“วันนี้ผมรวยกว่าสมัยออกเทปซะอีก” เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล


“วันนี้ผมรวยกว่าสมัยออกเทปซะอีก” : เชษฐ์สไมล์บัฟฟาโล

เราใช้เวลา 3 ชั่วโมงนิดๆ ขับรถจากตึกรามบ้านช่องแออัดของกรุงเทพฯ มาสู่บ้านชนบทเขียวขจีแถวๆ อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี แต่กับเจ้าของบ้านที่เราไปหาเขาใช้เวลากว่า 10 ปีในการคลำทางเพื่อมายืนหยัด ณ จุดเดิม
ชายวัยกลางคนท่าทางกำยำที่กำลังยืนยิ้มเผล่อยู่ใต้ต้นไม้เพื่อรอรับก็คือ ‘วรเชษฐ์ เอมเปีย’ หรือที่รู้จักกันในวงการเพลงก็คือ ‘เชษฐ์สไมล์บัฟฟาโล’ มือกลองอันดับต้นๆ ของประเทศซึ่งไม่มีนักฟังเพลงคนไหนในยุค 90’s ไม่ได้ยินเสียงรัวกระเดื่องของเขา และเมื่อยอดขายเทปของวงแตะที่ตัวเลขเกินล้านตลับก็ส่งให้เขาทะยานขึ้นสู่ความเป็น ‘ป๋า’ ในเวลาไม่ทันข้ามปี

เชษฐ์ได้เกือบทุกสิ่งที่อยากได้ บ้านหลายหลัง รถหลายคัน มีเงินให้ใช้เฮฮาสังสรรค์วันละเป็นหมื่น นั่นยังไม่นับรวมหญิงสาวมากมายที่ต่างหมุนเวียนเข้ามาในชีวิตไม่หยุดหย่อน แต่ท้ายสุดประติมากรรมแห่งความหฤหรรษ์ก็หล่นร่วงแหลกลาญในระยะเวลาไม่กี่ปี

…งานเลี้ยงซินเดอเรลล่ามีเวลาจำกัดเสมอ!

จากกองเงินกว่า 20 ล้าน เขาเหลือหอบกลับบ้านเพียงไม่กี่แสนพร้อมกระเป๋ายี่ห้อ ‘ล้มละลายชีวิต’ ซึ่งถ้า ณ เวลานั้นเชษฐ์เสี่ยงทายกับหัวใจแล้วจับได้ไม้สั้นเราคงไม่ได้เห็นรอยยิ้มแฉ่งอย่างมีความสุขอยู่กับต้นไม้ใบหญ้า ซึ่งเขาหัวเราะร่าบอกว่า

“วันนี้ผมรวยกว่าสมัยออกเทปซะอีก”

นี่คือเรื่องราวระหว่างทางกลับบ้านของชายหนุ่มคนหนึ่งที่จังหวะการเดินทางของเขาเร้าใจพอๆ กับจังหวะรัวกลองของตัวเอง ‘เชษฐ์สไมล์บัฟฟาโล’

เด็กรุ่นหลังที่หันมาฟังดนตรียุค 90’s ของไทยบางคนตั้งข้อสงสัยว่า สมัยนั้นคุณเชษฐ์เกิดได้เพราะฝีมือจริงหรือเปล่า ?

สมัยก่อนนี้ต้องฝีมือจริง เพราะคนที่เขาเอาไปเป็นนักร้องนักดนตรีส่วนใหญ่ต้องหน้าตาดี ส่วนวงผมนี่หน้าตาไม่ค่อยดี แต่เป็นวงที่ได้แชมป์จากการประกวดมาเยอะ ได้แชมป์เนสกาแฟมิวสิกเฟสติวัล ไทยแลนด์เอ็กซ์โพสต์ชั่น อันนี้ถ้วยในหลวงเลย แล้วก็มีอีกหลายๆ อันตั้งแต่เด็ก ทีนี้เรามาเล่นเป็นมือปืนรับจ้างในห้องอัดก่อน แล้วมาเป็นแบ็กอัพให้ศิลปินต่างๆ ซึ่งได้ประสบการณ์เยอะ ทั้งแบ็กอัพให้พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง พี่สุเทพ วงโฮป แล้วก็มีพี่ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ให้ไปเล่นเปิดเพื่อหาประสบการณ์ แล้วก็มีอีกช่วงหนึ่งมาเล่นให้พี่แทน เอาท์ไซเดอร์ ซึ่งพี่แทนนี่แหละที่แต่งเพลงดีเกินไปให้ (อัลบั้มชุดแรกชื่อชุด Smile Buffalo)

ก่อนหน้าที่จะมาเป็นสไมล์บัฟโฟโลนี่ลำบาก คล้ายกับคนไม่มีญาติเลยนะ ที่อยู่อาศัยก็ไม่มี ต้องเช่าห้องอยู่ร่วมกัน มาม่านี่คืออาหารหลัก บางครั้งถึงขั้นต้องบิแบ่งเป็นสองมื้อ เราตั้งใจว่าออกจากบ้านไปแล้วถ้าจะกลับมาอีกทีต้องสำเร็จให้ได้ สุดท้ายไม่สำเร็จก็กลับมาบวชให้แม่ แม่ดีใจร้องไห้ใหญ่เลย เราเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้เพื่อนก่อนบวชว่าขอลาบวช ขอเลิกเล่นดนตรีแล้ว เพื่อนเสียอกเสียใจกันใหญ่ แต่บวชได้ไม่นานเพื่อนมาตามบอกว่าเดโมผ่านแล้ว พอเพลงมันดังเราก็เกิด มีคอนเสิร์ต มีงานทีวีมากมาย ทีนี้พอมันดังมากๆ จากคนไม่มีเงินพอเจอเงินหลายๆ ล้านเข้า ก็ โอ้โห! แล้วตอนนั้นเทปขายได้เป็นล้านม้วน ช่วงปี 2538 ที่น้ำท่วมไทยด้วย เทปของเรามากับน้ำเลย เหมือนควายได้น้ำแล้วคึกใหญ่ ต้องเอาเทปนั่งเรือไปส่ง คนไปต่อแถวรอซื้อกัน ผับไหนๆ ก็เปิดเพลงของเรา หลังจากนั้นได้รับรางวัลเยอะแยะอีก

มันทำให้เราฟูใช่ไหม?
 
ใช่ มันเหมือนเรามีเกรดขึ้นมา พอเราดังมากๆ มันก็มีปัญหาโรคความดังเข้ามา โรคความดังนี่หลายๆ คนเจอแล้วทำใจไม่ได้ บางคนเป๋ไปเลย ซึ่งผมก็เป็นอยู่ช่วงหนึ่งหนักๆ เลยนะ ตอนนั้นเราให้เงินพ่อแม่ ดูแลญาติพี่น้องเรียบร้อยหมดแล้ว ไอ้เราจากคนที่ไม่เคยมีอยากจะได้อะไรก็ซื้อ ซื้อบ้านก็ซื้อให้สะใจ ซื้อรถก็ซื้อให้สะใจ ตอนนั้นมันยังไม่มีสติ ลุ่มหลงไปกับแสงเสียงวัตถุต่างๆ

เห็นว่าได้วันละเจ็ดหมื่น ?

ใช่ อย่างไม่ได้นี่เจ็ดหมื่น บางทีเป็นแสนนะต่อวัน เพราะตอนนั้นเราไปดังในยุคเฟื่องฟู ผับเธคก็ปิดกันยันเช้า บางร้านเปิดถึง 8-9 โมง เพราะเปิดดึก อย่างหัวค่ำเราจะเล่นแบบโอเพ่นแอร์แล้วต่อด้วยเธคผับ แล้วก็มาจบที่ร้านเปิดสว่างอีก เล่นเสร็จเราก็กินต่ออีก แล้วตอนนั้นอายุ 22 เอง แรงดีมันก็ไม่มีลิมิตสิ ทุกวันๆ เราทำชีวิตอย่างนั้นตลอด ได้เงินแถมยังสนุก ไปไหนก็มีคนกรี๊ดกร๊าดไปหมด ตอนดังมากๆ ผมไปเดินเดอะมอลล์ บางกะปิ ที่เพิ่งเปิดใหม่ๆ คนมาล้อมจนยามต้องพาไปหลบ ตอนนั้นความลุ่มหลงมันเลยมาพร้อมกับความดัง คนไม่เคยมีก็คิดว่าเท่สุดแล้ว

เงินก็เข้า ผู้หญิงก็เข้า?

(หัวเราะ) มันของคู่กันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราหมกมุ่นอยู่กับกิเลส มันเป็นเรื่องธรรมดาของคน ตอนนั้นใช้เงินวันละไม่ต่ำกว่าหมื่น อันนี้ใช้สำหรับพวกที่มากินกันนะ ส่วนทิปเด็กอีกต่างหาก เดินเข้าร้านไหนเด็กที่มันเคยได้ตังค์เราก็จะเรียกป๋าเชษฐ์มาแล้วๆ ขนาดยังวัยรุ่นอยู่เรียกป๋าเชษฐ์เราดีใจ เอ้า! มาน้องมาเอาเงินไป เป็นอย่างนั้น

บ้านก็ซื้อหลายหลังอยู่ รถก็ซื้อหลายคัน ตอนนั้นเรามีแล้วมันไม่พอ อย่างน้องชายอยากได้แฟนอยากได้เราก็ซื้อให้ ฟุ้งเฟ้อไปเรื่อย แต่ว่ามันยังไม่พอใจ มาคิดเปิดโรงเรียนอีก ซึ่งปกติเราสอนที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว แต่ก็อยากจะเปิดของตัวเองไง ตอนนั้นเปิดที่อุดมสุข ซื้อเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้นเลย แล้วมีชั้นลอยเป็นที่ไว้ดื่มอีก ทีนี้คำที่ว่าทำอะไรเกินตัวนี่มันจริง เพราะเราคิดว่าไม่เกิดปัญหา ยังไงก็หาเงินได้อีก แต่ตอนปี 2540 มันเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ผมร่วงเลย เพื่อนผมหลายคนล้มละลายนะ แต่เราไหวตัวทัน

คนเราเกิดมาไม่มีอะไรมาก่อน เราก็ยอมที่จะไม่มีอะไร เรากล้าขึ้นป้ายขายเลย คนเห็นแรกๆ ก็ดูถูก แต่เราคิดว่าเอาไว้ก็ตาย บางคนจมไม่ลงก็ยื้อเอาไว้จนโดนฟ้องล้มละลายแล้วถูกยึด ผมขายแล้วไปโปะภาระหนี้สิน เหลือเงินมาไม่เยอะ จาก 20 ล้าน เหลือไม่ถึงล้าน จะไปซื้ออะไรก็ไม่ได้ ซื้อรถก็ไม่ได้ ตอนนั้นเลิกกับแฟนด้วย มันลงเหว ทุกอย่างพังหมด แต่หนักสุดคือแม่ป่วย ไม่ได้ป่วยเล่นๆ ด้วย ป่วยเป็นปีๆ เลย เราก็กลับมาบ้านไปเฝ้าแม่ทุกวัน คือถ้าแม่ตายตอนนั้นก็ไม่รู้จะหน้ามืดตามัวขนาดไหน ตอนนั้นผมร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไง ร้องลั่นโรงพยาบาลเลย

วิกฤตถาโถมแบบนี้เรามองเห็นอะไร ?

ตอนอยู่ในโรงพยาบาลเราได้เห็นเกิด แก่ เจ็บ ตายทุกวัน แรกๆ หดหู่ หลังๆ มาเริ่มชิน เริ่มเห็นว่าชีวิตเราที่ผ่านมามันจอมปลอมทั้งนั้น ไม่มีธรรมะควบคู่เลย เราได้เห็นความจริงว่าเกิดจริง แก่จริง เจ็บจริง ตายจริง ดังนั้นสิ่งของที่เราได้มา ถามว่าเวลาตายเอาไปได้ไหม ทุกวันนี้ปลูกต้นไม้เยอะแยะตายก็เอาไปไม่ได้สักต้น เราได้รู้ว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา คิดว่าไม่ต้องแสวงหาแล้ว ทำยังไงก็ได้ให้มาอยู่ใกล้แม่

ย้อนกลับไปนิดหนึ่งว่าทำไมคุณเชษฐ์ถึงมาทำเรื่องเกษตร เพราะเอาเข้าจริงจะไปเปิดร้านขายอะไรก็ได้ มันง่ายกว่า?

จะเล่าให้ฟัง บางท่านก็เปิดร้านกาแฟ ตอนนี้ร้านกาแฟจะเยอะกว่าคนกินแล้ว แต่การเกษตรหารู้ไม่ว่าคนที่คิดได้ก่อนเป็นเศรษฐี การเกษตรเนี่ยหลายๆ คนแถวบ้านผมส่งลูกเรียนจบหมอ อย่างบ้านหลังถัดไปจากหลังผมนี่ก็ส่งลูกเป็นอัยการ เขาเก็บผัก ปลูกข้าว เก็บกล้วยอะไรต่างๆ ขาย คือพวกการเกษตรเนี่ยอย่างหน้าแล้งพริกกิโลละ 350 ซื้อ 10 บาทมันนิดเดียว แต่เราปลูกกินเองเรามีของเราหมด ผักบุ้งเราเก็บมาผัด เรากินของดีไม่มีสารพิษ ปลูกข้าวก็ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ซึ่งคนอื่นกินก็สุขภาพดีไปด้วย แล้วเราทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้างด้วยนะ อย่างบางคนมาไกลเราขายถูกไปเลย ไม่ต้องมาเอารวยกับตรงนี้ เพราะเรารู้แล้วว่ารวยแค่ไหนก็เอาไปไม่ได้ 

จริงๆ แล้วตอนนี้ผมรวยกว่าตอนโน้นอีกนะ แต่ว่าเอาไปทำบุญทำทานหมด เก็บไว้เฉพาะที่ตัวเองพอใช้ รถพอใช้ โทรศัพท์ก็เอาที่เล่นไลน์เล่นเฟซได้ จบ อย่างเราทำการเกษตรเน้นในเรื่องปลอดสารพิษ แมลงกินบ้างคนกินบ้าง มันคือเกษตรแบบสมัยใหม่ แล้วเกษตรสมัยใหม่มันแพงกว่าสมัยเก่า อย่างผมปลูกผักปลอดสารเอาไปขายคนก็มาแย่งรับกันเลย อย่างข้าวไรซ์เบอร์รี่ผมนี่คนมาซื้อข้าวกันรถติดเลยนะ โรงสีชุมชนสีจนสายพานขาดคนก็ยังไม่กลับ คือคนสมัยนี้เสาะแสวงหาของกินที่ไปรักษาร่างกายตัวเอง เพราะทุกวันนี้เราฆ่าตัวเอง อย่างมะเร็งเราเป็นอันดับหนึ่งของโลก เรากินอะไรที่เป็นสารพิษหมดเลย เราเลยคิดใหม่ทำใหม่ ไม่เหมือนคนสมัยก่อน

ตอนแรกที่ผมทำนี่บ้าๆ บอๆ เพราะยังไม่ได้ศึกษาจากพระองค์ท่าน ผมเจ๊งหมดทุกอย่างเลย ทำข้าวครั้งแรกไปทำข้าวหอมนิล ทำข้าวไรซ์เบอร์รี่ไม่มีใครรู้จัก ขายไม่ได้ ไม่มีใครซื้อ พอตอนหลังๆ เริ่มดัง ผมก็มาขยายแปลงละ 8 ไร่ 10 ไร่ แรกๆ ที่ทำเราทำกับ อบต. หลังๆ เราเอาคนที่มีเครื่องไม้เครื่องมือมาร่วมกับเราแล้วก็แบ่งผลประโยชน์กัน

ฟังๆ ดูก็น่ารื่มรมย์และอยู่อย่างสุขสบาย แล้วจำเป็นไหมว่าวันนี้เราต้องผลักดันลูกหลานของตัวเองออกไปจากท้องไร่ท้องนาเพื่อแข่งขันกับคนอื่น?
 
มันมีอย่างนี้ บางคนที่เขาคิดก่อนเขาบรรลุเลย บางครอบครัวเขาส่งลูกเรียนใกล้บ้าน ไม่ต้องเรียนจบสูงๆ เพื่อหาเงินมาซื้อมะเขือกิน ซื้อปลากิน ไปเป็นลูกจ้างเขาเพื่อหาเงินมาซื้อของกิน แต่คนที่เขาคิดได้ก่อนเขาไม่เรียนเพื่อให้ลำบาก เขาเรียนเพื่อเอาความรู้มาส่งเสริมอาชีพพ่อแม่ ไม่ใช่ว่าส่งลูกตัวเองไปแข่งไปแก่งแย่งกัน อย่างคนในกรุงเทพฯ จริงๆ ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวนะ แต่สภาพแวดล้อมมันทำให้แก่งแย่งกัน แค่ขึ้นรถเมล์เราก็ยังแย่งกันเลย

แต่ถ้าเราอยู่บ้านนอกมันคือสวรรค์บนดิน เราเรียนที่ไหนก็ได้ความรู้เนี่ย เดี๋ยวนี้โลกโซเชียลเราเรียนทะลุได้เลย ผลลัพธ์เท่ากัน มันไม่ต้องไปตามไล่แก้สมการเพื่อที่จะได้คำตอบ เก่งอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย ฝรั่งบางคนมันโง่จะตาย อ่านหนังสือไม่ได้ อย่างไมเคิลโอเว่นนี่ต้องจ้างครูมาสอนที่สโมสร เพราะวันๆ มันเตะบอลอย่างเดียว ไทเกอร์วู้ดส์พ่อก็สอนมาตั้งแต่เด็กเลยว่ามึงต้องเป็นที่หนึ่งของโลก ฝรั่งสอนอย่างนี้ ไม่ต้องไปเรียนอะไรจับฉ่าย เก่งไม่รู้กี่ด้านแต่เอาตัวไม่รอดสักอย่าง

คุณรู้สึกไหมว่าลึกๆ แล้วสังคมบ้านเราก็ถูกปลูกฝังมาให้รังเกียจวิถีชีวิตเกษตรกร ?

มันยังมีคนดูถูกการเป็นลูกชาวนาลูกชาวไร่ แต่บางคนกลับศรัทธาในคำนี้เพราะถือว่าเท่มาก อย่างเด็กในห้องเรียนที่เขาถามว่าพ่อแม่ทำอะไร เป็นครูครับ เป็นตำรวจครับ แต่พอบอกว่าลูกชาวนาก็โดนล้อไปเลี้ยงควาย ซึ่งตอนนี้มันกลับกันแล้ว ยุคนี้การเกษตรเลิศเลอมาก ดูมะนาวบางช่วงลูกละ 15 บาท ขนาดผมมีไม่กี่ต้นยังได้มาเป็นพัน

แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำอย่างคุณได้ เพราะหลายเงื่อนไขปัจจัยในชีวิตยังต้องพึ่งพาอาศัยระบบเงินเดือน
เอาอย่างนี้ ถ้าคุณมีจุดยืนเรื่องอยากทำเกษตรคุณเก็บตังค์เลยเพื่อจะไปลงพืชไว้ ยิ่งมีที่ดินยิ่งดี แต่ไม่มีที่ก็เช่าเขาทำไม่กี่บาทหรอก แปลงนาบางที่ผมก็เช่าเขาทำนะ ได้กำไรมานี่ ให้ค่าเช่าแล้วต้องแถมเงินให้เขาอีกนะ เพราะเรากำไรเป็นแสนๆ คือที่ดินบางที่เขาปล่อยให้เช่าถูกๆ เพราะลูกหลานไม่กลับมาทำ ลูกๆ ไปทำโรงงานหนักแทบตายแต่ไม่พอกิน เรื่องแบบนี้จะโทษพ่อแม่ไม่ได้ ตัวลูกเองไม่คิดจะทำด้วย พวกนี้ไม่คิดว่าตัวเองจะรวยไง ยังอยู่ไกลความรวย

ความรวยหมายความว่าเราอยู่เป็น กินเป็น เราพอเพียง เราเพียงพอ มีแบ่งปัน นี่เขาเรียกรวย ไม่เกี่ยวกับยอดเงินนะ อย่างเมื่อก่อนผมมียอดเงินเยอะมาก แต่ผมใช้ไม่เป็น มันไม่ใช่คนรวย แต่ตอนนี้มีเงินมากกว่าสมัยก่อน แต่มีคุณค่าเยอะกว่า มีประโยชน์เยอะกว่า มันเป็นเศรษฐีมากกว่าเชษฐ์คนก่อน เราพอเพียงแล้วไง แล้วเพียงพอเมื่อไหร่เราก็รวยเมื่อนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าต้องไปขับเบนซ์ ปัดโธ่! ไปซื้อพรุ่งนี้เราก็ซื้อได้ แต่มันจำเป็นเหรอ เอาเบนซ์มาปลูกสะระแหน่ที่บ้านเหรอ บรรทุกมะพร้าวไปขายก็ไม่ได้ ไปซื้อปุ๋ยขี้วัวขี้ไก่ใส่มาก็ไม่ได้ เราใช้อะไรให้มันเป็นประโยชน์สูงสุดสิ

แล้วทำไมบางคนมองคำว่า ‘พอเพียง’ ใช้กับชีวิตเขาไม่ได้ ?

เขาใช้ไม่เป็นไงครับ คือพอเพียงนี่พอเราทำปุ๊บมันจะเพียงพอทันที แล้วเราก็ค่อยๆ ทำตามกำลัง เท่าที่เราทำได้ มันจะมีอะไรดีๆ เข้ามา พอมันเหลือเราก็เอาไปต่อยอด เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ต่อยอดส่วนหนึ่ง แต่มันต้องใช้ระยะเวลานิดหนึ่ง พอมันได้มันจะมั่นคงมาก พอมันมั่นคงแล้วมันก็จะเหลือเงินสะสมเยอะมาก แต่ถ้าคนใช้ไม่เป็นมันจะไม่รู้เรื่อง ทำเมื่อไหร่จะรวย อย่างปลูกต้นไม้ยืนต้นไว้เราก็ไปทำพืชสวนครัวด้วยสิ รอต้นไม้ชนิดเดียวโตก็ตายพอดี สมมุติบางคนมีที่ 5 ไร่ปลูกข้าวทั้งหมด 5 ไร่ ตายสิกว่าจะได้กิน มันต้องแบ่งโซน มีบ่อส่วนหนึ่ง มีขนำหรือมีบ้านเล็กๆ แล้วก็ปลูกพืชสวนไม้ดอกไม้ผล ถ้าเอาข้าวอย่างเดียวน้ำท่วมขึ้นมาก็ตายแล้ว มันต้องวางแผนเยอะ ไม่ต้องไปรีบร้อน ทำยังไงให้มีกินก่อนอย่าให้อด เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ปลูกเห็ดอะไรไป
วันนี้คำว่าจนของคุณคืออะไร?

ความจนนี่คือกิเลส อย่างตอนนั้นผมเห็นอะไรก็อยากได้ ต้องการไปหมด นั่นคือความจนที่สุด ไม่รู้จักคำว่าพอแปลว่าอะไร อยากได้ไปหมด สุดท้ายจบด้วยคำว่าทุกข์ วิธีหาสุขให้เจอก็คือตัดกิเลสออกไป แต่อย่าไปเป็นแบบพระอรหันต์ เอาง่ายๆ เอาธรรมะเข้ามาเสริมแล้วตัดอะไรออกไปบ้าง อย่างเราก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี บางครั้งก็มีดื่มบ้างอะไรบ้าง คนดื่มไม่ใช่คนที่เลวนะ เราอยู่กับเพื่อน อยู่กับป่ากับธรรมชาติ ศีลเรื่องสุราเราก็เว้นไว้สักหน่อยเพื่อให้ชีวิตมันสดชื่นบ้าง บางทีจัดมินิคอนเสิร์ตก็เอาคนทางโลกมาดื่มให้เป็นบุญ ซื้อเบียร์กินกันเราก็เอากำไรไปทำบุญ เรียกว่ากินเพื่อบุญ (หัวเราะ) อย่าไปสุดโต่ง อย่าไปยึดมั่นอะไรมาก แล้วอย่าไปคิดว่าจะปลีกวิเวกแบบนี้แล้วมีความสุข มันมีความสุขได้ทุกที่
เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE