เปลือยใจ..ผู้ชายแปดแพ็ก 'อาร์ต-พศุตม์' เขาคือฝันหวานของสาวๆ?

คงไม่มีใครไม่รู้จัก “อาร์ต-พศุตม์ บานแย้ม” ดาราหนุ่มหล่อล่ำที่เป็นทั้งขวัญใจและฝันร้าย (?) ของสาวแท้สาวเทียมทั่วประเทศไปพร้อมๆ กัน ไม่เว้นกระทั่งชายหนุ่มเอง…ก็ยังต้องแอบอิจฉา และยกให้เขาเป็นเอกบุรุษเหนือชายทั้งปวงชนิดไม่เป็นสองรองใคร

นั่นก็เพราะ 'ความเป็นชาย' ในทุกองศาสัดส่วนที่ถูกแสดงออกมา ผ่านเรือนร่าง หน้าตา และท่าทางจากข่าวคราวและผลงานการแสดง

เรามักมองคนที่เปลือกผิว? ก็ใช่
แต่คนมักสร้างมายาภาพให้เราหลง…ก็จริงอีก
การจะเข้าใจใครสักคนแบบทะลุปรุโปร่ง คงไม่ใช่การนั่งมโน หรือคิดไปเอง
แน่นอน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การเดินเข้าไปหาเขา คุยกับเขา หรือกระทั่งคบกับเขา
อาร์ต-พศุตม์ พร้อมแล้วที่จะเปิดใจกับเรา แบบถอดเปลือก…

ก็แค่ผู้ชาย “แปดแพ็ก”

ช่วงหลังๆ มานี้ มิอาจปฏิเสธได้ว่า ชื่อของ “อาร์ต พศุตม์” คือหนึ่งในลิสต์นักแสดงชายที่โด่งดังและมาแรงคนหนึ่งของวงการ เพราะนอกจากฝีไม้ลายมือและความสามารถอันเป็นที่ประจักษ์ในบทพระเอกละครหลายๆ เรื่อง อีกสิ่งหนึ่งซึ่งเห็นจะเป็นผลพวงส่งให้ใครต่อใครเรียกหาพระเอกผู้นี้ ก็คือ หุ่นล่ำๆ แมนแอนด์แฮนด์ซัม ที่เจ้าตัวบ่มเพาะมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ วันละแพ็ก สองแพ็ก จนเดี๋ยวนี้ใครๆ ก็อิจฉาเรียกเขาว่า อาร์ต 'แปดแพ็ก”

“จริงๆ ผมเป็นนักกีฬามาตั้งแต่เด็ก เริ่มจากว่ายน้ำ เพราะคุณแม่ว่ายน้ำไม่เป็น เขาก็ไม่อยากให้เราเป็นเหมือนเขา ก็เลยพาเราไปว่าย และอีกอย่างหนึ่งคือที่บ้านคุณพ่อจะชอบให้ออกกำลังกาย เพราะคุณพ่อเป็นคนรักการออกกำลังกาย รักสุขภาพ เราก็เลยเหมือนมีต้นแบบ” อาร์ตบอกกล่าวเล่าย้อนถึงสมัยวัยเด็ก ที่แม้จะเกิดที่กรุงเทพฯ แต่ต้องไปเติบโตที่ต่างจังหวัด การเล่นซุกซนตามประสาเด็กชนบทในสมัยนั้นก็คล้ายๆ กับการออกกำลังกาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นการออกกำลังกายแบบ “เล่นตามประสา” ที่แม้จะได้เหงื่อ ได้เพิ่มความแข็งแรง และรูปร่างที่เพิ่มสูงสมชายชาตรี แต่ “น้ำหนัก” ก็เพิ่มขึ้นร่วมร้อยกิโลกรัมด้วยเช่นกัน

“ตอนนั้นจำได้ว่า อายุประมาณสัก 21-22 ผมหนัก 91 กิโล สูง 180 กว่าก็จริง แต่ใช้คำว่าอ้วนได้เลย คือเราปล่อยตัว แม้ว่าจะออกกำลังบ้างตามวัย แต่มันเป็นช่วงวัยรุ่น ส่วนใหญ่เราก็กินเที่ยวอย่างเดียว

“จนวันหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เข้าฟิตเนสเลยก็คือ ผมไปเห็นโครงการประกวด M Thailand (ปีที่ โฬม-พัชฏะ นามปาน ได้ตำแหน่ง) เราก็รู้สึกว่าอยากลองประกวดบ้าง เพราะเห็นคนอื่นๆ ที่เข้ารอบแล้วมันทำให้คิดว่าเขาดีกว่าเราตรงไหน (หัวเราะ)”

และนับจากนั้นอีก 8 เดือน น้ำหนักกว่า 20 กิโลกรัม ก็ถูกรีดออกจากร่างกาย ผ่านความตั้งใจที่อยากจะดูดี ถูกรีดออกผ่านคำปรามาสของตัวเองที่อยากพิสูจน์ จนมีชื่อติด 1 ใน 20 คนสุดท้าย (ก่อนที่โครงการ Male Star Challenge 2007 จะถูกพับลงก่อนกำหนดเนื่องด้วยเหตุการณ์ไม่สงบของบ้านเมือง) ชื่อของอาร์ต-พศุตม์ ก็ถูกเรียกเข้าเป็นดาราสังกัดช่อง 3
ภาพประกอบจาก instagram Art Pasut Banyam
ถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าใครๆ ที่อยากมีหุ่นเท่ 6 แพ็ก 8 แพ็ก หรือดูดีดูสมาร์ทเหมือนพระเอกหนุ่มคนนี้คงจะรู้ดีแล้วว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” แต่กระนั้น สิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยคือ การตอบโจทย์ตัวเอง ค้นหาแนวทางที่เหมาะ และวินัยที่ต้องมีอย่างสม่ำเสมอ ที่อาร์ตพยายามเน้นย้ำ

“เราต้องตอบโจทย์ตัวเองก่อนว่า เราต้องการอะไรจากการเล่นฟิตเนส อย่างผมเป็นศิลปินดารา นายแบบ ไม่ได้เป็นนักเพาะกาย ไม่จำเป็นต้องลดอาหาร บางคนอาจจะลดอาหารหรือเลือกกิน แต่ผมกินหมด กินแหลก หิวก็กิน เช้า กลางวัน เย็น ไม่มีคุม”

เจ้าของ 8 แพ็ก ตั้งคำถาม ก่อนกล่าวเสริมอีกว่า การเข้าใจในระบบเผาผลาญของตนเอง รู้วิธีการเล่นที่เหมาะสม เรื่องอาหารการกินแทบไม่จำเป็นต้อง 'อด' หลังเวลาเย็นค่ำ หรือ 'เลือก' ไม่ทานจำพวกแป้ง ห้ามกินไข่แดง ฯลฯ อย่างที่ใครเข้าใจ

“หลักการของผมคือ อันดับแรกกินพออิ่มแต่ไม่ถึงขั้นกินจุ และเวลาเล่นเวตจะคำนึงถึงระบบเผาผลาญร่างกาย เล่นท่านี้เผาผลาญเท่าไหร่ การกินผมเท่าไหร่ ผมจะสร้างเมตาบอลิซึม ของผมให้อยู่เหนือการกินขึ้นมาเยอะมาก ผมคำนึงที่สุดคือการกิน เพราะผมเปรียบร่างกายคนเราเหมือนรถยนต์ การกินเหมือนน้ำมัน ไม่มีน้ำมันรถวิ่งไม่ได้ ไม่มีโปรตีนเปลี่ยนเป็นน้ำมันเลยรถก็วิ่งไม่ได้ ดังนั้น รถจะวิ่งได้มันต้องมีครบทุกอย่าง น้ำมันเพาเวอร์ น้ำมันเบรก องค์ประกอบมันต้องครบ ไม่งั้นรถพัง ร่างกายถามว่าโอเคดูดี แต่ในอนาคตร่างกายเรามันก็จะพัง”

“แปลกมั้ย คนไม่ค่อยคิดกัน เวลาใครถามผมแล้วได้คำตอบแบบนี้ เขาก็จะเฮ้ย ทำไมเราไม่คิดถึงแนวทางนี้” อาร์ตว่า

แน่นอนว่านับเป็นวิธีการที่แปลก เมื่อเทียบกับแนวความคิดการเล่นกล้ามฟิตหุ่น เพราะทั้งหมดทั้งมวลรวมไปถึงรูปแบบการออกกำลังกายของเขาคิดขึ้นมาเอง โดยอาศัยวิธีโบราณอย่าง 'ครูพักลักจำ' ทั้งสิ้น

“ไม่เห็นแปลก ไม่เห็นเสียหาย ได้เหมือนกัน ผมไม่มีเทรนเนอร์ เล่นเอง สังเกตคนโน้นคนนี้ ถามเขา ถามเทรนเนอร์ ว่าเล่นท่านี้ได้ส่วนไหน เพราะแต่ละคนมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน เราก็เก็บเอาข้อดีของแต่ละคนมารวมกัน แล้วหาจุดที่เหมาะกับตัวเราให้มากที่สุด

“ยกตัวอย่างผมเป็นคนเล่นเครื่องแมชชีน Dumbbell Fly ไม่ได้ เล่นเท่าไหร่ก็ไม่โดนหน้าอก จะไปโดนแถวหนอก แถวแขน ก็ต้องหาที่เหมาะ เล่นแล้วขึ้น บางคนอาจจะอะไรๆ ก็ดัมเบลล์ ยกดัมเบลล์ตลอด ผมไม่ ผมเอาเชือกมาคล้องร้อยกับแผ่นน้ำหนักแล้วยก

“คือถ้าเรารู้ว่าองศาเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการเล่นเวต รู้ว่าถ้าเล่นตามองศาจะได้กล้ามเนื้อในส่วนที่ต้องการ คุณจะสามารถพลิกแพลงยังไงก็ได้ คุณจะไม่เบื่อ ไม่ซ้ำซาก ที่เขาว่าจุดอันตรายในการเลิกเล่นของใครหลายคน ผมเชื่อว่าถ้าเราหาสิ่งที่เราชอบได้ เรื่องข้ออ้างไม่มีเวลาที่จะเล่น หรือเลิกเล่นไม่มีแน่ๆ ผมไม่เชื่อว่าทุกคนไม่มีเวลาว่าง จริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นต้องแบ่งเล่น 4 วัน อก ไหล่ หลัง ขา เหมือนผมก็ได้ อยู่ว่างๆ ก็ยกตัวเล่น ยกขาเล่น เกร็งหน้าท้อง รู้จักบริหารกล้ามเนื้อ อยู่เฉยๆ ก็เล่นนั่งเกร็งเล่นๆ มันเป็นการออกกำลังกายได้ทุกวัน ผมก็ทำ ที่นั่งอยู่นี้ก็ทำ ไปกองถ่าย เจอนั่งร้านก็ยกดึง หรือไม่ก็เอาเชือกมาเล่น เพราะผมเชื่อว่าเราสามารถออกกำลังกายได้ทุกวัน ทำให้มันเป็นนิสัย มันได้หมด”

ก็แค่ผู้ชาย “รักรถ”

“ไม่เลยๆ ไม่ห่วงหล่อเลย” คือคำตอบแรกเริ่มที่เราถามถึงโลกอีกใบ ที่เสมือนเหรียญอีกด้านของพระเอกหน้าหยก เขาชื่นชอบการขับ “บิ๊กไบค์” ผจญภัยบนสองล้อคันเขื่องที่แสนอันตราย

“ผมเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ที่แปลกกว่าคนอื่น คือกระเป๋าหลังที่นักขับบิ๊กไบค์ทุกคนจะมี ผมเอาไว้พกโฟมล้างหน้า ครีมกันแดด ครีมบำรุง” พระเอกหนุ่มหัวเราะร่าที่ตนเป็นตัวทำให้เพื่อนในกลุ่มบิ๊กไบค์เอาเป็นเยี่ยงอย่าง แวะปั๊มไหนล้างหน้าปั๊มนั้น ก่อนจะเท้าความย้อนถึงสาเหตุที่ทำให้รักและชอบอาชาสองล้อ

“มันเป็นความชอบส่วนตัวตั้งแต่เด็กที่อยากได้มานาน แต่ด้วยความที่ฐานะทางบ้านตอนนั้นค่อนข้างลำบาก คือเวลาเราอยากได้อะไร ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีกำลังเขาก็จะซื้อให้ ซึ่งตอนนั้นมอเตอร์ไซค์เป็นอะไรที่ใหญ่ ใช้เงินเยอะเกินไป เราก็ไม่ได้”

ดังนั้น มอเตอร์ไซค์จึงเป็นไฟแห่งความฝันที่คุกรุ่นอยู่ในห้วงคำนึงมานานแสนนาน จนกระทั่งผ่านไปร่วมสิบกว่าปีหลังจากเข้ามาทำงานวงการบันเทิง ก็ยังไม่มีทีท่าจะดับมอด ซ้ำยังทวีความแรงเหิมดีกรีขึ้นกว่าเก่าก่อน

“อย่างที่บอก มันเป็นปมด้อยตั้งแต่เด็ก (หัวเราะ) อยากมีมอเตอร์ไซค์สวยๆ อยากขี่มอเตอร์ไซค์ มันเป็นสิ่งที่เราฝังใจมา คือตอนนั้นเห็นเพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียน เฮ้ยแม่งเท่ แม่งเจ๋ง ทุกคนแม่งชอบ เราไม่มี ก็ได้แต่ขอยืมเพื่อนขี่ (หัวเราะ)”
“จาก 100-110 cc โตขึ้นมาอีกหน่อยประมาณอายุ 17-18 ก็มีโอกาสลอง Super 4 400 ของรุ่นพี่ เราก็เอามาขับบ่อยมาก รู้สึกได้เลยถึงความแตกต่างจากที่ผ่านมา เรารู้เพราะว่าเคยขับแข่งกลางถนน 110-120 cc ก็แรงแล้ว บิดได้เต็มที่ 120-140/กิโลเมตร ก็สุดๆ แล้ว แต่ช่วงนั้นผมจำได้เลยผมบิด 180/กิโลเมตร มันขึ้นง่ายมาก ไม่ต้องเฆี่ยน ไม่ต้องอะไรเลย”

“ก็รู้สึกว่าเฮ้ย รถอะไรของมันวะ เราก็สงสัยรถอะไร ตั้งแต่นั้นมามันก็กลายมาเป็นความชอบที่เวลาเห็นบิ๊กไบค์ จะต้องเดินเข้าใส่ (หัวเราะ)”

และคันแรกที่ถูกเลือกมาประดับข้างกายก็คือ บิ๊กไบค์สัญชาติญี่ปุ่น 'Honda CB 1300 Super Four'

“ตอนนั้นจริงๆ ไม่ได้ตัดสินใจจะซื้อด้วยซ้ำ คิดว่าซื้อแค่รุ่น 400 ก็พอ เพราะเราคงไม่ได้ขับบ่อย เต็มที่ก็ไปกลับบางแค-สมุทรสาคร แต่ด้วยความที่แม่รู้ว่าเราเป็นคนยังไง คือเราถ้าไม่สุดเดี๋ยวเราก็เปลี่ยน แม่ก็บอกว่าซื้อทั้งทีซื้อตัวใหญ่ไปเลย”
ภาพประกอบจาก instagram Art Pasut Banyam
แต่กระนั้น จะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณหรือเพราะความรักความชอบที่เข้ากันไม่ได้ หนุ่มไทยกับหนุ่มปลาดิบจึงต้องแยกทางกันชนิดสายฟ้าแลบ

“ก็พอมีรถ เพื่อนรุ่นพี่กลุ่มบิ๊กไบค์ที่รู้จักก็มาชวนออกทริป ทริปแรกของเราเลยคือไปหัวหิน เราก็ขับๆ แต่ขับเท่าไหร่ก็ตามพวกเขาไม่ทัน ทั้งๆ ที่ซีซีของเรามากกว่า เราตั้ง 1300 cc แต่ทำไมตามพวก 1000 cc ไม่ทัน เลยไปถามพวกรุ่นพี่ ถึงได้รู้ว่า Naked กับ Sport มันคนละเรื่องกัน คือตอนแรกเราไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ ยังแยกไม่ออกว่าบิ๊กไบค์แบบ Sport คืออะไร เรารู้แต่ว่าท่าขับมันน่าจะเมื่อย เราก็ไม่เอา เพราะจะเอามาขับเล่นๆ”

“ทีแรกก็ไม่เชื่อ ไปพิสูจน์อีกทริปหนึ่ง ก็ไม่ทันเหมือนเดิม” พระเอกหนุ่ม แซมยิ้มแกมหัวเราะให้กับตัวเองในวันนั้น ที่เชื่อมั่นความสามารถและทักษะในการเป็นเด็กแว้นมาก่อน

“เราก็ว่าเราขับฝีมือแล้วนะ เพราะเราแว้นตั้งแต่เด็ก (หัวเราะ) เรื่องเข้าค้งเข้าโค้งก็ถูกตามลาย แต่ก็ตามไม่ทัน ก็เลยไปยืม Suzuki Hayabusa 1400 cc พี่บุ๋ม-ปนัดดา มาลองขับออกทริป กลับมาก็ซื้อบ้างเลย”

ด้วยความเร็วที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลานั้น เจ้า 'จรวดทางเรียบ' ก็ตอบสนองความต้องการได้อย่างสาสมใจ ด้วยตัวเลขเข็มไมล์แตะ 300 กว่ากิโลเมตร

“ชอบมาก ถูกใจมาก เพราะมันตอบเราหมด เราสุดกับมัน แต่ก็ขี่ๆ อยู่ได้ประมาณ 2 ปี รู้สึกว่าอยากwfhอะไรใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เร็วอย่างเดียว ก็เลยเปลี่ยนเป็น BMW S1000RR คันปัจจุบัน”

“ทีนี้ยิ่งรู้เลยว่าใช่กว่า เราไม่ได้ต้องการรถความเร็วสูงขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้เราอยากเน้นการท่องเที่ยว ไม่ได้ขับบ้าระห่ำเหมือนแต่ก่อน แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ S1000 เป็นรถแนวสปอร์ตที่ผมขับแล้วข้อมือไม่ติดตัวถัง ขับแล้วไม่เมื่อย”

6 ปีกับการขี่แบบจริงๆ จังๆ ไม่นับรวมที่รู้จักและคร่ำหวอดในวงการสองล้อตั้งแต่เด็ก เรารู้สึกได้ทุกห้วงจังหวะลมหายใจ ตลอดจนสีหน้าแววตาขณะเล่าประสบการณ์ที่สัมผัสได้ถึงความสุขอย่างแท้จริง

“มันอิสระมาก ผมพูดไม่ถูก…อย่างไปทริปสั้นๆ จะรู้เลย ไปพัทยา ไปหัวหิน ไปบางแสน จะรู้เลยว่า เวลาที่เราขับแทรกระหว่างรถที่จอดติดเนีjย โอ้โห่” พระเอกหนุ่มแซมยิ้มที่เต็มไปด้วยความประทับใจ ก่อนเล่าต่อว่า “รถคันอื่นที่ติดอยู่ข้างหลัง นึกภาพตาม แต่เราแล่นฉิวไปข้างหน้าแล้ว มันเหมือนเราอิสระจากพันธนาการ ถ้าเราขับเก๋งก็เหมือนอยู่ในบ้าน ตากแอร์ ฟังเพลง แต่ไอ้นี่มีลมปะทะ มีแสงแดดสาดใส่เรา มันสนุกดี มันไปเรื่อยๆ ตามใจที่เราต้องการ

“ผมจึงรักรถของผมมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่เราทำขึ้นมาเอง สร้างขึ้นมาเอง ผมรักทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสร้าง ดังนั้น ผมจะขี่แบบระมัดระวัง ไม่ประมาท เล่นได้แต่ต้องอยู่ในที่ทางที่เหมาะสม ผมจะไม่ได้เหมือนคนอื่นเท่าไรที่ชอบแนะให้หัดขับยกล้อ เพราะผมขี่ท่องเที่ยว ผมไม่ได้ขี่แข่งกับใคร”

ก็แค่ผู้ชายธรรมดา ที่ชื่อ “อาร์ต พศุตม์”

หากสุขภาพการออกกำลังกาย และความชื่นชอบในบิ๊กไบค์เปรียบเสมือนโลกหน้าหัวกับก้อย โลกเหรียญตรงกลางที่ว่าเป็นหน้าที่ออกยากสุด คงเป็นดั่ง “ชีวิต” ส่วนตัว ที่เจ้าตัวไม่อยากเปิดเผย แต่กระนั้นก็มิวายถูกนำมาตีไข่ใส่สาร จนเล่าลือถึงความเป็นเพลย์บอย จอมเจ้าชู้ เป็นเสือผู้หญิงตัวยง

“เอาจริงๆ เลยนะ ผมมีข่าวเยอะ แต่ถามว่าข่าวนั้นจริงหรือไม่จริง ผมบอกได้เลยว่าน้อยมากที่เป็นเรื่องจริง” เจ้าของข่าวลือเรื่องเพลย์บอยเผย พร้อมบอกว่า หากเป็นเรื่องจริง ให้มาแสดงตนยืนยันได้เลย ถ้าผิดให้กราบเท้าก็ยอม

“คือเราเป็นคนใจนักเลง ความจริงคือความจริง เรียกมายันได้เลย คุณกล้าปะทะป่าวล่ะ ถ้าเราถึงจุดเรากล้านะ แต่ไม่มีใครมาหรอก เพราะผมอยู่ในที่สว่างไง ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ ถ้าผิดให้เรากราบตีนก็ยอม แต่ถ้าไม่ผิด ไม่ยอมแน่”

“อย่างเรื่องที่ว่าผมเป็นเพลย์บอย โดยส่วนตัวนะ ผมเป็นคนเจ้าชู้ แต่เจ้าชู้ยังไงอ่ะ” อาร์ตย้อนถาม

“คือถ้าในนิยามความเจ้าชู้ของผม เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังแน่นอน อยู่ดีๆ เราไปมองเขา แค่เขาไม่เล่นด้วยมันก็จบแล้ว”

“ฉะนั้น เพลย์บอยคืออะไร เพลย์บอยคือการที่ผู้ชายไปคุยกับสาวๆ การที่ผมรู้จักกับผู้หญิง การที่ผมไปสานสัมพันธ์กับผู้หญิงนี่ไม่ได้เลย นั่นหมายถึงเขาเป็นเสือผู้หญิงแล้วหรือ ผมว่าถ้าอย่างนั้น ผู้ชายทุกคนเป็นหมด ทุกคนเป็นเพลย์บอยกันหมด ไม่ใช่แค่ผม”

“แต่ของเราอาจจะดูมีผู้หญิงเข้ามาพัวพันเยอะกว่าคนอื่นเขาไง” เราถาม

“สำหรับผม ผมคิดว่าน้อยลงไปมากแล้วนะ แต่ก่อนที่ผมจะเข้าวงการ โอ้ย เละเทะครับ คือผมบอกเลยว่าผมไปเที่ยวผับ ผมได้ผู้หญิงกลับมาทุกคืน อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าผมเป็นโคตรเสือเลยเหรอ (หัวเราะ) มันเป็นปกติของวัยรุ่น 17-18 ต้องเที่ยวผับ ต้องหลีหญิง ต้องเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อยๆ มันเป็นอะไรที่ผู้ชายทุกคนกว่า 90% น่าจะเป็น”

“แต่หลังจากเข้าวงการมา ผมก็วางตัวพอสมควร แต่ก็อย่างที่บอกไป ผมเป็นคนอยู่ในที่สว่าง แค่ผมไปนั่งคุยแล้วมีคนถ่ายรูป กลายเป็น “อาร์ตคุยสาว” คนก็จะหาว่าผมไปสานสัมพันธ์ อาจจะเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันก็ได้”

“อีกอย่างหนึ่ง ใช่ว่าเดี๋ยวนี้เราจะเป็นฝ่ายหยอดเขาฝ่ายเดียว เขามาหยอดเราก็มีเยอะ เพราะว่าความเสมอภาคของสองเพศมันเท่ากัน”

ในมุมมองของอาร์ต เรื่อง “เพลย์บอย เสือผู้หญิง และความเจ้าชู้” คงจะไม่แคล้วขึ้นอยู่กับสถานะ มุมมอง หรือการคิดอ่านของแต่ละคน

“ถ้าได้คุยกับผมจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไง จะรู้ว่าผมแม่งเป็นคนที่ไม่ได้ชั่วร้าย ไม่ได้อะไรมากมายเลย ผู้หญิงบางคนยังบอกกับผมด้วยซ้ำว่าไม่เคยเจอคนอย่างผม เพราะเวลาผู้หญิงที่จะมาคบกับผม ผมถามก่อนเลยว่ามีคนที่คุยอยู่ด้วยหรือเปล่า ถ้ามี ถ้าคุณต้องการจะศึกษากันก่อน คุณจะไปกินข้าวกับใคร ผมพูดเลยว่า บอกนะ จบแล้ว ผมแฟร์พอ แต่ถ้าต้องการคบจริงๆ จังๆ ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ เขาก็บอกว่าไม่เคยเจอผู้ชายแบบนี้ เคยเจอแต่แบบห้ามคุยกับคนอื่นนะ ห้ามๆ นั่นโน่นนี่ ทั้งที่ยังไม่ตกลงปลงใจกัน แบบนั้นไม่ใช่ผม”

“ผมทำงานวงการบันเทิง ผมเป็นดาราก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้ใช้โอกาสตรงนี้เพื่อแสวงหา ถามว่าผู้หญิงเข้ามาเยอะมากแค่ไหน เยอะมากๆ ถ้าเปิดตัวเป็นเพลย์บอย รับรองมีเข้ามาทุกวัน โลกกลางคืนผมผ่านมาเยอะแล้ว เข้าผับตั้งแต่อายุ 14 ผมคิดว่าผมโชคดีนะ ที่ผมเกเรมาตั้งแต่เด็ก ไม่งั้นผมก็คงหลงแสงสีในวงการแบบกู่ไม่กลับแล้ว หลงหัวปักหัวปำ กูมีชื่อเสียงแล้ว กูมีเพาเวอร์ เป็นเทพ คนมาขอถ่ายรูป ไม่ใช่…

“ผมเป็นแค่คนซึ่งมีผลงานอย่างที่คุณเห็นในทีวีเท่านั้น ชีวิตผมปกติ ผมเป็นอาร์ตของเพื่อน ไอ้เหี้ยอาร์ตของพี่ เป็นลูกอาร์ตของคุณพ่อคุณแม่ ผมเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้เป็น “อาร์ต พศุตม์” ที่อยู่เหนือใคร แต่ผมเป็นอาร์ตคนที่ทำงานในวงการบันเทิงเท่านั้น”

ภาพประกอบจาก instagram Art Pasut Banyam
ภาพประกอบจาก instagram Art Pasut Banyam
ภาพประกอบจาก instagram Art Pasut Banyam
ภาพประกอบจาก instagram Art Pasut Banyam
เรื่อง: รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ: ปัญญพัฒน์ เข็มราช
อัปเดตหลากหลายเรื่องราวข่าวสาร สาระบันเทิงได้ที่แฟนเพจ mars magazine

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE