โคกที่สี่ของ 'เชอรี่ สามโคก'

หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่พิสมัยภาพหญิงสาวโป๊เปลือยคงคุ้นชื่อ ‘เชอรี่ สามโคก’ เป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก เราขอแนะนำดังนี้

ข้อที่ 1 เชอรี่ สามโคก มีชื่อจริงว่า ลฎาภา รัชตะอมรโชติ ปัจจุบันอายุ 30 ปี
ข้อที่ 2 จริงๆ มีชื่อเล่นแค่ ‘เชอรี่’ ส่วน ‘สามโคก’ หม่ำ จ๊กมก เป็นคนตั้งฉายาให้ตอนเป็นแขกรับเชิญในรายการหม่ำออนสเตจ
ข้อที่ 3 พื้นเพเป็นคนจังหวัดนครปฐม อำเภอนครชัยศรี

ข้อที่ 4 เธอเรียนจบระดับปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเคยได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอิหร่าน แต่เพราะเกิดสงครามระหว่างประเทศในช่วงนั้นเลยต้องล้มเลิกไป
ข้อที่ 5 เคยถ่ายโฆษณา เคยเป็นนางแบบ เคยเป็นตัวประกอบ เคยเป็นพริตตี้ เคยเล่นมิวสิกวีดิโอ แต่ทั้งหมดแทบไม่มีใครรู้

ข้อที่ 6 เธอดังเปรี้ยงปร้างทันทีเมื่อภาพชุดโป๊เปลือยระดับ hardcore ปลิวว่อนในโลกอินเทอร์เน็ต และถูก forward นับครั้งไม่ถ้วน
ข้อที่ 7 หลังจากนั้นก็เข้าสู่วงการหนังผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวด้วยการเล่นหนังเรต R กว่า 50 เรื่อง
ข้อที่ 8 เมื่อไม่นานมานี้เธอประกาศแขวนเต้า เพื่อเดินหน้าพัฒนาศักยภาพด้านการแสดงขึ้นไปอีก

ข้อสุดท้าย ไม่ว่าก้าวต่อไปจะเป็นเนินทราย ชายเขา บันไดดวงดาว หรือแค่โคกเล็กๆ เธอก็พร้อม และนี่คือการพูดคุยในบางเรื่องราวที่ไม่เคยบอกล่าวที่ไหนมาก่อน!

เห็นว่ารับงานถ่ายแบบเซ็กซี่มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทำไมถึงรับ หาเงินเรียนเหรอ
เราอยากจะเป็นนักแสดง คือแม่น่ะหาเงินเลี้ยงได้ถึงแม้จะเป็นสาวโรงงานก็ตาม แต่เราก็ไม่อยากอยู่แบบมื้อนี้ไม่มีจะกิน อย่างเราอยากจะกินลองกอง ตอนนั้นโลละ 500 แม่ก็ยังไปซื้อมาให้กินได้ พ่อเขาก็ส่งค่าเล่าเรียนให้ เราไม่มีปัญหาเรื่องเงิน แต่คราวนี้เราก็อยากได้อะไรที่มากกว่าเรื่องกินเรื่องเรียนละ พี่เคยเห็นหนังสือภาพของช่างภาพฝรั่งปะ เล่มละ 500 เล่มละ 700 เราอยากได้ แล้วแม่ต้องมารับผิดชอบในเรื่องที่ลูกบ้าภาพสวยๆ ซึ่งแม่ต้องทำงานรวมโอทีเป็นวันสองวันเพื่อสิ่งนี้เหรอ? ไม่สิ! เราต้องรับผิดชอบความอยากของตัวเอง เขาดูแลเรื่องการมีชีวิต การศึกษา อะไรที่เราอยากได้เพราะรสนิยมของเรา เพื่อความสุขใจหรือฟินของเรา เราต้องรับผิดชอบเอง

เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้รับงานเซ็กซี่
ไอ้งานเซ็กซี่มันไม่ได้เป็นสาเหตุอะไรขนาดนั้น คือเราชอบแสดงใช่ไหม ก็เลยชิมลางในวงการบันเทิง เบียดนั่นเบียดนี่เพื่อเข้าไปในวงการบันเทิง งานเซ็กซี่ไม่ได้เป็นเป้าหมาย แต่ผ่านเข้ามาก็ทำได้ ช่วงก่อนจบมหา'ลัยก็เคยมีถ่ายแบบเซ็กซี่ใสๆ ข้างล่างกางเกงขาสั้น พอจบทีมงานเดิมเขาก็ติดต่อให้ถ่ายเซ็กซี่มากขึ้น เราก็ถ่าย รับงานพริตตี้ด้วย แล้วก็เป็นพริตตี้รุ่นแรกที่ถ่ายนู้ดกับช่างภาพมือสมัครเล่นได้

ภาพนู้ดนี่เริ่มแรงขึ้นมาแล้ว ทำไมถึงยอมทำ
เราคิดว่าเราเป็นนักแสดง เราไม่ใช่นางแบบ ไม่ว่าจะเล่นหนัง พิธีกร ถ่ายแบบ เราคิดว่าเราเป็นนักแสดงหมดเลย ไม่รู้ว่าบ้าหรือว่าหลอกตัวเองหรือเปล่านะ

แล้วก่อนถ่ายในครั้งแรกครั้งนั้น เตรียมตัวอย่างไร
เราชอบหนังสือภาพถ่ายเมืองนอก แล้วเราก็มีภาพจำแบบนั้น ทีนี้พอมีใครพูดคำว่านู้ดขึ้นมาเราเห็นภาพเป็นแสงไฟสาดแบบนั้น โพสแบบนั้น เป็นรูปอาร์ตๆ แต่เราลืมคิดไปว่าเขาไม่ได้ถ่ายแบบนี้กันทุกคน และคำว่านู้ดแต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน

ทริปนั้นถ่ายกัน 6-7 คน บางคนก็เครียดมากเลยกับการโฟกัส จัดแสง หรือบางคนชอบสแน็ปก็หามุมกันเอง ถึงแม้จะไม่ใช่รูปที่เราคิดแต่เป็นสิ่งที่เรารับได้กับคำว่านู้ด เป็นการทำงานเราไม่อาย

ทำไมถึงไม่อาย
ต่างอะไรกับนั่งแก้ผ้าให้คนวาดรูปล่ะ นั่งแก้ผ้าให้คนวาดรูปต้องอายปะ ปากกากับกล้องก็เป็นแค่สื่อในการถ่ายทอดงานออกมาได้ วิธีการผลิตอาจจะต่างกัน รูปออกมาอาจจะต่างกัน แล้วถ้าเป็นกล้องมันไม่ศิลปะเหรอ ต้องปากกาเท่านั้นเหรอ ถ้าปากกาวาดรูปการ์ตูนโดจินล่ะ อันนั้นศิลปะไหม เพราะฉะนั้นเราเลยมองว่าไม่น่าอายที่จะเป็นแบบหรือนางแบบ แต่ทีนี้มันก็มีงานที่พลาดที่หลุดในอินเทอร์เน็ต ที่ยังมีผลกระทบถึงทุกวันนี้ แม้จะหลายปีแล้วก็ตาม

ตกลงงานนั้นคือพลาด
พลาด เพราะเรามีความคิดแบบนี้ไง เหมือนคิดเอาแต่มุมตัวเองหรือเปล่าโดยไม่แคร์โลก ที่บอกว่าเชอรี่น่าจะเป็นคนฉลาด อาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ ความจริงก็คิดว่าน่าจะมีเรื่องแบบนี้นะ แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง ที่เราพลาด หนึ่งเลยคือการเซ็นสัญญา เราไม่ยอมอ่านให้ละเอียดเพราะตัวหนังสือมันเล็กมาก ถ้าหยาบๆ ก็เล็กขนาดส้นตีนมดมั้ง อีกอย่างคือไว้ใจคนมากเกินไป อยู่ๆ ก็ไปกับเขาเนอะ ออกต่างจังหวัดหลายวัน เพราะเซลฟ์ไง เป็นคนที่ตัดสินใจด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กก็เลยติดนิสัยการตัดสินใจเอง คนติดต่อบอกกับเราว่าเป็นแบบนู้ดที่เคยถ่ายนะ แต่อันนี้งานต่างประเทศ ไม่มีในไทย เราก็โอเคๆ ไปคนเดียวได้

แล้ววันถ่ายจริงเป็นอย่างไร
วันแรกเราโพสท่า curve s สู้ตาย ถ่าย 30 ชุดต่อหนึ่งวัน แล้วในหนึ่งชุดต้องถ่าย 200-300 ภาพ แรกๆ เขาเอาเสื้อผ้ามาให้เราใส่ แล้วก็ค่อยๆ ปลด อ้ะ! ปลดก็ปลด แล้วก็เปิดหน้าอก คิดว่าเป็นอาร์ตในสายตาเรา ไปๆ มาๆ เขาก็เรียกไปดู reference อุ้ย! คุณพระ! ตัวอย่างของเขามันปลิ้น แหวก แหก อะไรหมดเลย เราก็บอกว่าไม่ได้ๆ เขาก็บอกว่าคุณเซ็นสัญญาแล้ว คุณไม่ได้อ่านในสัญญาเหรอ เขาก็หยิบสัญญามาให้ดู มันมีปลิ้น แหวก แหก จริง แต่ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าจะต้องไปสะบือรือหึ้ยกับใคร ไม่ต้องเอาอะไรเข้าร่างกาย เราก็นั่งทำใจแป๊บนึง นี่คือการโดนหลอกใช่ไหม? แล้วเราจะทำยังไงดี โทรแจ้งตำรวจ? นี่ขนาดขับรถเข้ามายังไม่รู้เลยว่าอยู่ตรงไหน ถ้าพวกนี้รู้ว่าเราแจ้งตำรวจเราจะตายไหม? หรือว่ากรี๊ดแล้ววิ่งออกไป วิ่งไปไหนวะ? หรือวิ่งไปเรื่อยๆ แล้วกูจะโดนปล้ำกลางทางไหม? สุดท้ายก็เลยถ่าย วันละ 30 ชุด ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม แบบนี้ 3-4 วัน ให้มันจบๆ ไป

ค่าเสียหายครั้งนั้นเขาให้มาเท่าไหร่
ก็เป็นหลักแสนนะเพราะหลายวัน วันหนึ่งก็ห้าหมื่นกว่า ถามว่าตอนนั้นเยอะไหม ก็เยอะนะ แต่พอมาคิดถึงเอฟเฟ็กต์ที่มันอยู่ยงคงกระพันก็ไม่คุ้มหรอก มีผลงานทีก็ปล่อยกันมาที และจะเกิดวงจรแบบนี้ทุกครั้งที่เชอรี่มีผลงาน แต่ตอนนี้มั่นใจว่าภาพชุดนั้นหมดแล้ว บางทีมีคนมาโพสต์ว่าน้องเชอรี่ชุดใหม่ เราเข้าไปดู โห หน้าตาบานมาก ตั้งแต่สมัยโน้น

จากผลกระทบที่เกิดขึ้น เห็นว่ามีช่วงหนึ่งเครียดมากจนแทบจะเป็นบ้า
ไม่ออกไปไหนเลย อยู่แต่ในห้อง คือผู้ชายที่เห็นภาพนั้นเขาชมเรานะ แต่เราไม่อยากให้ชมแบบนั้น อย่างเช่น ‘ของสวยนะครับ เสียวมากเลย ผมเห็นแล้วผมสะบือรือหึ้ยไปหลายรอบ’ ถามว่าเชอรี่จะดีใจไหม แล้วเราโรคจิตด้วยล่ะ ชอบไปดูที่เขาโพสต์ อยากรู้ว่าเขาจะมาด่าอะไรมั่ง ผู้หญิงเข้ามาโพสต์ก็มี อย่าลืมว่ารูปพวกนี้จะถูกปล่อยออกมาทุกครั้งที่มีผลงาน โดนหนักสุดคือตอนเป็นแขกรับเชิญในละครบางรักซอย 9 เพราะว่าเป็นซิตคอมครอบครัว เราไปเล่นเป็นตัวเลขาที่ต้องยั่วพี่ชัดเจน พอฉายตอนนั้นออกไปนะ ‘ผู้หญิงอย่างนี้ใครเขาจะเอาทำแม่ของลูก น่าจะแรด น่าจะขาย’ มีผู้หญิงมาโพสต์ด่า ผู้ชายมาชมหื่นใส่ แล้วถามว่าเราจะมีความสุขไหม

แล้วฟื้นจากภาวะนั้นได้อย่างไร
ระหว่างที่ขังตัวเองอยู่ในห้อง สิ่งที่ต้องหยุดทำอย่างหนึ่งคือการอ่านคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ต หันมาอ่านหนังสือแทน อ่านไปเรื่อยๆ หลายอย่าง ธรรมะ ปรัชญา หนังสือมันมีมิติของมันนะ อ่านแล้วเราก็มาบอกตัวเองว่า พวกเขาเกลียดเราแค่สิ่งที่เขาเห็น ที่เป็นภาพแบบนั้น แต่เขายังไม่ได้รู้จักเราทั้งหมด ฉะนั้นเราจะมาตัดสินตัวเองว่าเป็นคนเลวคนร้ายไม่ได้ เรื่องที่ผิดพลาด เราก็โดนสังคมลงโทษไปแล้ว เราจะขอร้องเขาให้อภัยได้ยังไง ถ้าเราไม่ให้อภัยตัวเองก่อน การศึกษามันไม่เกี่ยวนะกับการตัดสินใจในตอนนั้น เพราะไม่อย่างนั้นคนที่จบด็อกเตอร์ก็ฆ่าคนไม่ได้สิ ใครหลายคนอาจจะมาบอกว่าถ้าเป็นฉันยอมตายดีกว่าจะมาถ่ายภาพโป๊ ลองมะ! ถ้าตายแล้วครอบครัวคุณล่ะ กรรมฆ่าตัวตายหนักนะ แล้วจะจบชีวิตแค่นั้นเหรอ

ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ทำไมถึงเลือกเดินทางสายหนังอาร์ต่อ
ก็มันเป็นความฝันของเชอรี่ในการเป็นนักแสดงน่ะ ความผิดพลาดครั้งนั้นยิ่งใหญ่ก็จริง แล้วเชอรี่ต้องทิ้งความฝันเหรอ เราทำมาหากินเอาเงินมาใช้ใช่ไหม แต่เราก็ต้องทำงานที่รู้สึกอยากตื่นเช้าไปทำมันทุกวัน อาชีพนักแสดงทำให้เชอรี่เป็นแบบนั้น ถ้าบอกว่าเล่นหนังแบบนี้ผิดเอาตำรวจมาจับเลย แล้วเชอรี่จะไปเล่นในโรงพักหรือเปล่าไม่รู้นะ ถ้าเราไม่มีฝันจะเหลืออะไรล่ะ เป็นมนุษย์หุ่นยนต์ใช่ไหม ทำงานหาเงินกันเพื่อมีชีวิต แล้วมีชีวิตทำไมเหรอ

ฉากเลิฟซีนหนังอาร์นี่มันต้องมีถึงเนื้อถึงตัวกัน ตอนนั้นคิดอะไรอยู่
ก็ไม่ได้คิดอะไร อย่างตอนรับเล่นเรื่องแรกเพราะมีบทที่เราอยากเล่นที่สุดคือคนบ้า เขาถามว่าคุณสามารถหัวเราะไปด้วยแล้วน้ำตาไหลไปด้วยได้ไหม เราบอกว่าได้ ก็ไปแอบดูคนบ้าในโรงพยาบาลศรีธัญญา เราทำการบ้านตัวเองแล้วค้างความรู้สึกนั้นเป็นอาทิตย์กว่าจะแสดงจริง เวลาไปเล่นเราก็เล่นสุดความสามารถนะ แต่ก็เหมือนคนอกหัก ฉากที่เราทุ่มเทเขาไม่ได้โคลสอัพเลย ถ่ายทำเหี้ยอะไรภาพกว้าง แบบนั้นไม่ต้องเล่นอินเนอร์ก็ได้ แล้วด้วยงานที่เคยผิดพลาดก็ทำให้เราไม่ได้รับบทอะไรมากทั้งในหนังในละคร พอหนังแผ่นเข้ามาเราก็เลยรับเล่น เล่นไปเรื่อยๆ 4-5 เรื่องต่อเดือน

เล่นมาแล้วกี่เรื่อง
50 เรื่องที่ออกมาแล้ว แต่ที่ยังไม่ออกประมาณ 30 เรื่องได้มั้ง

ทำไมถึงได้เล่นเยอะขนาดนั้น
ในวงการหนังแผ่นแบบนี้ เด็กที่มาเล่นใหม่เขายังไม่มีแฟนคลับ แล้วในวงการมีเชอรี่กับแนท (เกศริน ชัยเฉลิมพล) ที่มีแฟนคลับ ถ้าเขาจะดันเด็กใหม่เขาก็จะจ้างเชอรี่หรือแนทมาเป็นจุดขาย อีกอย่างมันช่วยให้หาสปอนเซอร์ได้ อย่างเราอาบน้ำอยู่ในลำธารดีๆ ก็มาถือครีมนวดนม

เห็นว่ามีการป้องกันจุดซ่อนเร้น เขาทำกันอย่างไร
ผู้หญิงก็ใช้ผ้าหรือทิชชู่ก็ได้แปะรองเอาไว้ก่อนแล้วเอากระดาษแบบปกรายงานมาปิดทับเป็นเหมือนกางเกงในด้านเดียว แล้วผู้ชายก็ใส่ถุงเท้าไนลอนแล้วก็เอาเชือกผูก ถ้าไม่เอาเชือกผูกแล้วมันขึ้นมานะ เชอรี่จะตี จะฟาดจนกว่าจะลง เขาก็จะกลัวกัน

ถามจริง ไม่มีอารมณ์ร่วมในการแสดงเลยเหรอ
ไฟดวงใหญ่ๆ นี่ 2 ดวง แอร์ไม่เปิดเพราะต้องเก็บเสียง ไม่งั้นมันจะตัดเสียงออกยาก ไม่มีแอร์ ไฟสาดเข้าหน้าเข้าหลัง มีอารมณ์ไหม? ถามแค่นี้ คือเราเล่นอินเนอร์มาทั้งเรื่อง แต่พอถึงฉากเลิฟซีน เราเล่นเทคนิค ใช้ความเป็นนางแบบหลบมุมกล้อง เอาสัดส่วนเข้าไปบัง สังเกตได้หนังที่เราเล่นจะมีไม่กี่มุม มีไม่กี่ท่าหรอก เพราะต้องบังจุดที่เซฟไว้ บางเรื่องตัดไม่ดีเห็นที่เซฟหราเลย

แสดงว่าฉากเลิฟซีนในหนังอาร์ที่หลายคนดูกันเนี่ย นักแสดงไม่ได้ใส่อารมณ์จริงๆ เข้าไปเลย
เราตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ตัวเราเองไม่มีอารมณ์เลย มันเป็นแบบนี้ หากทุกคนประชุมกันเครียดเพื่อให้งานออกมาดี เราจะรู้สึกแอ๊กทีฟใช่มะ แต่ถ้าพวกเขาอยากทำแค่ให้เสร็จไปวันๆ เพื่อให้มีหนังมาขาย แบบนั้นมันทำให้ความอยากแสดงของเราหมดลงไปทุกวันๆ เรามาทำหนัง R เพราะไม่ได้สนใจเลิฟซีนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอบรรยากาศแบบนี้ทำไมเราต้องเล่นอินเนอร์ล่ะ หลังๆ บทก็เริ่มซ้ำ แถมจากเมื่อก่อนจ้าง 2-3 วัน แต่เดี๋ยวนี้จ้างวันเดียว เอาแค่ชื่อเราไว้โปรโมต

สังคมไทยตีตราคนทำงานแบบนี้ว่าไม่ดี เรารับมือยังไง
ด้วยความที่คิดว่าไม่มีอะไรขาวจริงและดำแท้บนโลกใบนี้ ทุกอย่างบนโลกมันเทาหมด ไม่ว่าจะคน ธุรกิจ สังคม ขึ้นอยู่กับว่าตรงไหนเทาเข้มตรงไหนเทาอ่อน เราอาจจะทำในสิ่งที่เทาเข้มไปนิดนึงแต่เราก็ยังเทา เหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ บางคนสังคมมองว่าเขาเพอร์เฟ็กต์ แต่ลึกๆ เขาอาจจะทำในสิ่งไม่ดีอยู่ก็ได้ ด้านเทาขาวของเขาเผยให้คนรู้จัก แต่ด้านเทาเข้มอาจจะซ่อนไว้ซึ่งไม่มีใครรู้เลย แต่มันก็อยู่ในจิตใจของเขา เราทำงานด้านเทาเข้ม แต่เราไม่ได้มองอย่างนั้น มันเป็นงานของเรา มันเป็นความฝันของเรา

เอาเข้าจริงแล้ว หนังแบบนี้มันเป็นทางเลือกในการบำบัดเรื่องเซ็กซ์ไหม
ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่นะ ทำไมคนเราต้องหาทางบำบัดล่ะ เพราะในเมื่อความกระสันมันไม่เหมือนอาการหิวข้าว ถ้าไม่กิน 3-4 วันตายแน่ แต่ถ้ามีอารมณ์ทางเพศ ไม่ปลดปล่อยแล้วตายเหรอ แค่เบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองไปทำอย่างอื่น จบไหม แค่ระงับให้ได้ก็ไม่ต้องเช่าหนังหรือไปดูรูปโป๊

จะบอกว่าไม่ต้องระบายออกทางเพศด้วยหนังพวกนี้ก็ได้
ญี่ปุ่นมีหนังเอวีมานานแล้ว แล้วทำไมยังมีข่าวเด็กฆ่ากันเองในโรงเรียน หรือว่ามีหนังที่สะท้อนความเครียด ความเก็บกดในสมองของคนญี่ปุ่นออกมาทุกวันนี้ละคะ เยอะด้วย เวลาที่ดูหนังดราม่าญี่ปุ่นหลายเรื่องเราจะเห็นพลังที่ถูกซุกซ่อนในใจเขา หนังแต่ละเชื้อชาติก็จะสะท้อนสังคมของเขาออกมา

แล้วหนังอาร์บ้านเราสะท้อนสังคมไทยอย่างไร
ถ้ามองแค่หนังอาร์ เอาที่เคยเล่นมาด้วยก็…สังคมบ้านเราจะย้ำๆ อยู่ที่เดิมและกลัวการพัฒนา ส่วนถ้าใครจะใช้หนังแบบนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งก็โอเค ยังดีกว่าไปไล่ข่มขืนชาวบ้านให้เป็นอาชญากรรรม แต่ยังไงเราก็คิดว่าเรื่องอารมณ์ทางเพศมันระงับได้ เราไม่ใช่แม่พระหรอก แต่มันระงับได้ โกรธยังระงับได้ รักก็ระงับได้

คนทุกวันนี้ชอบถ่าย selfie เซ็กซี่ หรือถึงขั้นโป๊เยอะเหลือเกิน มองปรากฏการณ์นี้อย่างไร
มันมีมาตั้งนานแล้วนะ เราเคยโดนข้อหาทำตัวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชนด้วย ทำให้สังคมวิบัติ ทำลายวัฒนธรรม เพราะเชอรี่คนเดียวเลย (หัวเราะ) เราขอบอกว่าเราเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีหรอก ใครจะเอาเราเป็นไอดอลต้องถามว่าเอาส่วนไหน เพราะมันก็มีหลายส่วนในชีวิต ที่พลาดก็ไม่อยากเหมือนเรา เราไม่ได้อยากจะแก้ผ้าแล้วดัง เราไม่เคยคิดว่าแก้ผ้าแล้วจะดังด้วย เราแค่อยากเป็นแค่นักแสดง

นักแสดงบางคนอยากแก้ผ้าให้ตัวเองดัง แล้วก็ดังจริงๆ แง่ไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่เชอรี่ไม่อยากให้ตัวเองดังแต่แก้ผ้า ฟังดูแปลกๆ นะ
เชอรี่พลาดไปแก้ผ้าให้เขาถ่ายรูป มันเกิดถูกฟอร์เวิร์ดออกไป คนก็จับมาบวกกับงานโฆษณาที่เราทำ มันก็เลยเป็นแบบนั้น เชอรี่ไม่ได้บอกว่าไม่ได้อยากแก้ผ้า แต่บอกว่าไม่ได้อยากดังเพราะแก้ผ้า เมื่องานจบเราก็ไม่ใช่คนคนนั้นอีกแล้ว แต่บางคนเต็มใจที่จะถอดแล้วก็ถ่ายโชว์ นั่นตัวคุณที่ไม่ใช่นางแบบใช่ไหม แล้ววัยรุ่นก็ทำแบบนี้กันเยอะมาก ปรากฏการณ์นี้เรามองว่าเป็นความเหงาที่อยู่ในใจคนโดยที่คนนั้นรายล้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่เยอะเหลือเกิน ทำไมถึงเหงา? ทุกวันนี้คนเราคุยต่อหน้าน้อยลง แต่แชตกันเยอะ มีอะไรก็ไปโพสต์ไว้ 'อุ๊ยตายแล้วตด!' เราก็โพสต์กันไว้ ทำไม่เราถึงบอก เพื่อให้มีคนรับรู้ อยากให้รู้แล้วทำไมไม่โทรไปบอก คือไม่ได้อยากให้คนรู้ขนาดนั้น เราอยากจะบอกใครก็ได้เพราะเราแค่เหงา แล้วเราก็มีกำแพงที่ปิดตัวเองเอาไว้ด้วยสื่อ ถามว่าจะโพสต์ทำไมไร้สาระ เขาก็บอกว่าหน้าวอลล์เป็นพื้นที่ส่วนตัว ชอบอ้างสิทธิพื้นที่ออนไลน์ เป็นความเหงาที่เราอยากมีที่ยืนและบอกว่าเราอยู่ตรงนี้นะในโลกออนไลน์

แล้วทำไมต้องโป๊ต้องเซ็กซี่ในเมื่อวิธีโพสต์แบบเจ๋งๆ ก็มี
สมมุติมีน้องคนหนึ่งแบ๊วเลยนะ ถ่ายรูปชุดนักเรียนลง มีมา 3 ไลค์ แต่วันนึงเพื่อนแอบถ่ายตอนอาบน้ำ เห็นเนินไหล่นิดหน่อย มาแล้ว 15 ไลค์ ใครต่อใครไม่รู้มีเพื่อนมาเพิ่มด้วย ไปๆ มาๆ ก็ค่อยๆ ถอดทีละนิด แล้วคอมเมนต์ของผู้ชายที่บอกว่าเยี่ยมมากเลยครับน้อง ถอดอีกสิครับ นั่นคือการเสริมแรงให้กับคนเหงาและทำให้เข้าใจผิดว่าดี มีความสำคัญ มีตัวตนสว่างวาบขึ้นมาในโลกออนไลน์

หลายคนบอกว่าบ้านเราเป็นเมืองพุทธ พอมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มันยากที่จะยอมรับ
คุณบอกว่าบ้านเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม แล้วทำไมไม่เห็นผู้หญิงใส่ผ้าถุงห่มสไบเดินกันทุกวันละคะ คือโลกความเป็นจริงมันอีกอย่างหนึ่ง บางทีเด็กรุ่นใหม่หรือรุ่นนี้สับสนเลยนะ เราจะพูดได้ไหมว่า ทุกวันนี้หญิงไทยเป็นกุลสตรี มีอะไรกับผู้ชายหลังแต่งงาน ทำกับข้าวเป็น นั่งพับเพียบเรียบร้อย สามารถบอกได้ไหมว่าทำแบบนั้นแล้วเป็นผู้หญิงไทย นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่ มันไม่ได้! ตอนนี้เราต้องมองว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างแล้ว อะไรดึงรั้งได้ อะไรที่ต้องปรับไปตามยุคตามสมัย ถ้าตามประวัติศาสตร์ เมื่อก่อนนี้ผู้หญิงไทยไม่ใช่กุลสตรีนะ แต่มีการโปรโมตกันเมื่อสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก่อนหน้านั้นยังเปลือยนมกันอยู่เลย สังคมปัจจุบันจึงต้องมาหาจุดยืนว่าอะไร เอาให้ชัดเจน ถ้าบอกว่าเปลือยนมผิด จับเลย บล็อกเลย

เคยมีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่คนทำงานศิลปะว่า ถ้าฝรั่งเปลือยนมเป็นอาร์ต แต่คนไทยเปลือยนมเป็นอนาจาร คิดอย่างกับเรื่องนี้
มันเป็นการเลือกไม่ได้ของสังคมไทยว่าจะเอาอะไรกันแน่ เรามองงานฝรั่งว่าเป็นอาร์ต แต่มองคนไทยเป็นอนาจารทั้งที่ถ่ายท่าเดียวกัน แสงเหมือนกัน สีเหมือนกัน แปลว่าคุณยังสับสนอยู่ จะเปิดรับวัฒนธรรมก็เข้าใจไปเลยสิ หรือถ้าจะไม่ทำความเข้าใจก็ออกมาเป็นกฎเลย ทำงานในเมืองไทยต้องเว้าร่องนมได้ไม่เกินกี่เซนติเมตรก็ว่าไป ยกตัวอย่างหนังสือนู้ดในเมืองไทยก็มีบางช่วงที่โป๊ไม่ได้ เพราะมีคนว่างแล้วไปสนใจเรื่องจัดระเบียบ จัดระเบียบอยู่สองเดือนแล้วก็ไม่สนใจแล้ว เดือนต่อมาโป๊ได้เท่าเดิม นี่มันคืออะไร
เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์
อัปเดตหลากหลายเรื่องราวข่าวสาร สาระบันเทิงได้ที่แฟนเพจ mars magazine

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE