ผ่าหัวใจร็อกๆ ของโจ๊ก โซคูล ผู้ได้รับการเรียกขานอย่างชื่นชมและความนิยมของแฟนคลับว่า “บร๊ะเจ้าโจ๊ก” กับโลกแห่งความเป็นพ่อ หลายคนอาจจะล้อแบบขำๆ ว่า ลักษณะท่าทางของเขาจะเลี้ยงลูกอย่างไรหนอ หรือเป็นพ่อแบบไหนกันนะ นี่คือการเปิดเปลือยหัวใจพ่อร็อกๆ แบบเต็มๆ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์!!
“พลัง” อันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับ
“ความรับผิดชอบ” อันใหญ่ยิ่ง
“ทุกคนควรจะต้องดูแลลูกตัวเองให้มากๆ” เขาเปรย ก่อนจะเผยความเป็น “พ่อ” ในแบบฉบับของ “บร๊ะเจ้าโจ๊ก”
“ผมไม่ได้ไปสั่งใครเขานะ อันนี้คือแนวคิดของผม ถ้าผมจะทำอย่างนั้น คือลูกควรจะมีวุฒิภาวะโตพอแล้ว ผมถึงจะไม่อยู่บ้านได้ แต่ยกเว้นสำหรับคนที่ต้องทำงานเยอะๆ แบบไม่มีวันหยุดเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เพราะฐานะทางการเงินไม่สู้ดี ในขณะที่ลูกก็ยังเล็กๆ ตรงนี้ก็เข้าใจ อันนี้ลูกควรจะเข้าใจด้วย ถ้าอยากเรียนสูงๆ ต้องให้พ่อไปทำงานทุกวัน ซึ่งบังเอิญว่าผมอยู่ในครอบครัวที่เลือกได้ ดังนั้นตัวผมจึงยึดหลักการนี้เป็นแนวทาง คือ เราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร เราต้องรู้ว่าเราทำอะไร ทำงานเยอะไปไหม เพื่อความจำเป็นแค่ไหน ซึ่งด้วยความจำเป็นแล้ว ผมจึงจัดตารางงานขึ้นมา”
แต่กระนั้นด้วยความเป็นมหาชนคนบันเทิง ทั้งในฐานะนักแสดง และฐานะนักร้อง ที่แม้จะแบ่งสันปันส่วนให้อย่างละเท่าๆ กันอย่างไร ก็ไม่มีวี่แววว่าจะลงตัวด้วยดีสักครั้งหนึ่งตามที่คิดไว้
“ใช่ครับ…ผมตัดงานไปอื้อเลย ผมไม่เคยเล่าให้เพื่อนฟังด้วยซ้ำว่า ตัดไปเยอะขนาดไหน อย่างบางทีคอนเสิร์ตไปได้ไม่ครบวง ขาดผม ผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนจะเข้าใจเราหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เพื่อนแทบไม่รู้เลยว่าบางทีงานเดียวของตัวผมเอง ผมยกเลิก ผมไม่ไป ไม่เอา ไม่ไปญี่ปุ่น ไม่ไปสิงคโปร์ คือถ้าจิตไม่นิ่งจริงๆ มีความโลภขึ้นมา บ้านแตกนะ เพราะถ้าคนอยากได้เงินเยอะๆ มันก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้
“ยกตัวอย่างล่าสุด มีมาเสนอให้ผม รายการหนึ่ง เขาบอกว่า 20 คิว 5 แสนบาท เอาเงินมาพูดก่อนเลย คือเอาเงินมากางก่อน คุณมาแค่ 20 ครั้ง คุณเลือกวันได้ ผมก็ดูคิวดูเสร็จคิดเลย ถ้ารับไอ้นี้โซคูลซวยล่ะ เพราะมันจะรับคอนเสิร์ตยาก ผมก็แคนเซิล เพื่อนก็ไม่รู้ นี้ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า ผมเอาครอบครัวมากกว่างาน แต่ว่าพอกางคิวออกมามันก็ยังดูเยอะอยู่ดี
“จริงๆ แล้ว ไลฟ์สไตล์ของผมก็เปลี่ยนทิศค่อนข้างเยอะ ไม่ใช่แค่ผม ภรรยาผมก็เปลี่ยน แม้ว่าผมยังรัก ร็อก แอนด์ โรล อยู่เหมือนเดิม รักโซคูล เหมือนเดิม รักดนตรีเหมือนเดิม แต่รูปแบบชีวิตทำให้ผมกลายเป็นนกที่คอยโอบปีก ปกป้องลูกๆ อยากอยู่บ้านเยอะๆ”
ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้โจ๊กเอ่ยปากยอมรับว่า ตัวเขาเองเป็นพ่อที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ตัวเขาเองคิด แม้ตัวเขาเองจะทำทุกอย่างเวลาอยู่บ้าน ทั้งเปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดอึ อาบน้ำเช้า-เย็น ป้อนข้าว ส่งเข้าโรงเรียน เรียกได้ว่า 24 ชั่วโมง ก็ตามที
“ผมทำได้น้อยกว่าที่ตัวเองคิดไว้ คือผมเป็นคนรักเด็กมาก ไม่ว่าลูกของน้าหรือว่าลูกของญาติคนใด ผมซื้อของเล่นให้หมด ถึงขนาดกร่างไว้เลยว่า ถ้าวันหนึ่งมีลูกของตัวเอง ผมจะต้องเป็นพ่อที่แบบสุดยอด (หัวเราะ) ซึ่งผมยังทำได้ไม่ดีเท่าคุณพ่อของผมครับ ท่านเป็นต้นแบบของพ่อที่เพอร์เฟกต์ ลักษณะของพ่อที่ดีต้องไม่ข่มลูก แล้วเด็กจะฉลาด เด็กจะมั่นใจในตัวเอง กล้าแสดงออก กล้าปรึกษาพ่อ เพราะกำแพงมันน้อย พ่อผมเขาจะยิ้มๆ รับฟัง ไม่ดุมาก นานๆ ดุที เฉพาะเรื่องที่จำเป็น
“ซึ่งพ่อผมเป็นทหาร แต่ตัวผมเองเป็นหนุ่มวงร็อก ทำให้มีความก้าวร้าวสูง บางทียังเผลอตะคอกใส่ลูก เพราะคิดว่าทำได้ ลูกทำผิดจะได้กลัว ทั้งที่จริงผมเลี้ยงลูก ผมมีความอบอุ่นให้อย่างดีมาก แต่อยู่ดีๆ โมโหขึ้นมาแล้วยังมีเสียง มีความรุนแรงออกมาทางคำพูด อันนี้ก็ต้องปรับ ซึ่งพอนึกถึงพ่อผมแล้ว ดีกว่าผมเยอะ ท่านมีความสุภาพ มีความกลั่นกรอง มีวุฒิภาวะมากกว่า”
“แต่เชื่อเถอะว่า ในอนาคตผมก็พัฒนาไปเรื่อยๆ อยู่ในจุดที่ไม่น่าเป็นห่วงมาก (หัวเราะ) เพราะผมว่าพ่อแม่ทุกคนถ้าไม่โกรธจริงๆ ไม่ทำแน่ๆ มันจะเป็นแวบเดียว สุดท้ายก็รักเหลือใจ”
ตลกไว้ก่อน พ่อ(โจ๊ก)สอนไว้
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และมุกตลกของชายผู้นี้ คงจะพลอยให้คนคิดต่อยอดออกดอกไปไม่น้อย เมื่อเอ่ยถึง “บร๊ะเจ้าโจ๊ก” ในฐานะพ่อ ที่ดูทีเล่นทีจริงตามที่เราพบเห็นเขาปรากฏตัวในสื่อต่างๆ จนเผลอค่อนขอดคิดว่า “ลูกจะออกมาเป็นเช่นไรหากมีพ่อเยี่ยงนี้”
“ผมจะเน้นเล่นด้วยแหละ เพราะผมรู้สึกว่าผมเหมือนมีอีโก้ เห็นเด็กตั้งใจเรียนมากไปแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา (หัวเราะ) มีความรู้สึกว่ามันจะตายเอาอ่ะ คนเรา การที่จะมาบอกว่าความสำเร็จของชีวิตคือการศึกษา ใบปริญญาบัตร คือชีวิตที่สมบูรณ์ มันไม่ใช่ แต่จริงๆ มันก็ดี มันก็ควรมี แต่มันไม่ใช่ทุกอย่าง บางคนเรียนๆ ไปป่วยตาย ชีวิตคืออะไร ดังนั้นผมจะเน้นว่าต้องมีความสุข แล้วก็เรียนควบคู่กันไป”
“แต่ก็เหมือนพ่อแม่หลายๆ คนนะ ไม่ว่าจะจน ไม่ฉลาด หรือว่าไม่เก่ง เขาจะทำเหมือนกันหมดทั่วโลก คือส่งลูกไปเรียนในที่ดีๆ ให้สังคมดีๆ กับลูกผมกับภรรยาก็เช่นเดียวกัน สำหรับผม ผมส่งลูกไปเรียนปูพื้นฐาน ตั้งแต่อนุบาล เป็นโรงเรียนอนุบาลที่ดีที่สุดในแถวนั้น แล้วก็ทำให้รู้ว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญสุดๆ เขาวิเคราะห์กันมาเลยว่า การเรียนอนุบาลมีความสำคัญไม่แพ้การเรียนระดับมหาวิทยาลัย หรือระดับมัธยมเลย เผลอๆ สำคัญมากกว่าอีก เพราะมันเป็นการปูพื้นฐานที่สำคัญ
“ดังนั้นลูกของผมตอนนี้เรียนไปแค่ปีเดียว พัฒนาการแบบมหัศจรรย์กว่าตอนอยู่กับพ่อแม่อีก (หัวเราะ) คือไอ้ตอนก่อนเข้าโรงเรียนยังพูดไม่ค่อยได้เลย ตอนนี้เป็นนกแก้วนกขุนทองแล้ว มีพัฒนาการดีมาก”
ฟังดูแล้วเหมือนไม่มีแบบแผนที่ตายตัวหรือความคาดหวังใดๆ เราจึงจำเป็นต้องถามเพื่อความกระจ่างชัด ว่า “ต้องการให้ลูกเป็นอย่างไร”
“เหมือนพ่อผมครับ มีแนวทาง แต่ไม่บังคับ อย่างเมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมจะเป็นคนที่วาดการ์ตูนเก่งมาก ผมถามแม่ว่าโตไปผมจะเป็นอะไร ซึ่งจริงๆ ในใจอยากให้แม่บอกเราว่านักวาดภาพ แต่แม่ผมไม่ เพราะมันเสี่ยงไม่ได้ตังค์ไง แม่ก็เลยบอกผมว่า วาดรูปเก่งต้องเป็นสถาปนิกลูก อันนี้คือแม่ ส่วนพ่อเขาจะให้อิสระมาก พอเขารู้ว่าผมชอบการ์ตูนปุ๊บ ท่านไปซื้อพู่กัน กระดาษ มาให้เลย สุดท้ายผมก็เลิกวาด พอเขาเห็นว่าเรียนแย่ พ่อก็รีบฉวยโอกาสตอนที่สนใจดนตรี หากีตาร์ หาเวที ให้ผม เพราะเขารู้ว่าผมเรียนไม่น่าจะรอดแล้ว เขาก็แบบส่งเสริมจนมาเป็นโจ๊ก โซคูล อย่างทุกวันนี้
“ดังนั้น ลูกผมก็เหมือนกัน ตอนนี้ผมเห็นแววว่าเขาเป็นคนเอนเตอร์เทน เป็นคนที่เกิดมาเพื่อเอนเตอร์เทน น่าจะเหมาะกับวงการบันเทิง ผมก็จะชี้ทางว่า ถ้ามาทางนี้สนุกนะลูก (หัวเราะ) แต่ถ้าไม่เดินมา เขาเกิดอยากรักษาคนเจ็บไข้ ผมก็จะทำเหมือนพ่อผม ส่งเรียนดอกเตอร์ ส่งเรียนในสาขาที่เขาชอบ มันจะเป็นอย่างนั้น คงไม่เป็นแพตเทิร์นหรอก”
เหนือสิ่งอื่นใดโจ๊กบอกอีกว่า แม้การที่เขาเป็นคุณพ่อที่ห่างไกลจากความคิดคุณพ่อต้นแบบของเขานั้น กลับไม่ทำให้ลูกๆ ขาดความอบอุ่นแม้แต่น้อย ทว่ากลับยิ่งถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์ได้ด้วย “ภรรยา” ผู้เป็นดั่งช่างเชื่อมรอยโหว่นี้ จนเขาไม่รู้สึกว่า การมีพ่อแบบเขาจะทำให้ลูกไม่ได้รับความอบอุ่น
“ผมจะเป็นพ่อที่ให้ความอบอุ่นกับลูกมาก และลูกก็ติดผมมากด้วย เวลาเล่นกับลูกๆ ผมมักจะคิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ เสมอ ว่าเราอยากเล่นอะไร บ้านผ้าห่ม หรือว่า เอาที่นอนมากั้นเป็นกำแพงให้แม่เขาเป็นปีศาจ ดังนั้นลูกผมจะได้รับความเฮฮาจากผมไปแบบอบอุ่นเลย แล้วก็จะได้ความมีระเบียบวินัย การศึกษาจากแม่เขาอีก เพราะอย่างที่ผมบอก ผมให้ความอบอุ่นได้เต็มมาก แต่ทฤษฎีผมแย่มากกก ดูทีวี ก็ปล่อยให้ดูจนเพลิน ไม่มีจำกัดเวลา ไม่มีลิมิต ภรรยาผมก็จะมาคอยบอกคอยเตือน
“โอ้ว…,มันเติมกันแบบสมบูรณ์มาก สองผัวเมียไม่เหมือนกัน ทำให้ลูกเป็นผู้ที่ได้รับความโชคดีตรงนั้น เทียบเท่ากับครอบครัวที่ผมได้รับมาเลยก็ว่าได้”
ผมไม่ใช่ “บร๊ะเจ้า” แต่ผมคือ “โจ๊ก โซคูล”
นิยามคำว่า “พ่อ” เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความเข้มแข็ง และเชื่อว่ายามใดที่เราไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นสู้ คำว่า “พ่อ” คือบ่อเกิดแห่งขุมพลัง แม้จะเป็นด้านแข็งกระด้างก็ตาม แต่ถึงกระนั้นคงไม่มีพ่อแม่คนใดเห็นลูกเจ็บโดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้เลย แม้แต่บร๊ะเจ้าโจ๊กโซคูลเองก็ตามที
“ช็อก” คือคำแรกที่โจ๊กเอ่ยออกมาโดยทิ้งท้ายลมหายใจพร้อมกับเบือนหน้าหนี ก่อนจะบอกว่า “เป็นลูกนี้ไม่ต้องเห็นหน้าก็รัก แล้วพอรู้ว่าลิ้นหัวใจรั่วก็ยิ่งช็อก…แต่มันยังไม่พีคมาก เพราะว่าเรายังไม่ผูกผัน หน้าตาก็ยังหยี่ๆ ทารกอ่ะ แต่มันก็รู้สึกเจ็บรู้สึกทรมานใจ แต่ก็ไม่เท่ากับตรงที่เขาโตขึ้นเรื่อยๆ เริ่มอุ้มได้ เริ่มตัวใหญ่ขึ้น คือมันจะเริ่มผูกพัน แต่อาการเขาไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง แล้วหมอก็บอกว่ามันอันตรายอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องผ่า ต้องอะไร ตายไหม มีอาการอย่างไร หนักหรือเบา คือแทนที่จะเจ็บน้อยลง มันกลายเป็นเจ็บมากขึ้นๆ แล้วเราก็รู้ว่าเขาเสี่ยง ขณะเดียวกันเราก็รักเขามากขึ้น แต่โรคก็ยังไม่หาย มันกลายเป็นว่าเราเจ็บไปเรื่อยๆ”
“จนลูกนี่แหละที่ทำให้เราหายเจ็บ เพราะเขาอยู่บ้านเขาไม่แสดงอาการเจ็บป่วยอะไรเลย เขาเหมือนเด็กทั่วไป จนทำให้เราลืมว่าเขาป่วย เราก็มีชีวิตปรกติ” โจ๊ก เอ่ยติดตลกตามนิสัย แต่เนื้อแท้ข้างในเขาบอกว่า เมื่อถึงเวลานัดตามแพทย์สั่ง เขาจะรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้ยินอาการของลูก
“ที่แปล๊บเลยคือ เขาเป็นเรื้อรัง พอโตขึ้น เริ่มอุ้มได้ เริ่มใหญ่ขึ้น มันก็เริ่มผูกพัน ตอนไปโรงพยาบาลหมอตรวจเสร็จ หมอก็จะยืนยันว่า รูมันเสียงดังนะ มันยังไม่เล็กลง เราก็รู้สึกแย่ แต่พอกลับบ้านไปเขาก็เป็นแบบเดิม คือลูกทำให้เราลืม
“จนสุดท้าย รูเล็กลง ผมก็เฮ้ยๆ เล็กลงมี่สิทธิปิด แต่ก็ฟันธงไม่ได้ เพราะมันเล็กลงนิดเดียว ก็ตรวจไปเรื่อยๆ มันก็เล็กลงอีกๆ คือความรู้สึกตอนนั้น ความเจ็บที่เรื้อรังของเรามันก็ค่อยๆ เจ็บน้อยลงๆ พูดง่ายๆ ความเจ็บของพ่อแม่เล็กตามรูหัวใจลูก“
“แล้ววันนั้นของผมก็มาถึง” โจ๊กบอกอีกว่า ในเวลาวิกฤตนั้นถือได้ว่าเป็นความรู้สึกที่สุด เกินกว่าจะหาคำใดบรรยายอธิบายความเจ็บปวด
“สุดยอด…วันนั้นเป็นวันที่แบบ อื้อหือ แต่ผมเชื่อว่าอรรถรสแค่นี้ยังไม่เท่ากับพ่อแม่หลายๆ คนที่มีลูกป่วย ของผมเป็นโรคร้ายแรงก็จริง แต่เหมือนนิทานที่จบ จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เราก็ไม่อยากเจ็บไปกว่านี้หรอกนะ เราก็ขอบคุณสวรรค์ แต่สิ่งนี้เองที่ทำให้เราคิดถึงคนอื่นเลย คือคนที่เขาจบแบบไม่แฮปปี้เอนดิ้งเหมือนเรา คนเป็นพ่อเป็นแม่นี่เจ็บกว่าลูกจริงๆ”
และถึงอย่างนั้น เด็กวัยรุ่นอย่างเราก็มักจะคอยตั้งคำถามว่า การมีลูกมันเป็นอย่างไร? รู้สึกอย่างไร?
“มันเล่าไม่ได้ ความรู้สึกรักลูกเป็นอย่างไรมันเล่าไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่านึกภาพอย่างนี้แล้วกัน ตอนเด็กๆ พ่อแม่มาห่มผ้าให้เรา บอกเราว่าหนาวนะลูก ห่มผ้าเดี๋ยวเป็นหวัด พอพ่อแม่หันหลังเราถีบผ้าห่มออก
“แต่วันนี้เราเข้าใจแล้ว ไอ้การที่ได้เป็นคนห่มผ้ามันคิดอะไร มันน่ารำคาญมากไหมไอ้ตอนที่เราโดยห่มผ้า นั่นแหละครับ วันหนึ่งคุณเป็นพ่อเป็นแม่ คุณจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ASTV ผู้จัดการ และอินสตาแกรม โจ๊ก โซคูล