เก็ทสึโนวา : ป๊อปร็อกไทยไปอินเตอร์


วงดนตรีแนวใหม่ที่สร้างปรากฏการณ์เพลงที่มียอดดาวน์โหลดและยอดวิวสูงที่สุดในยูทูบ แรงข้ามปีจากเพลงฮิตติดชาร์ต “ไกลแค่ไหนคือใกล้” จากวง Getsunova “เก็ทสึโนวา” แห่งค่าย Duckbar ประกอบด้วยสมาชิก เนม-ปราการ ไรวา (ร้องนำ), นต-ปณต คุณประเสริฐ (กีตาร์ และซินทิไซเซอร์), นาฑี-นาฑี โอสถานุเคราะห์ (กีตาร์) และไปป์-คมฆเดช แสงวัฒนาโรจน์ (มือกลอง) 4 หนุ่มหล่อมีสไตล์ ต่างคนต่างที่มาแต่มาลงเอยด้วยความรักในเสียงดนตรีเหมือนกัน

“…ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค หากปลายทางคือความฝันที่เรามีร่วมกัน…”
นี่เป็นมุมมองในการทำงานของกลุ่มคนดนตรีที่มีใจรักในเสียงเพลง ถึงแม้สมาชิกในวงจะอยู่กันคนละที่ คนละประเทศ แต่พวกเขา getsunova ก็ตั้งใจทำงานด้วยความมุ่งมั่นจนมีเพลงดีๆ ฝากเป็นผลงานไว้ให้เราฟัง “ไกลแค่ไหนคือใกล้” เพลงช้าความหมายดีๆ สำหรับคนอยากใกล้ จากวงดนตรีทางเลือกใหม่วงนี้ getsunova วันนี้ทั้ง 4 หนุ่ม ได้มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดในฐานะของนักดนตรีเลือดใหม่ ที่พวกเค้าได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า ไม่ได้มีดีที่เป็นไฮโซ แต่เป็นไฮโซที่มีความสามารถ
จากผลงานเพลง “ไกลแค่ไหนคือใกล้” เริ่มต้นมาจากอะไร?
นต : จริงๆ แล้วคนเพิ่งมารู้จักเก็ทสึโนวา หลังจากที่ปล่อยเพลงนี้ เราได้ทำเพลงมา 6-7 ปีแล้ว 6 ซิงเกิล เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 7 ของเรา เป็นเพลงที่เพิ่งจะได้รับความนิยม ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น ดีใจ พร้อมแปลกใจด้วยครับ เพราะเราค่อนข้างชินกับการปล่อยเพลงออกมาแล้วกราฟมันจะนิ่งๆ เพลงนี้มียอดวิวค่อนข้างสูงมาก มียอดดาวน์โหลดจาก iTune เยอะ และในเฟซบุ๊กก็มีคนแชร์กันเยอะ

เก็ทสึโนวา หมายถึงอะไร มีที่มาที่ไปยังไง?
นต : เป็นคำที่สร้างขึ้นใหม่ครับ “เก็ทสึ” มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “พระจันทร์” “โนวา” แปลว่า “ระเบิด” รวมกันแปลว่า “พระจันทร์ระเบิด” แต่จริงๆ ความหมายก็ไม่ได้รู้ตั้งแต่แรกมีคนมาตีความให้ทีหลัง เป็นคำที่พี่เนมเค้าคิดขึ้นมาทีหลัง ซึ่งจริงๆ มันก็ดีครับไม่ซ้ำกับใคร ไม่เหมือนใครดี

ในการทำงานเพลงของเก็ทสึโนวามีแรงบันดาลใจมาจากอะไรบ้าง?
ไปป์ : แรงบันดาลใจมันน่าจะเริ่มมาจากความฝันตั้งแต่เด็ก ชอบฟังเพลงก็ต้องมีวงที่ชอบ มีไอดอล ก็เลยเอามาเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองในการทำงาน

แนวเพลงของเก็ทสึโนวาเป็นเพลงแนวไหน?
เนม : จริงๆ แล้วเป็นแนวป็อปร็อก เป็นป็อปที่มีความผสมผสานในดนตรีเยอะ คือเราจะใช้เครื่องดนตรีแปลกๆ อย่างในเพลงไกลแค่ไหนคือใกล้ เราจะมีเครื่องสายชนิดหนึ่งชื่อว่า “ออโต้ฮาร์ฟ” ซึ่งมันคล้ายๆ พิณแต่ก็ไม่ใช่พิณซะทีเดียว เป็นเครื่องดนตรีของฝรั่ง คล้ายๆ กีตาร์มีคอร์ด คือเราพยายามหาสิ่งใหม่ๆ มาใส่ในดนตรีป็อป ที่อาจจะดูเรียบง่ายแต่จริงๆ แล้วมันมีความพิเศษของดนตรีซ่อนอยู่

เก็ทสึโนวา รวมตัวกันมานานรึยัง?
นต : ก็อย่างที่บอกคือเราทำเพลงกันมา 6-7 ปีแล้ว พวกเราเรียนคนละที่กันครับ นตกับพี่เนมจะเรียนอยู่ที่อังกฤษ แต่อยู่คนละจังหวัดกัน อย่างนาฑีก็จะไปเรียนที่อเมริกา ไปป์เองก็เรียนที่เมืองไทย

อยากให้พูดถึงความฝันในวัยเด็กของแต่ละคนว่าอยากเป็นอะไรบ้าง?
นต : คือส่วนใหญ่ก็จะฝันคล้ายๆ กันคืออยากเป็นนักร้อง นักดนตรี กันตั้งแต่เด็กๆ เล่นดนตรีกันมาเรื่อยๆ พอโอกาสเข้ามาก็รีบคว้าไว้

ถ้าไม่ได้ทำเพลงแนวนี้ แต่ละคนอยากทำเพลงแนวไหนกันบ้าง?
ไปป์ : ตอนนี้ที่อินๆ ก็อยากจะทำอิเล็กโทรดัฟสเต็ป ผมเป็นคนฟังเพลงร็อกเยอะ เลยจะชอบเพลงแนวนี้
เนม : ผมอยากทำอัลเทอร์เนทีฟ กับ ร็อกแอนด์โรล ครับ ตามอย่างไอดอล พี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก
นต : ของผมคงเป็นคลาสิเคิล แล้วกันครับ
นาฑี : ผมเป็นอัลเทอร์เนทีฟครับ
เก็ทสึโนวาเกิดจากการรวมตัวกันของคนอิสระ มันแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนระหว่างการทำงานอิสระกับการมีค่ายมาคอยดูแล
นต : จริงๆ พวกเราอยู่ในค่ายมานานแล้ว ปีนี้ปีที่ 5 แต่ก่อนตอนอยู่สนามหลวงเรามีอิสระกว้างมาก ทำอะไรก็ได้ แต่พอมาอยู่ Duckbar มันก็เริ่มเข้มขึ้น คือเรายังต้องคิดทุกอยางทุกเพลงเองเหมือนเดิม ท่อนฮุกก็คิดเองแต่อาจจะโดนจัดระเบียบมากขึ้น

การทำงานเปลี่ยนแปลงไปบ้างมั้ยหลังจากที่มีค่ายมาคอยดูแล?
นต : มันก็ยากขึ้น มีโจทย์ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ มีค่ายมาคอยตั้งโจทย์ มาคอยเคาะ แต่ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้ง่ายอยู่แล้ว ทำตามใจได้แต่ทำได้ในระดับหนึ่ง สุดท้ายมันก็ต้องถูกเคาะอยู่ดี เพราะเหมือนเราไม่ได้เป็นศิลปินที่ทำเพลงแล้วก็ออกเอง มันเหมือนเป็นการลงทุนร่วมกับค่าย เราก็ลงทุนเรื่องแรงค่ายก็ลงทุนเรื่องเงิน เพราะฉะนั้นมันคือสิ่งที่ 2 ฝั่งตกลงกันหาตรงกลางว่าเราจะเจอกันตรงไหน

สำหรับคนทั่วไปถ้าจะรักเก็ทสึโนวาจะรักในมุมไหนได้บ้าง?
เนม : น่าจะรักในมุมที่เราเป็นวงที่ค่อนข้างแตกต่างจากวงอื่น ไม่ว่าจะในเรื่องการแต่งตัว content ในเพลง การนำเสนอ เครื่องดนตรีที่ใช้ หรือจะเป็นเสียงร้อง มันจะมีความแตกต่างจากวงทั่วไป มันน่าจะเป็นความแตกต่างที่น่าสนใจพอที่จะทำให้ทุกๆ คนรัก เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนกลุ่มใหญ่ละกัน เราไม่ใช่วงไทยจ๋า แต่เราเป็นวงไทยที่นำเสนอสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่ได้ถูกใช้เยอะในวงการเพลงบ้านเรา จากสิ่งที่เราได้ไปเก็บเกี่ยวจากเมืองนอกมา เอามาใส่ในเพลงของเราให้น่าสนใจมากขึ้น

ในยุคนี้อยากให้ช่วยมองปรากฎการณ์แบบซิงเกิล (single) ในสายตาของคนทำเพลงรุ่นใหม่ ว่ามันจะมีทิศทางไปยังไงบ้างกับการปล่อยซิงเกิลแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันจะหวนกลับไปสู่การทำอัลบั้มได้มั้ยเหมือนยุคพี่เบิร์ด อัสนี-วสันต์
นต : ผมว่าเดี๋ยวนี้วงแต่ละวงจะดังได้คงเพราะซิงเกิลมากกว่า ไม่ใช่การทำอัลบั้มแล้ว แต่ว่าสุดท้ายตอนจบมันก็ต้องมีการทำอัลบั้มอยู่ดี ทุกวันนี้คนก็ยังถามหาอัลบั้มอยู่ เริ่มจากการถามหาเพลงต่อไป เพลงที่ 4 ที่ 5 ไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องไปรวมเป็นอัลบั้ม มันเหมือนเป็นไปตามกระบวนการ ซิงเกิลคงเป็นตัวที่บ่งบอกตัวตนของวงมากกว่าอัลบั้ม แต่ก่อนอาจจะเป็นอัลบั้มที่บอกความเป็นวง ซึ่งผมว่าอัลบั้มมันยังอยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ ของคนนะจริงๆ แล้ว

คิดว่าเราได้ประโยชน์อะไรมากที่สุดจากการที่มันค่อยๆ รีลีส (release) ทีละซิงเกิล
นต : ถ้าเรารีลีสออกไปทีเดียวมันก็หมดมุก ถ้ามันไม่ดีเราก็ไม่มีทางแก้ไข แต่ถ้าเราค่อยๆ ปล่อยออกไป ถ้ามันไม่เวิร์กเราก็มีเวลามาทบทวนทำเพลงต่อไปให้มันดีขึ้น มันเหมือนมีเวลาคิดมากขึ้นถ้าปล่อยไปทีละเพลง แต่ตอนนี้เราค่อยๆ ทำค่อยๆ ทบทวนสิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิด แล้วก็มาดูว่าเราจะจัดการอย่างไรต่อไป
แต่ละคนวัดความสำเร็จของตัวเองจากอะไร เอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของเรา?
นต : ถ้าพูดถึงในด้านเพลง ผมเคยคิดว่า อยากให้วงเรามีเพลงที่ประสบความสำเร็จสักเพลงหนึ่ง แล้วตอนนี้ผมคิดว่ามันสำเร็จแล้ว และถ้าถามว่าวัดยังไงว่าเพลงมันดังแล้ว คือ เราไปเล่นแล้วคนดูรู้จัก ไม่อายเค้าว่ามันเล่นเพลงอะไร นั่นคือตัวชี้วัดความสำเร็จอันนึงที่ผมคิดเอาไว้ แล้ววันนี้มันก็สำเร็จแล้ว
ไปป์ : จริงๆ แล้วสำหรับผมมันก็คล้ายๆ กับนตครับ มันดูที่ฟีดแบ็กหลายๆ ด้าน ดูจากยอดวิว ยอดดาวน์โหลด หรือเวลาที่เราออกไปเล่นดนตรีก็มีคนมาดู ร้องตามได้ ตั้งใจมาดูพวกเราจริงๆ ไม่ได้มาเที่ยว
นต : ในงานแบบนี้มันไม่ได้วัดความสำเร็จกันที่เงินหรอกมันวัดกันที่ฟีดแบ็ก คนที่รักเรา ความสำเร็จของนักดนตรีมันคือการที่มีคนชอบ คนรัก รักเพลงของเรา มันก็ถือว่าสำเร็จแล้ว จำนวนคนที่ชอบก็ไม่ต้องเยอะมากแค่มีคนชอบถึงจะเป็นกลุ่มเล็กๆ มันก็สำเร็จแล้ว

จากที่เพลงไกลแค่ไหนคือใกล้ประสบความสำเร็จอย่างมากมียอดดาวน์โหลดสูง เราได้ค่าตอบแทนจากการดาวน์โหลดเหล่านั้นมั้ย?
ไปป์ : ยอดดาวน์โหลดไม่เกี่ยวกันครับ คนละส่วนกัน ศิลปินจะได้เงินจากการเล่นดนตรีมากกว่า

การที่เราได้มาเป็นศิลปินเล่นดนตรี ผลตอบแทนมันได้คุ้มจากที่เราลงทุนกันไปตั้งแต่ตอนแรกมั้ย
นต : ถ้าเป็นผมผมว่าคุ้มนะ เพราะผมรู้สึกว่าการเล่นดนตรีถ้าประสบความสำเร็จถึงจุดจุดนึง เราทำงานซาวนด์เช็ก 2 ชม. เล่นดนตรี 1 ชม. เดินทางอีก 2 ชม. รวมแล้วเราทำงาน 5 ชม./วัน แต่เราได้เงินมากกว่าคนที่ทำงาน 8 ชม. แล้วก็ต้องเดินทางด้วย ผมว่าคุ้ม

การเป็นศิลปินเล่นดนตรี ถือเป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงชีพได้มั้ย
นต : ถ้าเลี้ยงชีวิตไม่คุ้มครับ เลี้ยงตัวเองคนเดียวก็ไม่คุ้ม เพราะว่าการเป็นศิลปินเราไม่รู้ว่าวันไหนจะดังวันไหนจะดับ วันนี้มีงาน อีกสองเดือนยังมีงาน แต่อีก 6 เดือนจะมีงานอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้ามันมั่นคงมันก็อาจจะเลี้ยงตัวเองได้ มันไม่มั่นคงมากกว่า
แล้วอะไรที่มันดึงเราไว้ ทำให้เรายังอยู่กับมัน?
เนม : คงเป็นความรักในดนตรี ความฝัน แล้วก็แฟนเพลงทุกคนครับ เพราะถ้าไม่มีแฟนเพลงก็คงไม่มีเราวันนี้

ซิงเกิลต่อไปวางแผนว่าจะออกวันไหน
นต : ตอนนี้เรามีซิงเกิลพิเศษ เป็นการเอาเพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้ มาทำอีกรอบเป็น special version เพราะว่าเพลงนี้มีคน cover ในยูทูบค่อนข้างเยอะ เราก็เลยรู้สึกว่า ไกลแค่ไหนคือใกล้ มันเป็นคนที่รู้สึกว่าเหงา เราก็เลยให้โจทย์ไปว่ามีใครอยากจะใกล้กับเรารึเปล่า พอมีคน cover มาเยอะก็เลยกลายเป็นคำตอบว่า เค้าชอบนะ เค้าอยากใกล้กับเรา เค้าฟังเพลงของเรา พวกเราก็เลยรวบรวมคนเหล่านี้มาร่วมร้องใหม่ เราได้ใกล้กันแล้วนะ ไม่ใช่แค่คนที่ cover เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ อยากบอกว่าเราดีใจนะที่ทุกคนให้ความสนใจ
อีกอันก็จะเป็นซิงเกิลพิเศษ ชื่อเพลงว่า “ความมืดสีขาว” เป็นเพลงที่ทำขึ้นมาเพื่อประกอบซีรีส์จากอเมริกา ชื่อว่า “Arrow” เป็นตัวการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ที่ค่อนข้างจะดัง แล้วตอนนี้ซีรีส์ก็ดังอยู่ที่อเมริกา

ทำไมเก็ทสึโนวาถึงได้รับเลือกให้ทำเพลงประกอบซีรีส์ Arrow?
ไปป์ : ทางเค้าครับเลือกมา เหมือนกับว่าเค้าดูจากยอดยูทูบ ยอดดาวน์โหลดใน iTunes เลยตัดสินใจเลือก
นต : ซึ่งเพลงนี้จริงๆ เป็นเพลงเก่าของเรานะครับ ชื่อว่าเพลง “ดอกไม้ปลอม” แล้วเราได้ทำดนตรี ทำนอง มาร้องใหม่ ใส่เนื้อร้องเข้าไปใหม่ โดยเนื้อร้องก็จะเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่ ความยุติธรรม การต่อสู้ครับ.

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE