ใกล้เข้ามาแล้ว สำหรับหนังอีโรติกระดับทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ อย่าง “จัน ดารา” ของหม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล ซึ่งเปิดฉายภาคปฐมบทไปเมื่อปลายปีก่อน และจะมีภาคปิดฉาก “ปัจฉิมบท” ออกมาเรียกเสียงฮือฮาในต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
สำหรับใครที่ได้ชมภาคแรก ย่อมได้สัมผัสกับความวาบหวิวกันไปแบบเต็มตาเต็มจอ โดยเฉพาอย่างยิ่ง การเปิดเปลือยในระดับที่ไม่เคยเปิดที่ไหนมาก่อนของนางเอกสาวทรงโต “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย” ซึ่งทำให้คนดูครางฮือกันทั้งโรง ในฉากที่เนินอกไร้ยกทรงอวดโฉมต่อสายตา
แน่นอนว่า ในภาคใหม่นี้ เป็นที่คาดหวังกันว่า ดาราเจ้าบทบาทที่จะมาวาดลวดลายการแสดงอย่างเต็มที่ ถึงทีของเธอคนนี้ “หญิง-รฐา โพธิ์งาม” ที่จะมาโชว์ความงามควบคู่กับความสามารถอย่างเต็มที่ ในบทของคุณบุญเลื่อง สาวใหญ่ผู้สอนเชิงรักให้กับหนุ่มรุ่นลูกอย่าง “จัน”
นอกไปจากเรื่องของเนื้อหนังมังสา “จัน ดารา” มีอะไรหลบซ่อนอยู่ มนต์เสน่ห์แห่งความหวิว ภายใต้การไดเรกต์ของหม่อยน้อย จะยังคงความขลังอยู่หรือไม่ คงต้องไปพิสูจน์กันในโรง แต่ ณ บรรทัดนี้ “หญิง-รฐา” ดาราสาวผู้จะถูกกล่าวถึงอย่างอึงคะนึงแน่นอนตอนหนังออกฉาย มีถ้อยคำบางคำที่อยากจะย้ำและแนะนำต่อคนดูผู้ชม ก่อนจะไปชมโฉมของเธอเต็มๆ ในโรงภาพยนตร์…
คุณบุญเลื่องในภาคนี้ แตกต่างจากภาคที่แล้วอย่างไรบ้าง?
ความเข้มข้นของตัวคุณบุญเลื่อง ก็คือครั้งนี้คุณบุญเลื่องจะประสบปัญหาแล้วทำให้เธอมีจุดพลิกผันของชีวิต จากคนที่เคยมีความสุขตลอดชีวิต ไม่เคยทุกข์อะไร วันหนึ่งต้องมาเจอความทุกข์ที่สุดในชีวิต ก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างนิ่งขึ้นกว่าภาคที่แล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และระยะเวลาจากภาคที่แล้วจนถึงภาคนี้คุณบุญเลื่องก็จะอายุประมาณ 40 ก็จะเป็นคนที่เรียกได้ว่าวัยกลางคนที่ค่อนข้างมีความทุกข์จากเรื่องราวที่ตัวเองได้ทำขึ้น
แล้วเรื่องราวในหนังล่ะ จะเป็นอย่างไร?
สำหรับจัน ดาราภาคนี้ เราจะเห็นจันในวัยที่เติบโตขึ้น เป็นคนที่ถูกสิ่งแวดล้อมหรือผู้ใหญ่ออกคำสั่งแล้วก็สอนให้มีความโกรธแค้น ความเคียดแค้น ถูกปลูกฝังในสิ่งที่ผิด จากภาคที่แล้วเราจะเห็นจันเป็นเด็กผู้ชายที่อ่อนต่อโลก พอเจอสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งหรือว่าเรื่องราวที่ทำให้เขาต้องออกจากบ้านไป สำหรับภาคนี้เขากลับมาทวงทุกสิ่งทุกอย่างคืนในสิ่งที่เขาควรจะได้
แต่วิธีการคือการใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือเกินความพอดี เลยทำให้คนเราเมื่อใช้อำนาจมากจนเกินไปมันทำให้สุดท้ายเราไม่เหลืออะไร ตรงนั้นก็เลยทำให้จัน ดาราในภาคนี้เข้มข้นมากทั้งในส่วนของตัวละครและตัวเรื่อง เข้มและเครียดกว่าเดิม ดังนั้น ถ้าภาคที่แล้วเป็นปั๊บปี้เลิฟ ภาคนี้น่าจะเรียกว่าเป็นภาคของความแค้น มันต่างมุมโดยสิ้นเชิง โดยภาคที่แล้วเราจะเห็นเป็นสีขาว ภาคนี้จะสีดำโดยสิ้นเชิงค่ะ มีการห้ำหั่นกันในเรื่องของอารมณ์ ซีนอารมณ์ แม้กระทั่งเลิฟซีนต่างๆ
“ลิมิตจริงๆ ของหญิงก็คงเป็น Topless คือเห็นข้างบน”
ตัวคุณบุญเลื่องเองก็มีความพลิกผันในชีวิตมากมายเหมือนกัน?
ใช่ค่ะ ก็อย่างที่พูดไว้ข้างต้น คุณบุญเลื่องเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมาตลอดชีวิต ตั้งแต่อยู่สิงคโปร์ อยู่ยุโรป ไม่เคยมีความทุกข์ใดๆ ในชีวิตเลย ดังนั้นจากภาคแรกที่คุณบุญเลื่องมองอะไรก็สดใส หัวเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส มองอะไรเป็นสีสันตลอดเวลา ภาคนี้เนี่ยสิ่งที่คุณบุญเลื่องปิดมานาน แล้วความผิดในเรื่องของการปกปิดความลับตรงนี้เนี่ย มันทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ตามมาในอนาคต เรียกได้ว่าเธอทำให้คนที่เธอรักมากที่สุดเสียใจ ดังนั้นจากคนที่ไม่เคยผิดหวังในชีวิต คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ กลับพบกับความทุกข์ที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง มันก็เลยเป็นจุดพลิกผันให้คุณบุญเลื่องในภาคนี้เจ็บและเสียใจ และทุกข์ที่สุดของที่สุด
หม่อม (หม่อมน้อย-ผู้กำกับ) บอกว่ามันทุกข์เหมือนมีคนเอามีดมากรีดที่ท้อง คือทุกข์เท่าไหร่ มีใครมาทำให้ทุกข์เท่าไหร่ ไม่เท่ากับเราทำตัวเอง แต่นี่เราทำให้คนที่เรารักมากที่สุด ต้องทุกข์ไปตลอดชีวิต ให้เขาต้องเสียใจ ให้เขาต้องไม่ประสบผลในเรื่องที่เขาต้องการ ไม่ประสบผลในเรื่องของความรัก เรายิ่งทุกข์หนัก เหมือนเราทำให้คนที่เรารักต้องเสียใจ ดังนั้น มันจึงทุกข์หนักเข้าไปอีก จากภาคแรกที่เป็นผู้หญิงสดใสร่าเริง เข้ามาในบ้านพิจิตรวานิชแล้วทุกอย่างดูสวยงาม ครั้งนี้เธออยู่ด้วยความทุกข์ อยู่ด้วยความเจ็บปวด เห็นบ้านแล้วก็ไม่ได้มีความสุขเหมือนครั้งแรกที่ก้าวเข้ามา
หลายคนอยากรู้เรื่องฉากเลิฟซีน คุณมีอะไรจะแย้มๆ ให้เราฟังบ้างไหม?
พูดถึงจัน ดารา ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของอีโรติก เพราะทั้งหมดเขาใช้เซ็กซ์เป็นสื่อในการนำเสนอเรื่องราว บอกถึงความรัก ความใคร่ การแก้แค้น ดังนั้นมันหนีไม่พ้นในเรื่องของเลิฟซีน แต่ก็อย่างที่หญิงบอก แต่ละเลิฟซีนมันก็มีความสวยงาม ดูให้งามมันก็งาม สำหรับคุณบุญเลื่องจะได้เห็นมากขึ้นจากภาคที่แล้วที่จะมีแค่ถูน้ำแข็ง ภาคนี้จะมีเลิฟซีนที่อาจถูกข่มขืนด้วย แล้วก็มีความสมยอมด้วยในบางซีน
ลิมิตจริงๆ ของหญิงก็คงเป็น Topless เท่าที่คุยกับหม่อมไว้ คือเห็นข้างบน แล้วข้างล่างก็จะมีเซฟมีอะไรบ้าง เพราะว่าจริงๆ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต แล้วก็เป็นอีโรติก เราเองก็ไม่เคยเล่นมาก่อน แล้วก็ถามตัวหญิงเอง หญิงก็รู้สึกตื่นเต้น ที่สำหรับภาคนี้ก็คงจะได้เห็นมากขึ้นในมุมเลิฟซีนหลากหลายของคุณบุญเลื่องที่มีกับหลายๆ คนในเรื่องเลย
แต่สุดท้ายยังไงมันก็คืองาน และมาถึงจุดนี้แล้ว เราก็อยากให้ออกมาดี และอยากให้ภาพออกมาสวย ซึ่งภาพทั้งหมด หม่อมเป็นคนจัดให้ทั้งหมดว่าอยากให้นอนตรงไหนอะไรยังไง ซึ่งที่ได้ดูแล้วก็ยอมรับค่ะว่าแรงที่สุดในชีวิต ก็ยังไม่เคยรับละครหรือภาพยนตร์อะไรที่แรงขนาดนี้ แล้วเราก็คิดว่า ก็คงยังไม่กล้าเล่นกับใครถ้าไม่ใช่หม่อม เพราะรู้สึกว่าหม่อมทำให้เรารู้สึกว่า พอมองแล้วมันไม่ใช่ความโป๊ มันเป็นความสวยงามจริงๆ
“คนเราจะรักคนอื่นไม่ได้เลย
ถ้าไม่รู้จักรักและเคารพตัวเองเสียก่อน”
ฉากที่ประทับใจหรืออยากพูดถึงเป็นพิเศษ?
จริงๆ สำหรับตัวหญิงเอง ถ้าชอบมากก็จะเป็นฉากจบของคุณบุญเลื่อง คือรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่หาได้ยากมากในยุคปัจจุบัน การอภัยอะไรไม่เท่าการอภัยตัวเอง ซึ่งหญิงเห็นและรู้สึกว่า นี่แหละมนุษย์มีแค่นี้เอง คือเคียดแค้นกัน เคียดแค้นคนอื่น ทำร้ายคนอื่น กดขี่ข่มเหงคนอื่น อาฆาตแค้น แก้แค้นคนอื่น สุดท้ายแล้วกว่าที่เราจะคิดได้ เราต้องรอให้ถึงวันที่สายเกินไป อย่างตัวจันถ้าเขาคิดได้ตั้งแต่ตอน 25 เวลาอีกประมาณ 30-40 ปี เขาอาจจะเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก ถ้าเขาให้อภัยตัวเองสักนิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของอดีต เรามีโอกาสที่จะสร้างวันพรุ่งนี้ แต่การยึดติดอยู่กับอะไรที่เป็นอดีตแล้วไม่ปล่อยมันออกไปสักที มันคือกรรมที่ไม่มีใครทำให้คุณได้ คุณต้องแก้ด้วยตัวเอง ด้วยการละ การให้อภัย ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยคนรอบข้าง ก็คืออโหสิกรรมในพระพุทธศาสนานั่นเอง
พอดูแล้วรู้สึกว่า คุณบุญเลื่องเธอเป็นผู้หญิงที่เข้าใจโลกมากคนหนึ่ง และพร้อมที่จะให้โอกาสคนอื่น แม้กระทั่งให้โอกาสตัวเอง แล้วทุกคำพูดของคุณบุญเลื่องมันเป็นคำสอน มันมีคำหนึ่งที่หญิงชอบมาก คือ “คนเราจะรักคนอื่นไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้จักรักและเคารพตัวเองเสียก่อน” หญิงรู้สึกว่าจริง ถ้าเราไม่รักตัวเอง ถ้าเราไม่เคารพในสิทธิของตัวเอง เราพร้อมที่จะไปรับไปแชร์ไปเผื่อแผ่ให้ใครได้ที่ไหน บางคนรู้สึกว่าการรักตัวเองคือการเห็นแก่ตัว หญิงมองว่ามันไม่ใช่ มันต่างกัน การเห็นแก่ตัวคือการที่คุณไม่รักตัวเองต่างหาก หลายๆ คำของคุณบุญเลื่อง หญิงรู้สึกว่ามันเป็นคำสอน และรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เจ๋งดี ถ้ามีโอกาสได้เจอกันจริงๆ คงดี
คุณคิดว่าอะไรคือเสน่ห์ ความน่าสนใจ และคุณค่าของภาพยนตร์ที่ผู้ชมจะได้รับ?
สำหรับ “จัน ดารา ปัจฉิมบท” เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่พลาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเนื้อหา นักแสดงที่ภาคที่แล้วเป็นยังไง ภาคนี้คุณจะลืมความสดใสของจัน ดารา ของคุณบุญเลื่องไปเลย จากคุณหลวงเองที่เคยเป็นผู้ชายที่เคียดแค้น มีอำนาจ คุณหลวงจะน่าสงสารที่สุดในภาคนี้ ซึ่งเป็นคนที่ต่อสู้ใครก็ไม่ได้ ทุกอย่างเก็บเอาไว้เพราะรักคนคนหนึ่ง รักลูกตัวเอง พร้อมที่จะเสียศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อลูกคนเดียว นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนเป็น ศักดิ์ศรีตัวเองไม่ว่า แต่ขอแค่ให้ได้อยู่กับลูก อยู่ใกล้คนที่เรารัก นี่คือคุณหลวงในภาคนี้จะพลิกไปเลยค่ะ คุณบุญเลื่องเองก็พลิก
ดังนั้น เนื้อเรื่องในภาคนี้มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ บวกกับเรื่องราวและคำสอนต่างๆ ในเรื่องนี้ที่จะสอน ทั้งในเรื่องของเซ็กซ์ที่บางครั้งอาจจะถูกใช้ในทางที่ผิดแล้วนำพามาซึ่งอะไร แล้วก็กรรมและอโหสิกรรม เรื่องนี้จะสอนให้เรารู้ว่า การทำกรรมหนึ่งครั้ง มันเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง มันไม่ใช่ว่าคุณเดินไปหยิกคนนี้คนหนึ่ง แล้วเขาเจ็บแล้วมันจะจบ คือมันไม่ใช่ คุณไปหยิกเขา เขาโมโหคุณ เขาอาจจะไปทำร้ายคนรอบๆ ข้างคุณก็ได้ ถ้าเขาไม่กล้าเดินไปต่อยตรงๆ นั่นคือนิสัยของจัน ดารา เขาทำร้ายทุกคนที่คุณหลวงรัก และการทำร้ายคนอื่นๆ สุดท้ายมันคือทำร้ายตัวเอง
ส่วนเรื่องเลิฟซีน ก็อยากให้ดูเพื่อเป็นองค์ประกอบสำหรับความเข้าใจของตัวละครว่า แต่ละตัวละครมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบไหน เลิฟซีนสำหรับคุณบุญเลื่องก็จะเยอะขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่มันเยอะขึ้นก็คือ ความเข้มข้นในเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวจัน ดารา, ตัวคุณบุญเลื่อง, ตัวคุณหลวง และคนอื่นๆ ทุกครั้งที่เล่นในปัจฉิมบทเราจะรู้สึกว่า ไม่ว่าเราจะเล่นอะไรมันจะซ้อนความรู้สึกเยอะมาก ต่อให้เป็นเคียดแค้น ต่อให้เป็นอารมณ์ดี มันซ้อนความรู้สึกเยอะมาก
ภาคแรกมันเหมือนไบรต์มากสำหรับตัวหญิง ตัวบุญเลื่องขึ้นมาก็เป็นสดใส คิดเป็นสีชมพู สีม่วง แต่ครั้งนี้คิดไม่ได้เลยว่าจะเป็นสีแบบสีเดียว คือจะเป็นเทา เป็นหม่นเป็นครามตลอด สำหรับปัจฉิมบทมันคือสีที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาวและดำ คือมันยากมากและก็สนุกมากๆ มันคือชีวิตคนจริงๆ เราจะได้เห็นแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์จริงๆ ว่าถึงเวลาที่มันจนตรอก ถึงเวลาที่เราเอาชนะใครไม่ได้ แล้วเอาชนะด้วยวิธีสกปรก สุดท้ายมันไม่ได้มีอะไรดีในชีวิตเราเลย