เส้นทางดนตรีและวิถีแบบฮิวโก้


ในขณะที่เรานั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟ สาวๆ อีกโต๊ะหนึ่งแทบจะอยู่ไม่เป็นสุข แม้จะลูกสองแล้วก็ตาม แต่ความหล่อ รูปทรง และนามสกุลของ ‘ฮิวโก้’ หรือ ‘เล็ก-จุลจักร จักรพงษ์’ ยังถือว่าศักดิ์สิทธิ์และอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ที่ทำให้สาวไทยหลายคนเคลิบเคลิ้มได้
แต่ที่อเมริกาเรื่องเหล่านี้ไม่มีผล แม้จะทำเพลงในฐานะศิลปินแห่งวง ‘สิบล้อ’ ซึ่งออกผลงานมาแล้ว 4 อัลบั้ม และดังพอตัวในประเทศไทย แต่ฮิวโก้ก็เหมือนกับน้องใหม่ในบ้านลุงแซม เขาต้องพิสูจน์ตัวเองในฐานะศิลปินเดี่ยวจากเมืองไทย ในดินแดนที่หน้าตาและนามสกุลมาที่หลังคุณภาพงาน
แต่ก็สอบผ่าน
เพลง Disappear ที่ฮิวโก้แต่งเอาไว้ประทับใจ Beyonce จนถูกขอเอาไปใส่ในอัลบั้ม I Am…Sasha Fierce และเมื่อ Jay-Z เจ้าพ่อแร็ปเปอร์คู่รักของเธอรู้เรื่องนี้เข้าจึงดึงให้ฮิวโก้มาอยู่ในสังกัด Roc Nation ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเขาที่นิวยอร์ก และออกอัลบั้ม Old Tyme Religion ในปี 2554 ซึ่งก็น่าจะไปได้ดี
แต่แล้วไม่กี่ปีผ่านไป สะพานที่เคยทอดยาวกลับถูกเผาทิ้ง! เขาตัดสินใจกลับเมืองไทยและอยู่อย่างถาวรในปีนี้
โกอินเตอร์ไม่หอมหวานอีกต่อไป? การให้เวลากับครอบครัวสำคัญที่สุด? ชื่อเสียงเป็นมายา มิตรสหายเป็นของจริง? ไม่ว่าจะเหตุผลกลใดก็ตามแต่ วันนี้ฮิวโก้กลับบ้าน
‘เหมือนแมลงบินไล่หลอดไฟ ร้องยังไงก็เข้าไม่ถึง เกิดเป็นคนนอกอยากเป็นคนใน ทุกก้าวที่เดินยิ่งไกลยิ่งห่าง สายลมพาเดินทาง แต่หัวใจฉันอยู่ที่เดิม’ (เนื้อร้องจากเพลง ‘สายลม’)

Welcome to home sweet home…Hugo

ทำไมถึงต้องไปอเมริกาในช่วงนั้น
ผมคงจะพูดเกินจริงนะถ้าบอกว่าชีวิตผมดำเนินตามขั้นบันได โดยรู้และไม่รู้ว่าจะไปไหน ผมไม่ได้คิดจะออกจากวงสิบล้อ แต่มันคือเรื่องของโอกาสที่มาถึง ผมอยากจะทำวงสิบล้อต่อ แต่ไม่มีนักดนตรีอาชีพคนไหนที่ปฏิเสธโอกาสนี้ คือเรื่องของเรื่องมันมีคนยื่นสัญญาให้เซ็น ผมก็เลยไปในฐานะศิลปินเดี่ยว แต่มันก็ไม่ได้ราบรื่น แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นตามที่คาดเลย มันเป็นเรื่องใหม่ตลอด เราอาจจะแค่มุ่งมั่นในฐานะนักดนตรี
ในวงการบันเทิงไทยมันหลวมมากที่จะแถไปทางโน้นทางนี้ ในความคิดของผม ถ้าอยากจะให้คนเชื่อมั่นว่าเราเป็นนักดนตรี นับถือเราตรงนี้ มันต้องแสดงให้เห็น มันต้องเสียสละบางอย่าง และก็ต้องเด็ดขาดชัดเจน ซึ่งยุคนี้อาจจะไม่ต้องการขนาดนั้น แต่ยุคก่อนที่จะมีอินเทอร์เน็ตเวลาเราทำอะไรมันต้องส่งเสริมกัน ถ้าไม่ใส่ใจกับงานดนตรี มองมันแค่ด้านหนึ่งของวงการบันเทิงมันก็จะอีกแบบ แต่ที่เราทำสิบล้อ เรามองมันในเชิงศิลปะ ไม่ใช่แค่ผลงาน มันเป็นตัวของตัวเอง เป็นสิ่งที่เราชอบ แต่เราหยิบมาเร่งวอลลุ่ม เราชอบคาวบอยก็ให้เป็นโคตรคาวบอยเลย ชอบขบถก็ให้เป็นโคตรขบถเลย

คือจะบอกว่าไปให้รู้
ไปให้รู้ คืออย่างหนึ่งที่เราคิดว่ามันถูก พอเวลาผ่านไป 12-13 ปี ณ จุดนี้ แรงต้านหรือกำแพงที่ต้องทุบมันไม่ต้องมาทุบแล้ว มันไม่ต้องมาอธิบายหรือต้องเผชิญกับความผิดหวังของใครแล้ว คือ เป็นการทำความเข้าใจกันระหว่างผมกับคนที่จะบริโภคผลงานของผมมากกว่า

เห็นว่าไปอยู่ที่นั่นต้องเริ่มต้นอะไรใหม่เยอะมาก
มันก็ได้เริ่มต้นตรงที่ว่าไปทำงานเมืองนอก นามสกุลจักรพงษ์ หรือคำว่าฮิวโก้มันไม่มีความหมายเลยนะ ความเป็นคนไทยอะไรหายไปหมด แต่เราก็ได้เปรียบ โอเค ในหมู่คนไทยผมเป็นฝรั่ง แต่ในห้องที่เต็มไปด้วยฝรั่งกับคนดำผมเป็นคนไทยที่สุด และนิสัยไทยๆ ของผมก็ช่วยผมได้เยอะ ผมว่าผมน่าจะมารยาทดีกว่าใครในห้องอัด ผมเกรงใจชาวบ้านมากกว่า และตรงนี้ก็ช่วยได้ แม้จะไม่ได้ช่วยให้ผมก้าวไปข้างหน้า แต่มารยาทที่ดีก็เหมือนน้ำมันหล่อลื่นที่มาช่วยให้เราไปได้ไกลกว่าความสามารถนิดนึง อย่างน้อยก็มีคนไม่รังเกียจที่จะเสียเวลาด้วยหรืออยากทำงานให้ หรือไปหลอกใช้แล้วเขาก็ยังรู้สึกถึงน้ำใจที่เรามี ผมว่าอันนี้เป็นคุณสมบัติดีๆ ของนิสัยคนไทย ซึ่งคนไทยเราก็จะชอบด่าว่าความเป็นไทยมันแย่ตรงนั้นตรงนี้ แต่จริงๆ แล้วมันมีสิ่งดี มันเป็นดาบสองคมเหมือนๆ กับนิสัยของชนชาติอื่นๆ มันมาพร้อมกับข้อเสียที่แยกแยะไม่ออก ความถ่อมตัวอ่อนน้อมก็อาจจะทำให้ความกล้าเราน้อยลง

แล้วนิสัยไทยๆ ที่ว่ามา มันมีผลกับวิธีคิดในการทำเพลงไหม
เรื่องพวกนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเนื้องานเลย งานดนตรีมันเป็นส่วนตัวไม่มีใครมายุ่งอะไรกับเรา เรื่องนิสัยไทยๆ ผมใช้ในเรื่องธุรกิจ เพราะธุรกิจดนตรีมันก็ไม่ได้ชัดเจน ยิ่งถ้าเป็นศิลปินเดี่ยวมันก็ยิ่งต้องอาศัยความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ เพราะทุกคนเก่ง คนเก่งกว่าผมมีเยอะแยะเต็มอเมริกาไปหมด แต่สิ่งที่คุณต้องคว้ามันคือโอกาส เมื่อได้มาแล้วก็ต้องรักษามันไว้ เพราะผมเคยทำโอกาสหลุดมือมาแล้ว

ไปอยู่ตรงนั้นการแข่งขันมีสูง แรงกดดันมีสูง เราจัดการกับตัวเองยังไง
ไม่ได้จัดการ แค่ปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ผมรู้ว่าสิ่งสำคัญสำหรับผมคือได้ทำผลงาน นั่นคือเจ้านายผม ไม่ใช่อีโก้ของผม พอเริ่มลงมือ เพลงมันจะบอกเราว่าต้องเป็นเสียงแบบไหน ยาวแค่ไหน ขอให้ตรงนี้ไม่มีใครมายุ่งด้วยหรือบังคับให้ทำผลงาน อย่างเวลาผมทัวร์ทั่วอเมริกา จะให้ผมขับรถเอง แบกเครื่องดนตรีเองผมก็ยอม แต่อย่าบังคับให้ผมร้องเพลงที่ไม่อยากร้อง

ทำไมเวลาออกทัวร์ต้องขับรถหรือแบกเครื่องดนตรีเอง
ก็เขามีงบแค่นั้น เขาจ้างนักดนตรีอาชีพมาแล้ว มันไม่มีงบที่จะมาจ้างเด็กยกเครื่อง ขนาดนอนโรงแรมแย่ๆ นะ ยังใช้เงิน 3-4 พันเหรียญ อย่างค่ายส่งไปทัวร์ก็จะมีงบให้อาทิตย์ละหมื่นเหรียญ รถตู้คันหนึ่ง นักดนตรีรับจ้าง 4 คน ซาวด์เอนจิเนียร์อีกหนึ่ง ค่าเช่าเทรลเลอร์ ค่าน้ำมัน เบี้ยเลี้ยงคนนึงอาทิตย์ละ 120 เหรียญ ซึ่งทั้งหมดนี้คืองบที่ทางค่ายจะมาตัดจากยอดจำหน่ายของผม ซึ่งอัลบั้ม Old Tyme Religion ไม่มีวันทำกำไร เพราะว่าค่ายก็บวกอะไรเข้าไปอีก อย่างพนักงานจากค่ายบินเฟิสต์คลาสไปไหนก็โปะในงบของผม จนเขามาแจ้งผมตอนสุดท้ายที่กำลังจะเซ็นต่อว่า เนี่ย! งบคราวที่แล้วใช้ไป 8 แสนเหรียญ ชุดหน้าเราอาจจะให้งบไม่เยอะนะ แต่เราก็ทำต่อ ทำไปทำมาก็ทำกันอีกชุด แต่ตอนนี้เราก็แยกทางกันแล้ว และผมก็ไม่คิดจะกลับไปอเมริกาด้วย หมายถึงเร็วๆ นี้

ทำไมถึงแยกทางกัน หรือว่าเขาทำให้เราอกหัก
เขาไม่ได้ทำอะไรให้เราอกหัก แต่พอมาถึงจุดหนึ่งเราตัดสินใจเอง เพราะมันมีทั้งเรื่องบริหารเวลา เรื่องเงิน บางทีคุยกันก็ไม่ตอบอะไรกลับมา เราไม่สามารถจัดการชีวิตได้ อีกอย่างเราเป็นธุรกิจหลักแสนเหรียญ ไม่ใช่หลักล้านเหรียญ ผมว่าค่ายเขาไม่พอใจกับตัวเลขแค่นี้ แต่สำหรับผมพอใจ ผมว่าโอเค สง่างาม
ทุกคนที่ทำงานดนตรี หรือทำงานอะไรก็แล้วแต่จะต้องชั่งน้ำหนักจากงานที่ทำว่าเราจะได้ตัวเลขกลับมาเท่าไหร่ มันพอดีกันไหมกับคุณภาพชีวิตที่พอใจ มันพอดีกับข้อแม้ที่คุณมีอยู่หรือเปล่า มันเป็นเรื่องจริงนะ ถ้าคุณเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 17 เล่นไปเรื่อยๆ แล้วยังไม่มีอะไรเลย สำหรับผมรับแบบนั้นไม่ได้ แต่อีกมุม ถ้ามีคนอยากจะให้เงินผมเพื่อทำเพลงบ่อนทำลายวัฒนธรรม เป็นสุญญากาศแห่งศิลปะ ผมก็คงไม่ทำเหมือนกัน เพราะทำไปแล้วตัวเราเอาคืนไม่ได้ เล่นฟรีก็ไม่อยากทำบ่อย เพราะมันเป็นอาชีพของเรา ผมมีหน้าที่ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว มีลูกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราไม่ควรจะเป็นภาระกับครอบครัวต่อไป ถ้าเงินไม่ต้องใช้ผมก็ไม่สนหรอก แต่เราอยู่ในวัฒนธรรมที่ต้องใช้เงิน

เหมือนจะบอกว่า ตรงนี้คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเป็น ต้องบินด้วยตัวเอง เพื่อรู้จักตัวเอง
ถ้าเรารู้จักตัวเองมันก็จะดี รู้ว่าตัดสินใจทำอะไรเพื่ออะไรมันสบายใจ อย่างผมมาให้สัมภาษณ์ ผมต้องการให้คนรู้ว่าผมมีผลงานอะไรบ้าง เพราะเราเลิกคิดแบบ… ใครไม่ฟังก็ช่างมัน เราทำเพื่อตัวเราเอง อันนั้นไม่ใช่แล้วสำหรับผมตอนนี้ แต่ใครรู้สึกแบบนั้นถือว่าเยี่ยมนะ และศิลปินหลายคนอาจจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ แต่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ผมต้องการให้คนยอมรับ ต้องการให้คนฟัง ยอมรับว่าผมหวังว่าเขาจะชอบด้วย แต่ในช่วงที่เราเป็นเด็ก ในความเป็นอินดี้ที่ไม่มีรอยยิ้ม ไม่สนอะไรเลย ความจริงแล้วมันเป็นการแสดงออกว่าโคตรจะต้องการให้คนชอบ แต่การพูดว่าไม่ต้องการ มันคือไม่ต้องมาผิดหวังเมื่อทุกคนมาด่าไง มันทำให้เรารับคำวิจารณ์หรือคำด่าของคนอื่นได้ ในแบบที่ว่า เออ! มันไม่เข้าใจเรา ไม่ต้องฟัง แต่จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่าโคตรต้องการให้คุณฟังเลย

เป็นอินดี้ ปฏิเสธเสียงด่า เสียงวิจารณ์ แต่ท้ายที่สุดก็อยากให้คนมาเข้าใจ อยากให้มารับรู้สิ่งที่เราคิด
ใช่ จริงๆ แล้วยังมีความเชื่อมั่นลึกๆ ว่า ฟังเพลงเรามันน่าจะมีผลดีต่อคุณภาพชีวิตของคุณนะ ดนตรีมันเป็นงานศิลปะ แต่จริงๆ แล้วมันก็กึ่งงานบริการด้วย เราไม่ปฏิเสธที่คนจะมาชอบเรามากขึ้น แต่ถามว่าถ้าชอบเยอะๆ แล้วจะมีผลกับงานไหม ผมว่าไม่นะ ผมไม่ได้ปรับการทำเพลงเพราะเชื่อว่ามันไม่เกี่ยว เพลงมันเป็นอะไรที่คำนวณไม่ได้ ความชอบของคนในช่วงเวลาหนึ่งมันคำนวณไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร มีครั้งหนึ่งที่คนต่อต้านสิบล้อ บอกว่าเราต้องปรับตัว ต้องปรับที่เนื้องาน แล้วคนจะชอบมากขึ้น ถามว่าคุณจะรู้ได้ยังไงว่าคนจะไม่ชอบ คุณรู้ได้ยังไงว่าเด็กจะรับไม่ได้ แต่บางทีเราก็เข้าใจตลาดผิดหลายอย่าง เราไม่เคยคิดเลยว่าคำว่าเพื่อชีวิตจะสร้างความสับสนให้ท้องตลาดขนาดนี้ เพราะตลาดเพลงในเมืองไทย คำว่าเพื่อชีวิตหมายถึงดนตรีสตริงในต่างจังหวัด แต่จริงๆ แล้วคำว่าเพื่อชีวิตของผมมันเป็นคำของปัญญาชน ซึ่งไม่ได้ระบุชนชั้น เพราะรากเหง้าของมันก็คือนักศึกษา คำว่านักศึกษามันแปลว่าคุณเรียนรู้

ถ้านิยามแบบนั้น คำว่าเพื่อชีวิตมันก็สามารถไปอยู่ในทุกแนวเพลงได้ ไม่ว่าจะป๊อปหรือร็อกแอนด์โรล
ก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องของการตลาดแล้ว และดนตรีเพื่อชีวิตตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมเข้าใจ มันเป็นลูกทุ่งมากกว่า อย่างที่ผมเข้าใจคือพลงเพื่อชีวิตมันเป็นเพลงที่ไม่ได้เกี่ยวกับความรัก เป็นเพลงบอกกล่าวให้ความรู้ เป็นเพลงที่ทำมาเพื่อเสริมสร้างสังคม และหลุดออกจากวิธีการที่จะได้มาเพื่อยอดขายจำนวนมาก วิธีการที่ว่าคือการทำเพลงแนวอกหัก

แต่ท้ายสุดศิลปินก็ยังต้องทำผลงานออกมาภายใต้เงื่อนไขการตลาดเหมือนกัน
ผมว่ามันกลับหัวกลับหางนะ นั่นเท่ากับคุณทำนิตยสารแล้วให้คนทางบ้านเขียนคอลัมน์ทุกอัน ซึ่งใครเขาทำกันล่ะ มันจะน่าอ่านไหม? ยังไงก็ตามคนยังต้องการอะไรที่ตัวเองทำไม่ได้ สมมุติว่าผมมัวแต่เป็นตัวผมอยู่ ผมไม่สามารถเป็นแบบ Amy Winehouse ได้ ผมก็ต้องมาฟังเพลงเขา หรือภาพที่ผมแขวนไว้บนกำแพงผมก็ไม่ได้วาด รถผมก็ไม่ได้สร้าง แล้วความสัมพันธ์ของแต่ละคนต่อสิ่งที่เขาใช้มันก็ไม่เหมือนกัน
เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE