห้กับความรักไหม?

เยอะครับ (หัวเราะ) ย้อนกลับไปก่อนที่จะคบกับแฟนคนนี้ เมื่อตอนผมออกจากคุกซึ่งติดมา 9 ปี ชีวิตมันเคว้งคว้างมาก กว่าจะลงตัวได้ก็ปีสองปีที่เรากล้าเดินตอนกลางวัน กล้าสบตาคนอื่น กล้าจะไปเดินห้างเดินตลาดนัด คนจะมองยังไงไม่แคร์เพราะเราเริ่มหากินได้ เริ่มมีเงิน กูเผชิญโลกได้แล้ว คือชีวิตผมตั้งแต่อายุ17ไม่เคยขอเงินพ่อแม่ ผมใช้ชีวิตเองไม่ว่าจะทำงานอยู่โรงแรมทำงานเด็กเสิร์ฟ ก่อสร้าง บาร์น้ำ ช่างไฟ ผมทำงานทุกอย่าง ทำมาจนไปติดคุก เมื่อออกมาแล้วแม่ก็บอกว่าให้อยู่บ้านไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวแม่เอาข้าวมาให้ที่ห้อง คือแม่ก็สงสารไงว่าคนอื่นจะมองตัวเรายังไง แต่เรากลัวที่คนจะมาว่าแม่เรามากกว่า เราเลยไปอยู่กับเพื่อนวันๆ กินเหล้าเที่ยวตื่นเช้าๆ มาก็ล้างขี้หมาที่เพื่อนเลี้ยงไว้ ตอนนั้นมีแฟนแล้ว อยู่กับแฟนด้วย เพื่อนมันก็ถามว่าอยากทำงานอะไรมันจะลงทุนให้ เราอยากทำร้านสักมันก็ลงทุนให้ แต่พอทำขึ้นมาจริงๆ มันก็สู้เขาไม่ได้ เพราะมันไม่เหมือนงานสักข้างนอก เราเป็นงานข้างใน (คุก) สักมังกรได้ สักปลาได้ สักไม้เลื้อยได้ มันก็ไปกับเขาไม่ได้ ต่อมามีคนมาแนะนำให้เราเป็นดีเจเพราะเห็นว่าเป็นคนพูดเก่ง แล้วตอนนั้นมันมีม็อบผมก็ออกมาพูดเรื่องม็อบผ่านโซเชียลเลยว่าทำไมต้องปิดถนน ชาวบ้านเขาเดือดร้อนไปทำงานกันไม่ได้ หลังจากนั้นมาก็มีอีกคลิปคือด่าอีโรสที่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เราไม่ชอบ เพราะท่านจะเมตตานักโทษข้างในประจำ คนข้างในจะรอวันสำคัญๆ ต่างๆ เพื่อจะได้ลดหย่อนผ่อนโทษ เราก็ตั้งใจเลยว่าเมื่อผิดพลาดไปแล้วและกลับไปสู่โลกภายนอกได้เราจะไม่ทำผิดอีก เราพูดแบบนี้ตลอด เราจะทำให้สังคมเห็นว่าคนที่มีลายสักไม่ใช่คนเลวเสมอไป

อยู่กับเพื่อนระยะหนึ่งเราก็ออกมาอยู่บ้านเมีย ซึ่งตลอดนั้นเพื่อนจะด่าตลอดว่าทำไมมึงหาเมียแบบนี้ ไม่หาเมียที่มันทำงานบ้านบ้าง แต่เราคิดว่าอยากจะรับผิดชอบเขาทุกอย่าง แม้แต่กางเกงในยังซักให้เลย เมื่อมาอยู่บ้านเขาปุ๊บ ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็หนัก คือคนในซอยเขาพ่อแม่เขาจะมองเราในแง่ลบหมด ย้ายไปไม่กี่วันตำรวจลงบ้านแล้ว อันนี้เรื่องจริงนะ สารวัตรเขาถามว่าทำงานอะไร เราก็ไปขนครีมทุกอย่างมาให้ดู เราบอกว่าเรารีวิวครีม
เราเหมือนทำงานอยู่คนเดียวตลอด ทำไปเรื่อยๆ ดูแลเมียเรื่อยๆ แต่ว่ามันก็มีเหตุการณ์ที่เมียโพสต์เฟซด่าว่าเราแรงๆ จนเราทนไม่ไหว เอาผ้าปูที่นอนห่อเสื้อผ้าใส่ท้ายรถออกมาจากบ้านเขาเลย ตอนนั้นร้องไห้เสียใจมาก เราหนีมาอยู่คอนโดคนเดียวจนมาพบกับแฟนคนปัจจุบัน ชีวิตผมถามว่าคุ้มไหมที่มาอยู่ตรงนี้ มันคุ้ม มันภูมิใจนะ แต่แค่ 80% เพราะยังไม่หลุดบ้านไม่หลุดรถ

อยากฝากอะไรถึงคนที่มีภรรยาเด็กบ้าง?

จริงๆ แล้วการที่จะมีชีวิตคู่ที่วัยต่างกันนั้น บางคนมีแฟนเป็นผู้ชายแก่ บางคนมีแฟนเป็นผู้หญิงแก่ที่มีแฟนเป็นผู้หญิงแก่จะดูดีกว่า แต่คนที่มีแฟนเป็นผู้ชายแก่สังคมจะมองไม่ดี เขามองต่างมุมกัน แต่ไม่ว่าจะมองต่างมุมจากมุมของใครก็แล้วแต่ขอให้ยึดหลักอย่างเดียวคือ เวลาเรารักใครแล้วเรื่องวัยเรื่องบรรลุนิติภาวะหรือเปล่ามันไม่ได้เป็นจุดสำคัญ เราสามารถเปลี่ยนได้ แต่ไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ผิด สมมุติเรารับเขามาตอนที่อายุ 16 เราแต่งงานกันตอนที่เขาอยู่ในวัยเรียน เราก็ต้องส่งเสียให้เขาเรียน อย่าด้อยกว่าที่พ่อแม่เขาส่งเสีย สังคมมักมองผมว่าทำไมไปตัดอนาคตน้องเขา ซึ่งไม่ใช่ และเราต้องสร้างอนาคตให้เขาด้วย ส่งเสริมซึ่งกันและกันในชีวิตคู่

สำหรับน้องๆ ที่ชอบลายสัก อยากฝากอะไรถึงพวกเขา?

สำหรับคนที่อยากจะสักก็สักได้ในร่มผ้าถ้ายังคิดว่าทำงานอยู่ หรือถ้าตั้งเป้ากับอนาคตราชการไว้ก็อย่าเพิ่งสัก เข้าไปแล้วค่อยสักก็ได้ แต่ใครที่อยากสักเต็มหน้าเต็มตัวเต็มแขนก็สักได้แต่งานตรงนั้นมันต้องเหมาะกับเรา จริงๆ คนสักหรือไม่สักมันไม่ได้แย่สำหรับเรานะ แต่สังคมไทยตั้งแต่นานมาแล้วมักจะมองว่าคนสักเป็นคนไม่ดี แต่สักแล้วถ้าเราเป็นคนดีจริง เราต้องโชว์ความดีให้สังคมเห็น
เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์