สังเกตมั้ยว่า ยิ่งสะดวกสบายทันสมัยมากเท่าไหร่ เราก็มักจะโหยหาธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้า อากาศบริสุทธิ์ และอยากเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านแบบดั้งเดิมมากขึ้นเท่านั้น เราเริ่มจะเห็นหนุ่มสาวส่วนใหญ่ออกเดินทางท่องเที่ยวกันจริงๆ จังๆ ไม่กี่ปีมานี้ แต่คาดการณ์ล่วงหน้าได้เลยว่า หลังซื้อทัวร์แบบชะโงกหน้าเที่ยว ถ่ายรูปเสร็จก็โดนต้อนขึ้นรถ ตุเลงๆ ไปอีกที่หนึ่ง เวลาไม่ค่อยพอ แต่ต้องไปเหยียบพื้นดินให้ครบโปรแกรม สิ่งที่ได้คือ รูปสวยๆ มาอัพเฟซบุ๊คไว้อวดเพื่อน บริษัทเจ้าของทัวร์ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ส่วนชาวบ้านเจ้าของพื้นที่กลับได้เพียงส่วนแบ่งเล็กน้อย
ดีไหม คนได้เงินคงบอกว่าดี แต่มันจะดีกว่านี้ไหม ถ้าเราได้มากกว่ารูปถ่าย แถมยังกระจายรายได้แก่ชุมชน คนหนุ่ม ได้อาชีพ พ่อแก่แม่เฒ่า ได้ยิ้มแก้มปริ เพราะงานหัตถกรรมเกษตรกรรมของแกได้ส่งต่อไปให้คนเมืองได้ชื่นชม วิถีของคนพื้นเมืองได้ถูกรับรู้กลายเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้รับการสานต่อ
ฟังดูออกจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่มันสามารถกลายเป็นความจริงได้ถ้าพวกเราเปลี่ยนความคิดเรื่องการเที่ยวเสียใหม่
ยิ่งตอนนี้มีภาครัฐเข้ามาช่วยผลักดันให้เกิดขึ้น อย่างองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท. ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างพื้นที่พิเศษในการท่องเที่ยวอย่างยังยืน เที่ยวอย่างไรให้เกิดความยั่งยืน เมื่อ9 ปีที่แล้วคงเป็นคำถามให้กับหลายๆ คน รวมทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน สำหรับนักท่องเที่ยวเองไม่เข้าใจว่าในการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนเป็นอย่างไร สำหรับชาวบ้านก็ยังไม่แน่ใจว่าเรามีอะไรที่จะทำให้เป็นการท่องเที่ยวได้บ้าง มันเป็นการท่องเที่ยวแบบไหนและจะเที่ยวอย่างไร แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วที่ชุมชนรอบเชียงไหม่ไนท์ซาฟารี
เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่โตเร็ว เพราะรองรับนักท่องเที่ยวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือประเพณีวัฒนธรรมของชาวล้านนา ด้วยความหลากหลายในการท่องเที่ยวของเชียงใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ นิยมเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ เป็นจุดหมายปลายทาง เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเทื่ยวชมอย่างมากมายในแต่ละปี นับได้ว่าเป็นสวนสัตว์กลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของไนท์ซาฟารีสิงคโปร์ เมื่อแรกเริ่มให้บริการในตอนเย็นจนถึงกลางคืน แต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ดอยปุยมีส่วนเชื่อมระหว่างตำบลแม่เหี๊ยะอำเภอเมืองและตำบลหนองควายอำเภอหางดง ซึ่งเป็นชุมชนคุณภาพที่คัดเลือกแล้ว บ้านไร่กองขิง หนองควาย ก็เป็นอีกเขตพื้นที่หนึ่งที่เชี่อมโยงการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น การนวดสมุนไพร การปลูกผักอินทรีย์ และส่งขายที่ไนท์ซาฟารี ทำให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในการท่องเที่ยว
คุณลุงสุรเชษธ์ ตาคำมา ผู้ใหญ่บ้านสันลมจอยแห่งดอยสุเทพ พูดด้วยรอยยิ้มอาบแก้ม “ชุมชนของเรามีความพร้อม ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชม ชุมชนก็อยู่ติดกับตีนดอย ทำให้เที่ยวได้หลายอย่าง นักท่องเที่ยวสามารถปั่นจักรยานเที่ยวชมในหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง หรือจะเดินป่าศึกษาธรรมชาติไปจนถึงทางต้นน้ำบนดอย เรามีหมู่บ้านม้ง มีวิถีการเป็นชุมชนเกษตรและอยู่ใกล้เมืองเชียงใหม่ เดินทางได้ง่าย เราสามารถที่จะเชื่อมโยงกับเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้”
ผู้ใหญ่บ้านลงทุนมาบอกขนาดนี้ เราจะช้าอยู่ไย งานนี้ภาพของชาวบ้านและหนุ่มสาวที่ได้เรียนรู้พร้อมสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตดั้งเดิมก็เป็นจริงขึ้นมาเสียที
มันจะจริงสักแค่ไหน อยากให้ลองไปดู เที่ยวทั่วไทย เที่ยวให้รู้ เที่ยวแบบบ้านๆ ไม่เพียงรูปถ่ายสวยๆ เท่านั้น แต่ที่ได้มากกว่า คือ ความอิ่มเอิบ เบิกบานใจ ที่หาซื้อไม่ได้
เอาล่ะ ปิดคอมพ์ ถอดปลั๊ก ไปเชียงใหม่ แล้วอย่าลืมเอาของฝากติดไม้ติดมือมาด้วยนะ.