“…Respect My Vote ได้ แต่กลับไม่ Respect ประเทศชาติของตัวเอง ไม่ Respect ความเสียหายที่จะตามมาหลังเลือกตั้ง??! ไม่ Respect ในหัวใจของมวลมหาประชาชนที่ถูกลอบยิง ลอบปาระเบิด จนบาดเจ็บ-เสียชีวิต ไม่ Respect เลือดเนื้อของบรรพบุรุษไทยที่เสียสละชีวิต แลกแผ่นดินมา ไม่ Respect ในสำนึกของพี่น้องคนไทยที่ “ตื่นรู้” และ “เสียสละ” เดินหน้าขับไล่ “ระบอบทรราช” หวัง “ปฏิรูปประเทศ” เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมระยะยาว การ Respect My Vote จึงเป็นการ “Respect ที่สุดจะกระแดะ!” ถ้าไม่ใช่ “คนโลกสวย” จนเข้าขั้นโง่ไปเลย ก็เป็น “แดงแฝง แดงอีแอบ แดงชุบแป้งทอด” ที่ดันแต่ให้ “เลือกตั้ง” เพราะกลัวการ “ปฏิรูปประเทศ” จะไปลดทอนอำนาจและหยุดการ “คอร์รัปชั่น” ที่กัดกินประเทศชาติและแผ่นดิน ของตนเองมาช้านาน…”
ตัวหนังสือหลากหลายในหนึ่งย่อหน้าที่เราหยิบยกมาให้คุณได้อ่านในบรรทัดข้างต้น ทั้งหมดนั้น คือถ้อยคำจากหน้ากระดานบนไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งใช้ชื่อเรียกตัวเองว่า Jack Russel-th อันที่จริง มันไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นแปลกประหลาดอันใดที่ใครต่อใครจะลุกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นหรือกระทั่งเอะอะโวยวายต่อความเป็นไปของบ้านเมืองในยุคที่สถานการณ์ของประเทศก้าวสู่เขตร้อนระอุอย่างที่เป็นอยู่
แล้วอะไร ทำให้เราสนใจในคนคนนี้?
ตอบแบบสมาร์ทเลดี้แอนด์เจนเทิ่ลแมน ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า เพราะแจ๊ค รัสเซล ไทยแลนด์ คือหัวเรือใหญ่แห่งค่ายเพลงเล็กๆ อย่าง “คลาสส์ซี่ เรคคอร์ดส์” และเป็นแจ๊ค รัสเซล ผู้นี้อีกนั่นแหละซึ่งผู้คนในแวดวงดนตรีบ้านเรารู้จักกันดีในนามของ “ป๊อก-ทวิษย์ชญะ ตั้งสหะรังษี” ผู้คลุกคลีตีโมงอยู่ในวงการนี้มานานกว่า 20 ปี และมีผลงานด้านการแต่งเพลงมาแล้วมากมาย แต่ไม่ว่าจะใช้นามจริงหรือนามแฝงในการแต่งเพลง สิ่งหนึ่งซึ่งชายผู้นี้ไม่มีกั๊กหรือแอบรักแอบชังเลยก็คือ จุดยืน ซึ่งแสดงออกมาแบบเปิดหน้าให้เห็น เด่นๆ ชัดๆ
ในยุคสมัยที่เขาใช้คำว่า “ล้าหลัง” กับคนที่ยังไม่กล้าประกาศตัวเรื่องความคิดความเชื่อทางการเมือง เขาคือหนึ่งในเจ้าของธุรกิจผู้ไม่ผูกติดอยู่กับความกลัว ตัวตนความคิดของเขาเป็นอย่างไร ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้วจะทำให้ใครสักคนชักดิ้นชักงอหรือล้มตายทางธุรกิจจริงไหม เชื่อว่าทุกถ้อยคำถัดจากนี้ คงมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วในตัวเอง…
คำถามพื้นฐานเลย เพราะอะไรคุณถึงแสดงจุดยืนทางการเมืองชัดเจนมากขนาดนั้น
มันเป็นยุคที่ควรต้องออก และความจริง เราก็ออกตัวตั้งแต่แรกๆ ที่เปิดค่ายแล้ว และพอเปิดแฟนเพจ เราก็ประกาศบอกไปชัดเจนว่า คลาสส์ซี่ เรคคอร์ด เป็นบริษัททำเพลงก็จริง แต่เราก็เป็นประชาชน หน้าที่การงานก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าไอ้หน้าที่ของความเป็นคนหรือเป็นประชาชน สำคัญกว่า ถ้าขาดตกหน้าที่แบบนี้ไป การทำงานมันก็จะไม่สมบูรณ์ และประเด็นเรื่องบ้านเมืองก็เป็นหนึ่งหัวข้อการประชุมของเราทุกครั้ง เรามักจะบอกให้ทุกคนในบริษัท กล้าที่จะแสดงจุดยืนให้ชัดๆ เป็นศิลปินมันต้องเป็นคนที่นำคน ไม่ใช่หดหัว ไม่กล้านำไปทำในสิ่งที่ดี อย่างนี้ ถึงเป็นศิลปินไป มันก็ไม่เกิดประโยชน์เต็มที่
ศิลปินทุกคนในค่าย ก็จะเขียนเฟซบุ๊คกันเรื่อยๆ แล้วก็มีเรื่องการเมืองอยู่ในนั้นด้วยบ้าง ตรงไปตรงมาชัดเจน ซึ่งมันก็มีทั้งคนที่ไลค์แฟนเพจอยู่แล้ว หายไปเลย บางทีหายไปเป็นร้อย เราก็จะบอกน้องๆ ศิลปินว่าไม่ต้องตกใจ สิ่งที่หายไป คือสิ่งที่ไม่ใช่ แต่สิ่งที่จะกลับมามันเยอะกว่านั้น เพราะคนเราถ้ารักกันที่ทัศนคติหรือรักกันที่วิธีคิด มันจะรักกันตลอดชีวิต มันจะไม่ได้รักกันแบบเปลือกรูปกาย เพราะมันรักไปถึงข้างในสมอง คนเขาโหยหาสิ่งเหล่านี้อยู่ เราควรจะเป็นตัวที่ขับเคลื่อน ไม่ใช่เป็นตัวตามหรือคอยสอดส่องดูว่า เฮ้ย พร้อมหรือยังวะ ค่ายนั้นเอาหรือยังวะ กูจะได้เอาบ้าง อย่างนั้นไม่ใช่เรา
ผมมีความเชื่อว่าเรื่องบ้านเมือง เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องใส่ใจ ละเลยไม่ได้ ไม่ว่าจะอาชีพอะไร แล้วยิ่งเราเป็นศิลปิน เราสามารถจะนำคนได้ เราก็ควรจะต้องตามข่าว ถ้าไม่ตามข่าว เราก็ไม่มีข้อมูล ไม่มีภูมิความรู้ เราถึงบอกกับน้องๆ ว่า ถ้าเราอยากจะเขียนทัศนะ คุณจะต้องมีความรู้ด้วยว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกที่ผิด ถ้ายังไม่รู้ ยังไม่มั่นใจ อย่าเขียน ฉะนั้น ทุกคนก็จะมีการบ้านที่ต้องตามข่าว เช็คข้อมูล และ 7 ถึง 10 เรื่องที่จะเขียนลงเฟซบุ๊ก ก็ขอให้เป็น 3-4 เรื่องที่เกี่ยวกับสังคมการเมืองบ้างก็ดี แต่ผมก็จะไม่บังคับใจใคร ที่สุดก็แล้วแต่ใจของเขาเอง
เห็นว่าทุกคนในค่ายต้องมีเพลงเพื่อในหลวงด้วยอย่างน้อยคนละหนึ่งเพลง
คือต้องเล่าให้ฟังอย่างนี้ครับว่า คลาสส์ซี่ฯ เริ่มเปิดเฟสบุ๊คปลายปี 2553 เราก็ถือวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันเปิดจอง อัลบัมแรก (Love in the Light Lines) ซึ่งเป็นการเปิดตัวค่าย เพราะฉะนั้น วันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันพ่อก็จะเป็นวันเกิดของค่ายด้วย เราถือเอาเป็นมงคลให้กับค่าย เพราะค่ายเรา ทุกอัลบัมต้องมีเพลงแต่งขึ้นให้ในหลวงหนึ่งเพลง เป็นกติกา ศิลปินคนไหนก็ตามที่จะทำอัลบัมกับเรา ไม่ว่าคุณจะเป็นแนวดนตรีแบบไหน คุณจะต้องมีเพลงที่แต่งเกี่ยวกับพ่อหนึ่งเพลง
ถามว่าทำไมต้องมีเพลงอย่างนั้น หลายคนเคยบ่นว่าผมคิดให้มันยากทำไม ผมบอกไม่ได้ยากขึ้นหรอก แต่มันเป็นการทำให้สำนึกคุณได้เคลื่อนไหว คุณต้องคิดถึงตลอดเวลาว่ามีวันนี้ๆ เพราะอะไร ใครยากลำบากมา ราชวงศ์ บรรพบุรุษ เขาสร้างกันมา เพราะฉะนั้น การตอบแทนแค่นี้ เพียงแค่มีหนึ่งเพลง มันไม่ใช่เรื่องยากเลย มันจิ๊บจ๊อย ใครแต่งไม่ได้เราก็จะแต่งให้ ถึงตอนนี้ ผมมีเพลงที่แต่งเองทั้งหมดกว่า 200 กว่าเพลง 10% เป็นเพลงที่เกี่ยวกับในหลวง เพราะมันเป็นเงื่อนไขของค่ายที่เกี่ยวโยงกับสำนึกในความเป็นคนไทยของเรา
เหตุผลอย่างเรียบง่ายที่สุดก็คือเรามองว่าการเป็นบริษัท องค์กร หรืออะไรก็ตาม มันไม่ควรแสวงหาธุรกิจย่างเดียว โดยที่ไม่ไยดีสิ่งอื่นๆ เลย ไม่ไยดีชีวิตความเป็นอยู่เลย แล้วชีวิตความเป็นอยู่มันเกี่ยวข้องกับอะไร ก็เกี่ยวข้องกับการเมือง ฉะนั้น มันจะดีกว่าไหม ถ้าเราในฐานะศิลปิน จะก้าวเข้ามาเต็มตัวเพื่อที่จะไปช่วยกัน ไม่ใช่ว่าเอาแต่ขายของ เปิดเพลง แปะลิงค์ ส่งคลิป เชิญชวนมาซื้อของจ๊ะจ๋า เซ็นลายเซ็นเฟคๆ ได้เงินไปกินเที่ยว ไม่เกิดประโยชน์เลย
กติกาแบบที่ว่ามาทั้งหมด ศิลปินทุกคนรับได้ใช่ไหม
น่าจะรับได้นะ มีคำถามบ้าง แต่ที่สุดก็เข้าใจ คือเราก็จะมีวิธีชักชวนศิลปินในรูปแบบของเรา อย่างแรกเลยที่ทุกคนจะต้องโดนเราถามก่อน คือคุณรักในหลวงหรือเปล่า ก็มีคนเอาผมไปแซวว่าทำไมต้องถามแบบนี้ ผมก็จะถามกลับว่า รักในหลวงกับเกลียดในหลวง คุณคิดว่าควรจะเอาอะไร เกลียดในหลวงคือการล้มสถาบัน คิดไม่ดี มีทัศนคติไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง แล้วถ้าวันหนึ่งเขาดังจากคลาสส์ซี่ เรคคอร์ดส์ แล้วเขาไปเชียร์การล้มเจ้า มันจะเกิดอะไรขึ้น แต่บังเอิญโชคดีมากๆ ที่ศิลปินของเราทุกคนเป็นเนื้อเดียวกัน เรารู้สึกว่าการได้ทำงานกับคนที่มีความคิดความเชื่อแบบเดียวกันแล้ว มันมีพลัง ขนาดตอนเราทำ “อัลบัม 9” แค่ถามว่ารักในหลวงไหม ตอบช้าเราก็ไม่เอาแล้วนะ เพราะเรื่องแบบนี้ มันไม่ควรต้องคิดกันนาน
คิดเห็นอย่างไรบ้างกับการที่ยุคนี้มีศิลปินคนดังออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนกันเยอะขึ้น
ถ้าถามเรา เราไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากมายนะ เพราะเราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุการณ์อะไรด้วยซ้ำ เมื่อก่อนไม่มีเฟซบุ๊ก เราก็ใช้ชื่อ jack Russell เขียนในพันทิป ในห้องราชดำเนินและเฉลิมกรุง jack Russell ก็เป็นชื่อที่พอจะมีคนอ่าน รู้จักอยู่ในนั้นบ้างเหมือนกัน เพราะว่าสิ่งที่เราเขียนได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำเยอะมากๆ เลย เราเขียนมานานมากแล้ว ก่อนจะมีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง เขียนมาจนเป็นสำนึกของเราโดยอัตโนมัติ โดยส่วนตัว มันก็มีประโยชน์ต่อตนเอง คือทำให้รู้อะไรเยอะขึ้น มองอะไรได้ขาดขึ้น เราก็เอามาบอกต่อกับน้องๆ แค่นั้นเอง แต่ทุกวันนี้มีเฟซบุ๊ก มีโซเชียลเน็ทเวิร์ค ทุกคนก็เลยเห็นกันง่ายขึ้น เขาก็เลยเริ่มเขียนกัน ยุคนี้โชคดีนะ จะแสดงฝีมือหรือทัศนะ ตื่นมาไม่ต้องแปรงฟันก็เปิดเฟซบุ๊ก เป็นช่องทางพีอาร์ที่ประหยัดที่สุด แล้วได้ผลสูงสุด เฟซบุ๊กนี่คือปัจจัยที่ 6 นะครับ คนไทยเล่นเยอะ สร้างเนื้อสร้างตัวจากเฟซบุ๊กก็ได้ หาเพื่อนก็ได้ หาเมียหาผัวก็ได้ ขายของก็ได้ ได้ทุกอย่างเลย
ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกเลยว่า การจะมาเป็นศิลปินคลาสส์ซี่ เรคคอร์ดส์ คุณต้องใส่ใจโซเชียลเน็ทเวิร์ค เพราะมันปฏิเสธไม่ได้แล้ว ถ้าคุณปิดกั้นไม่เล่นไม่อะไรเลย คุณก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าคุณอาจจะไม่เป็นที่รู้จัก คุณจะต้องเหนื่อยมาก ถ้าโชคไม่ดีจริง เพราะเดี๋ยวนี้งานอีเวนท์ ไม่ใช่จะไปกันง่ายๆ ถ้าคุณไม่ดัง แต่ถ้ามีเฟซบุ๊ก บางทีสร้างเงินได้มากกว่าอีเวนท์อีก ถ้าคุณใช้ให้ถูกทาง เวลาประชุมกัน ผมก็จะบอกว่า สิ่งที่คนจะจดจำ คือทัศนคติ ไม่ใช่เปลือกความสวย เฟซบุ๊กมันหลอกกันได้ แต่ความคิดหลอกกันไม่ได้ นอกจากการเมือง ในฐานะศิลปินทำเพลง เราก็สนับสนุนให้ทุกคนกล้าวิจารณ์เพลงด้วย เพลงไม่ดีก็ต้องกล้าเขียนว่าไม่ดียังไง อย่าไปเฟค อย่าไปหลอก ผมเกลียดที่สุดคือเรื่องหลอก เรื่องโกหก ทุกอย่างต้องจริงหมด ถ้าไม่กล้าที่จะเขียนความจริง ก็อย่าไปเขียน ไปตัดสินใจให้ดีก่อน เมื่อไหร่กล้าที่จะเขียน ค่อยเขียน
ตอนนี้ มีความคิดเห็นอย่างไรต่อทัศนคติที่ว่าศิลปินหรือคนทำงานสาธารณะไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
มันเป็นเรื่องล้าหลัง เราว่าทุกคนมีสิทธิ์คิด ถ้าคุณจะเป็นเสื้อแดงก็พูดไปเลย คุณจะเป็นเสื้อเหลืองก็พูดไปเลย คุณไม่เอาพรรคการเมืองก็พูดออกไปเลย แต่เราจะมีคนประเภทที่ว่า อ้ำๆ อึ้งๆ ปิดๆ แอบๆ ไม่รู้จะกลัวส้นตีนอะไรกัน พูดไปเลย อย่างน้อยจะได้รู้ว่าภูมิคุณมีแค่ไหน ถูกไหม มันควรจะกล้าวิจารณ์ แล้วถ้าจะให้เจ๋งยิ่งขึ้นไปอีก ก็ควรจะทำในสิ่งที่มีตรรกะมีเหตุผลที่ดีและไม่ทำลายชาติบ้านเมือง
มีคนเสื้อแดงเยอะนะที่เป็นดารา แต่ไม่กล้าบอกว่าเป็นเสื้อแดง ไอ้เหี้ย สิ่งที่ตัวเองเป็น มึงยังไม่ภูมิใจที่มึงเป็น แล้วมึงจะเป็นทำไม งงไหม เวลาเจอพวกนี้แล้ว ผมอึดอัดที่จะคุย เพราะว่าเราเป็นคนชัดมาก แต่ขณะเดียวกันเราคุยกับคนที่ไม่ชัดเจน มันก็ไปต่อไม่ได้ บางทีคุยๆ อยู่ ก็หายไปเลย แต่ผมชอบนะ ถ้าไปเจอใครสักคนหนึ่งแล้วผมคิดว่าเขามีมุมที่เขาเปลี่ยนได้แล้วเขาเป็นคนดี เราก็อยากจะเข้าไปใช้เวลาตรงนั้น แต่บางทีเราก็เจอกำแพง เลยทำให้สึกว่าไอ้หมอนี่ไม่มีอะไรเลย นอกจากความกลวงกับภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นมา ให้คนอื่นเห็นเท่านั้น ดูเหมือนดี อย่างบางค่ายเพลงก็แอบนิยมการล้มเจ้า แต่ไม่กล้าพูด ก็อาศัยปะปนอยู่ในสังคมไปเงียบๆเรื่อยๆ พร้อมจะเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ ถ้ามีผลประโยชน์
คิดว่าเพราะอะไร ทำให้เขาเป็นแบบนั้น
เขาเน้นธุรกิจ ทำธุรกิจบันเทิง เขาชูธุรกิจ เป็นเรื่องแรกๆ อะไรก็ตามที่อาจจะส่งผลต่อธุรกิจของเขาหรือสปอนเซอร์ของเขา เขาก็หลีกเลี่ยง ฉะนั้น เขาจึงไม่มีแนวคิดที่จะให้ศิลปินในสังกัดแสดงจุดยืนทางการเมือง ถ้าการแสดงจุดยืนทางการเมืองนั้นมันส่งผลต่อสปอนเซอร์ ไปขัดหูขัดตาหรือสร้างความระคายเคือง แต่เราเรามีแนวคิดว่าถ้าอะไรที่ต้องไปเกรงใจเขา เราก็อย่าไปสังฆกรรมกับเขาเลย เหนื่อยหน่อย แต่สบายใจ อยากจะนั่งแบบนี้ก็นั่ง (ไขว่ห้าง) อยากจะกินอะไรก็กิน อยากจะด่าใครก็ด่า ไม่จำเป็นต้องไปแคร์หรือพินอบพิเทา เป็นตัวของตัวเอง สบายใจ แล้วออกชุดไหน เราก็จะบอก ชุดนี้เจ๊ง แต่ทำเหอะ เดี๋ยวเราจะไปเอาชุดหน้ามาคืน เพราะงานแบบนี้เราจำเป็นต้องทำ มันคิดแบบนี้ไง มันไม่ได้คิดว่าชุดนี้ขาดทุน ไ ม่เอาโว้ย ไม่ใช่อย่างนั้น คือเรารู้อยู่แล้ว ทำงานมาจนรู้แล้ว ชุดนี้ขายได้ 2 พัน 3 พันก็อปปี้ เราจะประมาณออก คะเนออก แต่ถ้าเราคิดว่าจะต้องขายเอาเงินอย่างเดียว ชุดที่รู้อยู่แล้วว่าต้องขายได้น้อย เราก็จะไม่คิดทำไง
ตั้งแต่แสดงตัวชัดๆ แบบนี้ มีผลกระทบอะไรบ้าง
ไม่ถึงกับถูกข่มขู่ แต่เราอยู่ได้ เพราะเรายึดหลักว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง เราไม่ค่อยแคร์ เราจะต้องไปกลัวอะไร เราไม่ขอสปอนเซอร์ใคร เงินเราเอง ยากดีมีจนไม่สนใคร และฐานแฟนเพลงที่เราสร้าง เราสร้าง จากคนที่ชอบเราจากเนื้อแท้ทั้งหมด ไม่มีเปลือก ฉะนั้น เราไม่กลัวหาย มีแต่จะเพิ่มขึ้น ยิ่งเราแสดงจุดยืนชัดเจนว่าเราเป็นคนแบบไหน คนที่ไม่ใช่ก็จะยิ่งออกไป คนที่ใช่ก็จะยิ่งเข้ามา เราคิดแค่นี้ แฟนเฟจเราอาจจะเพิ่มจำนวนขึ้นทีละน้อยๆ แต่มั่นคงครับ นี่คือสไตล์ของเรา มันคงไม่ใช่การทำธุรกิจที่ดีหรือถูกต้องอะไรหรอก แค่มันถูกจริต เป็นธรรมชาติของเรา สำนึกในความเป็นคนของเราเท่านั้นเอง แต่ไม่แนะนำให้เลียนแบบนะ อันตราย (หัวเราะ)
เพราะมันจะมีเฟซบุ๊กแฟนเพจที่ไหนบ้างที่ประกาศว่า ใครด่าในหลวง ก็ออกไปเลย แต่คลาสส์ซี่ เรคคอร์ดส์ ทำ เราทำธุรกิจกันแบบนี้ ใครทำลายชาติบ้างเมือง เชียร์ไปเผาบ้านเผาเมือง เป็นแฟนเพลงผมก็ไม่สน อันเฟรนด์ อันไลค์ ออกไปเลย เพราะผมก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขหรอกที่แฟนเพลงของผมเป็นพวกสนับสนุนเผาบ้านเผาเมือง ผมจะมีความสุขหรือ ผมไม่มีอารมณ์แต่งเพลงให้พวกคนเหล่านี้ฟังหรอก เพราะฉะนั้น ผมอยากคุยกับคนภาษาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนที่ผิดแล้วสำนึก มา กลับมา ผมก็รับ อย่างไรก็ดี ก็ยังมีแฟนเพลงที่…เฮ้ย เป็นแฟนเพจค่ายเพลง ไปเขียนเรื่องการเมืองทำไม คุณบ้าหรือเปล่า ผมก็จะตอบกลับไปว่า “มึงนั่นแหละบ้าหรือเปล่า การเมืองคือเรื่องชีวิต ไอ้ห่า จะถูกปล้นจนเหลือแต่กระดูกอยู่แล้ว ยังจะบ้าให้กู แปะลิงค์ส่งเพลง บ้าบอขายของอยู่นั่นแหละ ลืมตาดูบ้าง” (หัวเราะ)
ดูเหมือนว่าสำนึกต่อเรื่องบ้านเมืองของคุณจะเข้มข้นมาก
คือแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ผมยึดถืออยู่สองเรื่อง หนึ่งคือ “เจตนา” กับ “สำนึก”
“เจตนา” มันไม่ใช่แค่ว่าอยากทำเพลงแล้วขายได้ มันต้องคิดไปถึงว่าทำอย่างไรให้วงการเพลงอยู่ได้ และทำอย่างไรให้วงการเพลงบ้านเรามีเสน่ห์เพิ่มขึ้น มีทางรอดมากขึ้นด้วย แนวทางก็คือ หนึ่ง เราทำบันทึกเสียงดีๆ ให้มันแตกต่างจากการดาวน์โหลด ถ้าเราทำเพลงออกมาแล้วเสียงห่วยๆ คนก็ไปโหลด ไปผีๆ กันหมด เมื่อเราทำเพลงดี เราใส่ใจเรื่องแพ็คเกจ แพ็คเกจเป็นสิ่งที่ก็อปปี้ไม่ได้ ใครจะไปก็อปปี้ปก Love in the Light Lines ได้บ้าง ผีมันจะทำเหรอ ลงทุนเยอะ ซับซ้อน อันนี้เป็นเจตนาที่ดี แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ วงการเพลงมันก็คึกคัก คลาสส์ซี่ เรคคอร์ดส์ นำเรื่องคำว่า “ลิมิเต็ดอีดิชั่น” กลับมาใช้เมื่อปลายปี 53 ก็เริ่มคึกคักกัน เดี๋ยวนี้ลิมิเต็ดกันเพียบเลย ผมก็รู้สึกว่าวงการเพลงมันมีสีสันมากขึ้น
เรื่องต่อมา “สำนึก” สำนึกก็คือเราจะต้องคิดถึงเรื่องส่วนรวม สังคม ประเทศชาติ บ้านเมือง ศาสนา เพื่อนมนุษย์ เราเกิดมาอย่างไร จะเห็นว่างานคลาสซี่ เรคคอร์ดส์ทุกชุดจะตัดเงินให้การกุศล อยู่ๆ ก็ถือเงินไปให้ มูลนิธ รพ. เด็กสองหมื่น ไปซื้อควายที่จะถูกฆ่า แล้วก็มีองค์กรช่วยน้ำท่วมช่วยสึนามิ เราทำมาตลอด เฉพาะ Love in the Light Lines อัลบั้มเดียว นับถึงวันนี้ เราช่วยการกุศลไปเป็นแสน เงินเราไม่ได้ได้เยอะ แต่เราก็แบ่งช่วยการกุศลช่วยสังคม ยิ่งช่วยเหมือนยิ่งได้กลับมา พอช่วยเสร็จปุ๊บมันจะมีเรื่องประหลาดตลอด คือจะมีกลุ่มแฟนเพลงที่ติดตามเราอย่างมั่นคงจริงๆ คลาสส์ซี่ เรคคอร์ดส์ เป็นค่ายเพลงเดียวของเมืองไทยที่ผมกล้าพูดเลยว่า ถ้าวันนี้ เปิดจองอะไรก็ตาม ธรรมดาเวลาใครจะเปิดจองต้องเปิดเพลงให้ฟังก่อน เป็นน้ำจิ้มลงยูทูปนิดหน่อย ทีเซอร์บ้างอะไรบ้าง หรือตัวอย่างเพลงสักเพลง แต่คลาสส์ซี่ฯ บางอัลบัมไม่ต้องทำอย่างนั้น แค่ประกาศว่าวันที่ 20 จะเปิดจองอัลบัมลำดับชุดที่… คนจะจองตั้งแต่วินาทีที่โพสต์ลงเพจนั้นเลย จำนวนไม่น้อยก็โอนเงินทันที โดยไม่เคยฟังว่าเพลงอะไร แนวไหน ไปย้อนกลับดูได้ ทุกคนห่วงเรา อยากช่วยสนับสนุนเรา รักกันเหมือนครอบครัว เราถึงมีกลุ่มแฟนเพลงที่เรียกว่า The Classy Family ไงครับ
เหตุการณ์แบบนี้ ทำให้ผมมองว่ามันไม่ใช่แค่ทุกคนเขาเห็นสิ่งที่เราทำแล้วจนเชื่อว่าเราจริงใจกับมัน ซื่อสัตย์ต่อมัน กับงานของเรา แต่นั่นหมายถึงว่าเจตนาและสำนึกของเรามันปรากฏในความรู้สึกของเขาด้วย เพราะเราไม่ได้มีสำนึกที่ไม่ดีต่อทุกอย่าง สำนึกเราดี เจตนาเราก็ดี เพราะฉะนั้น แฟนเพลงหลายๆ คน เขาบอกผมว่า “คุณเชื่อมั้ย เมื่อก่อน ผมซื้อแต่เพลงฝรั่งฟัง แต่ผมต้องกลับมาซื้อเพลงไทยเพราะค่ายคุณ แล้วก็เป็นแฟนเพลงค่ายคุณมาจนทุกวันนี้”
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราคลาสส์ซี่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เรารู้สึกว่าการเดินทางของเรามันมีความหมายมากขึ้น ซ้ำยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ได้ เราไม่จำเป็นต้องฝันอยากไปออกรายการทีวีช่อง 3 5 7 9 ไม่ต้องไปสนหรอก ไอ้ดีเจกำมะลอต่างๆ รายการวิทยุ คุณจะไปให้ดีเจบางคนที่พูดแม้กระทั่ง รอเรือลอลิงยังไม่ชัดด้วยซ้ำ มาชี้ขาดชะตาชีวิตงานเพลงของคุณหรือ มันไม่ถูกต้องที่ต้องไปพินอบพิเทาว่า พี่ครับ เปิดเพลงของผมหน่อยครับ แล้วก็รอมันตอบกลับมาว่า “.. ยังไม่มีกระแส เปิดไม่ได้ ต้องรอคลื่นนั้นเปิดก่อน..” ..ผมก็เลยประกาศบอกดีเจบางคนไปเลยว่า “ถ้ามึงตีค่าพวกกูแค่นี้ งั้นมึงก็อย่าเอาเพลงของกูไปเปิดเลย”
พูดมาก็เยอะ คุณอยากเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปบ้าง ทั้งในการเมืองและวงการเพลง
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเพิ่งเขียนข้อความเชิงตลกร้ายไป 20 ข้อ 18 ข้อเป็นเรื่องการเมืองหมด หนึ่งในนั้นก็คือหลังจากการปฏิรูป ถ้าจับได้ว่านักการเมืองคนไหน ซุกหุ้น หนึ่งประหารชีวิต สอง คดีไม่หมดอายุความ ส่วนข้อ19 ผมเขียนว่า ถ้าจับได้ว่านักแต่งเพลงคนไหน เอาเพลงคนอื่นมาลอกแล้วใส่ทำนองตัวเอง ประหารชีวิต ข้อ 20 ถ้ารู้ว่านักแต่งเพลงคนนี้ทำงานให้คนล้มเจ้ามาก่อน แล้ววันนี้มาบอกว่ารักในหลวงตามกระแส ให้ใครก็ได้เอาไปประจานได้โดยไม่ผิด (หัวเราะ) ..เชื่อไหมว่าคนเข้ามาตลกข้อ 19-20 หมดเลย คือจะบอกว่าบ้านเรามันแย่ตรงที่ว่า เรามักจะเอาเพลงของชาวบ้านมาเขียน เอาทำนองเขามาแล้วใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้แต่ง โดยไม่บอกแหล่งที่มา คลาสส์ซี่ฯ เราทำเป็นนโยบายเลยนะว่า ถ้าใครจับได้ว่าเพลงไหนของคลาสส์ซี่ฯ ไปลอกทำนองต่างชาติมา แล้วพิสูจน์ได้ว่าจริง จ่ายเพลงละ 5 แสน บาท ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 54 เรามั่นใจในตัวเรา และคนซื้อก็จะได้มั่นใจว่า ซื้ออัลบัมนี้ไปฟังแล้วสบายใจ ไม่ได้ไปสนับสนุนของละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งถ้าลองเอาคำนี้กลับไปถามนักแต่งเพลงค่ายอื่นๆ อีกหลายค่าย โห มันเจ๊งกันได้เลยนะ (หัวเราะ)
เรื่อง : กองบรรณาธิการเซ็กชั่น Taste
ภาพ : ยุรชัฏ ชาติสุทธิชัย, Facebook : Jack Russel-th