ในแวดวงคนชอบดูดวง เขากำลังโด่งดังอย่างถึงที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพูดพิงถึง “กลุ่มลูกค้า” ของเขาด้วยแล้ว ยิ่งต้องยอมรับว่า หมอดูผู้นี้มา “เหนือเมฆ” จริงๆ เล่าไปจะหาว่าโม้ เพราะที่ผ่านมา มีทั้งดารา คนดัง ไปจนกระทั่งไฮโซเซเลบ ต่างหิ้วกระเป๋าสตางค์ยี่ห้อหรู กรูกันเข้าไปให้เขาเช็กดวง คนแล้วคนเล่า จนทำให้เขาได้รับฉายา “หมอดูไฮไซ” ไปโดยปริยาย
“มงคล รอดเที่ยงธรรม” คือนามอันแท้จริงของหมอดูผู้นี้ เขาดูได้ทั้งไพ่และลายมือ เอกลักษณ์เด่นๆ ของเขาก็คือ ทุกคนที่ดูดวงกับเขา ไม่เพียงแค่ยอมรับในความแม่นยำจนนำไปสู่การบอกต่อ หากแต่ลีลาในการทำนายทายทักดวงชะตาที่ทำให้คน “ฟังไป ยิ้มไป” ไม่ใช่ “ฟังไป หน้านิ่วคิ้วขมวดไป” เหมือนดูกับหมออีกหลายคน ก็คือเสน่ห์อันสำคัญที่ทำให้ใครต่อใครยินยอมพร้อมใจที่จะเดินเข้าไปให้เขาตรวจดวงชีวิต
“คุณย่อมเคยตรวจดวงชีวิตตัวเอง คุณคิดว่าคุณจะตายเมื่อไหร่และอย่างไร” เราถามในเบื้องต้น เพราะฟังมาว่าเขาสามารถล่วงรู้วันตายของตัวเอง แบบเดียวกับที่พ่อของเขารู้ (และตายจริงๆ) “ผมจะตายแบบมีประโยชน์ต่อแผ่นดิน ผมเป็นโรคหัวใจตาย เพราะผมใช้ส่วนนี้มากที่สุด” พูดจบ หมอดูไฮโซแซมยิ้มนิดๆ
ทุกการกระทำ ย่อมมีความคิดเป็นแรงผลัก เขามีหลักอย่างไรในการเป็นหมอดู คนเขาว่าหมอดูคู่หมอเดา คนเขาว่ามันคือสิ่งงมงายมอมเมา และหลายคนก็พูดเหมาๆ ว่าหมอดูรายได้ดี ยกระดับตัวเองเป็นไฮโซเศรษฐีไปก็หลายหมอ แล้วหมอดูไฮโซ ไฮโซจริงไหม…สำหรับคนที่เคยชมรายการ Horo Hiso ทางเคเบิ้ลทีวีช่องบิวตี้ 23 อาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง แต่นี่คือการเปิดใจอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกบนพื้นที่สื่อสาธารณะ
ขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วอีกสักพัก ค่อยยื่นมือหรือหยิบไพ่ให้เขาทำนายคุณ…
สมัญญาเริดหรู
'หมอดูไฮโซ'
หมอทุกหมอ ย่อมมีฉายา ขึ้นอยู่กับว่าจะถนัดทางไหน ดูไพ่ ดูลายมือ หรือดูโหงวเฮ้ง และสำหรับหมอดูที่กำลังได้รับการกล่าวถึงอย่างหนาหูในทุกวันนี้อย่างอาจารย์มงคล รอดเที่ยงธรรม ก็มีสมัญญาเรียกขานกับเขาด้วยเหมือนกัน
“คำว่า หมอดูไฮโซ เพราะคนที่มาดูดวงกับเราส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มไฮโซ” หมอมงคล เริ่มต้นเล่า พร้อมกล่าวว่า อันที่จริง คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นไฮโซไฮซ้อก็มีบ้าง เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้ว เซเลบจะเรียกหาเขา เพราะว่ากันว่า เขาค่อนข้างดูแม่น และหลังจากที่เขาไปเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ฉายา “หมอดูไฮโซ” ก็ผุดโผล่ขึ้นมา พร้อมกับเป็นเครื่องหมายการค้าของเขามานับแต่นั้น
“ต้องบอกว่า ที่ผ่านมา ผมเคยไปดูดวงให้กับลูกค้าเครื่องสำอางแบรน์ดังๆ ด้วย ส่วนใหญ่ก็เป็นคนดังที่มาซื้อสินค้ากับแบรนด์ดังๆ ถึงจะได้ดูดวงกับผม” คุณหมอคนดัง เล่า อย่างพวกเซ็นทรัลเทรดดิ้ง ลอรีอัล เอลก้า พูพ่าบิวตี้ และอีกหลายแบรนด์ ศูนย์การค้าแทบจะทุกแห่งในกรุงเทพฯ ไล่ตั้งแต่เซ็นทรัล โรบินสัน แฟชั่นไอซ์แลนด์ ไปจนถึงพารากอน เหล่านี้ล้วนแต่เคยผ่านการทำนายทายทักโชคชะตาราศีของหมอดูผู้นี้มาแล้วทั้งนั้น นอกจากนั้นก็มีคนต่างประเทศ อย่างคนดังหรือพวกทางเชื้อสายกษัตริย์ทางลาว เขาก็เคยไปดูดวงให้มาแล้ว
“แต่เราไม่ได้เป็นคนโปรดอะไรนะ เราก็ปุถุชนคนธรรมดา แล้วแต่วาสนาจะพาไป”
น่าสงสัยว่าถ้าไม่ใช่ไฮโซ มาเช็กดวงตรวจดาวกับเขาแล้ว จะไฮโซขึ้นมาบ้างหรือเปล่า เราถาม
“ฉายากับชีวิตจริง มันเป็นคนละเรื่องกันครับ ฉายาเราตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ที่คนจำได้เท่านั้นเอง บวกกับคนที่มาให้เราดูดวงให้ก็เป็นคนกลุ่มๆ นี้ด้วย ชีวิตจริง ผมอาจจะโลโซด้วยซ้ำ” หมอดูยอดนิยมในสังคมไฮโซ หัวเราะร่วนให้กับคำพูดของตัวเอง
ดูดวงต้องสนุก
ปลดเปลื้องทุกข์ออกจากใจ
หลายคนที่ผ่านการดูดวงกับคุณหมอมงคลมาแล้ว ย่อมประจักษ์ชัดถึงสีสันรสชาติในการทำนายทายดวง และร้อยทั้งร้อย ล้วนกลับบ้านไปพร้อมรอยยิ้ม
“ผมเจอผู้คน ผมสามารถช่วยเหลือหรือวิเคราะห์เขาได้ แต่สุดท้ายไม่มีใครเปลี่ยนดวงตัวเองได้ การเปลี่ยนดวงตัวเองมีอยู่ไหม มี ซึ่งก็คือการปลง การพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เหมือนธรรมะ ศาสตร์หมอดูคือศาสตร์แห่งกิเลส อยากรู้ อยากเห็น แต่ศาสตร์ของธรรมะคือสอนให้คนรู้จักปล่อยวาง ลดละ
“อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นคนที่ผ่านโลกมามามาก อย่างอายุ 40-50 ปีขึ้นไป คุณอาจจะเริ่มปล่อยวางได้แล้ว แต่ถ้าเด็กเพิ่งเกิด 10ขวบ 20 ขวบ เขายังไม่เคยเจอเซ็กซ์ ไม่เคยเจออะไรเลย แต่คุณไปสอนให้เขาปล่อยวางแล้ว เป็นไปได้ยาก ผมก็จะมีลูกเล่นลูกฮา สนุกๆ เพราะคนเขาทุกข์มาหาเรา มาดูดวงส่วนมากจะทุกข์ เราจะต้องทำให้เขามีความสุขเสียก่อน เช่น ผู้หญิงบางคนไปทำแท้งมา ซึ่งในชั่วโมงนั้นมันก็เจ็บปวดอยู่แล้ว แล้วถ้าเราไปซ้ำเติมเขา บอกว่าการกระทำของเขามันผิดบาป มันเป็นกรรมเป็นเวร แล้วคนที่เคยทำผิด มันจะจารึกอยู่ในหัวใจ ความเจ็บปวดมันก็มีอยู่แล้ว เราจะทำอย่างไรให้เขาสบายใจก่อน”
กระนั้นก็ดี หมอดูไฮโซยอมรับได้กับการที่หมอดูคนไหนๆ จะทำให้คนเกรงกลัวต่อเรื่องบาปกรรม เขาไม่ได้ตัดสินว่าผิดหรือถูก หากแต่มันจะอาจจะแตกต่างจากสไตล์ของเขาก็เท่านั้นเอง
“เราพยายามจะใช้วิชาหมอดูให้คนสนุก เราไม่ซ้ำเติมใคร ส่วนหนึ่งซึ่งผมนำมาใช้เสมอก็คือหลักจิตวิทยา ถ้าคุณมั่นใจในฝีมือตัวเองอย่างเดียว คุณก็จะแข็งกระด้าง เพราะคิดว่าฉันเก่ง ฉันมีพาวเวอร์ ฉันไม่สนใจอะไรเพราะศาสตร์ฉันแน่ แต่จิตวิทยาจะทำให้คุณรู้จักพุด เช่น โลกของเราสังคมของเรา มีคนแข็ง มีคนกล้าหาญ นักรบ ทหาร ตำรวจ ทนายความ คุณไปพูดข่มเขาไม่ได้ คุณเหนื่อยตายเลย ดังนั้น การที่ใครก็ตามพยายามจะบอกว่าศาสตร์ของฉันแม่นนะ คุณต้องเชื่อ ผมว่าไม่มีทาง คุณเหนื่อยแน่นอน
“เวลาคุณเจอคนแข็ง คุณต้องรู้จักพูด และจะทำนายอย่างไรให้ตรง ให้เขารู้สึกรัก เราต้องอ่อนน้อมกับเขา แล้วถ้าเจอคนที่เขาจิตใจอ่อนแอ คนที่เขากลัวหรือกังวล คุณจะต้องเป็นหลักให้กับเขา ตรงนี้คือหลักจิตวิทยาที่หมอดูต้องมี ถ้าหมอดูมีตรงนี้จะประสบความสำเร็จ แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่สำเร็จ เพราะคุณไปงัดข้อกับผู้คน คิดว่าจะต้องบังคับให้คนอื่นเชื่อคุณให้ได้ ซึ่งผมว่ามันเหนื่อยทั้งคู่ แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย”
“อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดในชีวิตการเป็นหมอดู” เราถาม เพื่อความชัดเจน
“ผมอยากเห็นรอยยิ้มของคนที่มาดูหมอกับผม สร้างเสียงหัวเราะ” หมอดูไฮโซ ว่า “แม้เราจะให้ความหวัง แต่ต้องเป็นความหวังที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง คุณจะต้องดูเขาได้แม่นก่อน ถ้าคุณดูเขาไม่แม่น เขาก็จะรู้สึกไม่เชื่อคุณตั้งแต่แรกแล้ว แต่การดูที่ทำนายให้เขาแม่น เขาจะรู้สึกคล้อยตามคุณ และหลังจากนั้นก็ไม่ยากแล้ว”
ยอมรับได้
แม้ถูกว่างมงายไร้สาระ
อาจถือเป็นเรื่องปกติของคนที่เดินทางสายนี้ ซึ่งย่อมต้องต่อยตีกับความคิดความเชื่อของผู้คน “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าสนามบิน” คือวลีระดับตำนานที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวไว้ อาชีพหมอดู หลายคนก็ว่าคู่กับการคาดเดา และจำนวนไม่น้อยที่คอยว่า “งมงายไร้สาระ”
“หมอดูทุกคนต้องโดนอยู่แล้ว แต่เส้นทางที่จะมีความสุขทางด้านจิตใจนี่สิ ที่คุณต้องมีจิตวิทยาเยียวยาตนเอง หมอดุทุกคนโดนหมด ไม่ใช่ว่าผมไม่โดน เพียงแต่ถ้าคุณเป็นคนดี เป็นของจริง คาวมสุขต้องมาหา แล้วคนเขาก็รักคุณเอง แต่ถ้ามีคนว่าเรา เราก็ต้องยิ้มรับ จะไปโกรธเกลียดเขาไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิของเขา เราเรียนมาด้านนี้ ต้องยอมรับให้ได้ก่อน พอยอมรับได้ จิตใจคุณจะเป็นสุข ที่ผมบอกว่าวาสนาหมอดูไม่เท่ากัน บางคนได้แค่ระดับท้องถิ่น บางคนตำบล บางคนโด่งดังระดับจังหวัด บางคนได้ทั้งประเทศ บางคนได้ทั้งโลก”
หมอดูที่ดี
ต้องมีจรรยาบรรณ
ในบรรดาหมอดูที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแจ้งเกิดขึ้นมา ท่ามกลางสังคมอุดมความเชื่ออย่างบ้านเรา หมอมงคลออกความเห็นว่า สิ่งที่หมอทุกคนจะต้องมีก็คือจรรยาบรรณ ไม่มอมเมาผู้คนหรือเห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง
“ศาสตร์หมอดู มันก็เป็นศาสตร์เป็นตำราอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่นิสัยของคนที่นำมาใช้นั่งต่างหากคือเครื่องชี้วัด ถ้าคุณสร้างจุดขายผิด อย่างเช่น ขายเรื่องผีเรื่องลี้ลับมากเกินไป ก็จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด สับสนไปเลย หมอดูบางคนเน้นอวิชชา ขายแต่สิ่งลี้ลับ ผี วิญญาณ คนก็เลยเชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณ เดือดร้อนถึงศพในป่าช้า เพราะจะต้องถูกไปขุดออกมา วุ่นวายไปหมด
“ดังนั้น ผมว่าคนที่เป็นหมอดูจะต้องมีวิชชา มีความรู้ที่ดี และที่สำคัญจะต้องรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับสังคมบ้าง มองบริบทของสังคมว่าผู้คนเขาเจ็บปวดกับเรื่องอะไรและกำลังต้องการอะไร อย่างประเทศเรา ผู้คนผิดพลาดด้วยเรื่องการพนันเยอะ ผมก็ไม่สนับสนุน ผมเป็นหมอดูที่ไม่บอกให้ใครไปเล่นการพนัน ไม่ว่าพนันบอลหรือเล่นหวย เพราะผมรู้ว่าประชากรเราอ่อนแอกับเรื่องเหล่านี้ แต่บางคนไม่ใช่ พอได้วิชาดูตำรามา ก็พยายามใช้ตำราคิดค้นวิชาหวย ให้คนมัวเมา ผู้บริโภคซึ่งหมายถึงประชาชนก็ยิ่งย่ำแย่กันไปใหญ่”
เงินคือผลพลอยได้
แต่กำไรคือ “ใจที่เป็นสุข”
อย่างที่ทุกคนคงรู้ว่า อาชีพหมอดู ถูกทำให้กลายเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ หมอดูหลายคนสร้างรายได้มหาศาลจนเข้าขั้นเศรษฐี แต่อาจารย์มงคลบอกว่า นั่นคงไม่ใช่สำหรับเขา เพราะถึงจะมีคำว่า “ไฮโซ” ห้อยท้าย แต่ชีวิตจริงๆ ก็ไม่ได้หรูหราไฮโซหรือมั่งคั่งร่ำรวยอะไร
“ผมเป็นหมอดูที่ไม่มีหน้าร้าน ลูกค้าที่จะมาดูหมอกับผม ต้องโทรศัพท์มาจอง ไม่ใช่ผมหยิ่งนะ ผมอาจจะเป็นเหมือนติสต์ ศิลปิน ผมไม่ชอบรองาน คือถ้าไม่มีงาน ผมก็นอน (ยิ้ม) ผมไม่เปิดร้าน เพราะการเปิดร้านมันจะทำให้เกิดภาระมาก ต้องหาเงินเยอะ เมื่อเรามีภาระมาก คนที่มาดูก็อาจจะต้องจ่ายเพิ่มจากตอนนี้ไปอีกสองเท่า เราไม่มีร้าน ไม่ต้องแบก บางทีคนเขาให้เรา 100 บาท เราก็พอใจ หรือไม่ให้เราก็ได้ เพราะเราไม่มีอะไรต้องแบก”
กำไรสูงสุดในชีวิตของหมอดูไฮโซ จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน เพราะเขาบอกว่า มันคือการได้เห็นคนมีความสุขกลับไป หลังจากที่ได้ดูดวงกับเขา
“คนที่เป็นหมอดูจริงๆ จะไม่รวย เพราะความสงสารจะมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่อาชีพหมอดูอย่างเดียวนะ ทุกอาชีพในโลกนี้มีทั้งคนดีคนไม่ดี คนดีคือคนใจบุญ คนใจบุญหมดตัวทั้งนั้น ก้าวแรกที่ออกจากบ้านก็สงสารแล้ว คนดีจะไม่รวย แต่ถามว่า คนดีที่รวยก็มี เพราะคนเขารักเยอะ ถ้าคนรักทั้งประเทศ มาอุดหนุนเขา มีมาแค่คนละบาท ก็รวยได้แล้ว แต่คนดีที่เขารวย เขาจะไม่เอาเปรียบสังคม จะคืนสู่สังคมอยู่ดี
“แต่คนที่บอกว่าหมอดูที่รวยส่วนใหญ่คือหมอดูมาร์เก็ตติ้ง ของผมไม่ทำซีดี ไม่ดูดวงทางเบอร์โทรศัพท์อย่างพวก 1900 ผมใช้แรงล้วนๆ วันหนึ่งดูสิบคนก็หมดแรงแล้ว ไม่รวย แต่พออยู่พอกิน ผมถือคติว่า ผมอยากมีความสุขไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ทางหนึ่งที่ทำได้ก็คือไม่เอาเปรียบคน การที่เราเกิดมาทั้งที ก่อนที่จะตายไป เราจะทำประโยชน์อะไรให้แผ่นดินของเราบ้าง สำหรับตัวผม คงไม่สามารถมีอะไรให้ นอกไปจากสิ่งที่ตัวเองถนัด ส่วนเรื่องเงิน ถ้าคนเขารักคุณ คุณจะทำอะไร เขาก็ซื้อ ถ้าเขารัก จริงๆ ก็ทุกอาชีพนั่นแหละครับ ข้อสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราจะคืนให้สังคมได้อย่างไรนั่นต่างหาก และสำหรับผมก็คือการได้ทำให้คนมีรอยยิ้มที่พร้อมจะต่อสู้กับชีวิตต่อไป”