‘เฟ็ดเฟ่ บอยแบนด์’ คือชื่อกลุ่มชายฉกรรจ์หน้าตาโหดเหี้ยมปานโจรบางขวาง (ต้า เฟ็ดเฟ่ บอกกับเราแบบนั้น) รวมตัวกันจากความเป็นเพื่อน ชอบและฝันในสิ่งเดียวกัน จนเป็นที่มาของการทำคลิปวีดิโอลงยูทูบที่บ้าดีเดือดและเกรียนอย่างสุดโต่งชนิดที่ผู้ใหญ่ในสังคม (ไทย) ส่วนใหญ่รับไม่ได้ แต่กลับกลายเป็น ‘ไอดอล’ ในหมู่วัยรุ่น จนบางคนอาจถึงขั้นศรัทธา
อะไรทำให้ ‘เฟ็ดเฟ่ บอยแบนด์’ เป็นทื่ชื่นชอบคลั่งไคล้ของวัยรุ่นไทยได้ขนาดนั้น เพราะความตลก เกรียน และบ้าสุดโต่งอย่างเดียวจริงๆ น่ะเหรอ?
เราเองก็หาคำตอบไม่ได้ จนกระทั่งมีโอกาสได้มาพูดคุยกับ ‘ต้า เฟ็ดเฟ่’ ที่บ้านของเขาย่านรามคำแหง หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีโอกาสมาเก็บภาพระหว่างที่พวกเขากำลังออกกองทำงานอย่างคร่ำเคร่งและเอาจริงเอาจัง เพื่อให้ได้คลิปวีดิโอที่ออกมาสนุกสนานถูกใจคนดู
ตลอดเวลาที่คุยกัน ‘ต้า เฟ็ดเฟ่’ ทำให้เราทึ่งและอึ้งนับครั้งไม่ถ้วน และหนึ่งในนั้นคือคำพูดที่ว่า… “สิ่งที่เฟ็ดเฟ่จะทำคือการเป็นแรงบันดาลใจให้คน และสิ่งที่เฟ็ดเฟ่จะไม่ทำคือการไม่เป็นแรงบันดาลใจให้คน”
ภายใต้ความบ้าที่หลายคนถึงกับส่ายหน้า นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไม ‘เฟ็ดเฟ่ บอยแบนด์’ ถึงเป็นที่รักของวัยรุ่นได้มากขนาดนี้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะเด็กๆ เขามองลึกลงไปจนเห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ข้างใน มากกว่าผู้ใหญ่หลายๆ คนที่มองและตัดสินกันแต่ภายนอก… ก็เป็นไปได้
Q: จุดเริ่มต้นของเฟ็ดเฟ่ บอยแบนด์
A: เฟ็ดเฟ่เริ่มต้นจากมิตรภาพครับ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ม.1 จนเรียนจบมหาวิทยาลัย แยกย้ายกันไปทำงาน พวกเราเฟ็ดเฟ่ก็ยังอยู่กันครบ 10 คนถึงทุกวันนี้ คือถ้าเปรียบชีวิตเป็นการประกวด ไอ้พวกนี้คือพวกที่ถูกคัดเลือกให้ผ่านเข้ารอบมาแล้วว่าเป็นพันธุ์เดียวกัน บ้าๆ และชอบอะไรเหมือนกัน แกล้งกันแล้วไม่โกรธ เอาเท้าลูบหน้ากันได้ เลียตูดกันได้ สร้างวัฒนธรรมกลุ่มของตัวเองขึ้นมา คือต่อให้แกล้งกันแรงแค่ไหนก็ห้ามโกรธ ให้ใช้วิธีการเอาคืนแทน ถ้าวันไหนมึงโดนแกล้ง ให้รู้เลยว่านี่คือการเอาคืน มันเป็นการเล่นในกลุ่มเพื่อนของพวกเราอยู่แล้ว แกล้งกันจนเป็นเรื่องปกติ
Q: แล้วมาเริ่มทำคลิปลงยูทูบได้ยังไง
A: มันเริ่มจากความฝันและความชอบ สิ่งที่พวกเราชอบเหมือนกันหมดคือความบันเทิง ชอบหนังตลกและรายการตลกทุกประเภท อย่างตลกคาเฟ่ โจวซิงฉือ สาระแนโชว์ แล้วก็ฝันอยากจะมีรายการตลกของตัวเอง พอเรียนจบทุกคนก็แยกย้ายไปทำงานตามสิ่งที่ตัวเองถนัด จนวันหนึ่งรู้สึกว่าเริ่มร้อนวิชา อยากสร้างงานอะไรที่เป็นของตัวเอง เลยคิดกับเพื่อนว่ามาลองทำรายการเล่นๆ สนุกๆ กันดีกว่า พอดีช่วงนั้นสื่อยูทูบกำลังเข้ามา เหมือนเป็นช่องของเราเอง อาศัยคนถูกใจให้เขาช่วยกระจาย แล้วเราเชื่อในพลังที่ Mark Zuckerberg สร้างไว้ เชื่อในพลังของ ‘ของดี’ ที่คนจะแชร์ ถ้าเราตั้งใจทำคลิปให้ออกมาดี ยังไงคนก็แชร์ ที่สำคัญ รายการที่เราจะทำถ้าจะให้ไปออกช่องฟรีทีวีมันเป็นไปไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
Q: ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้
A: คือรายการเรามีไอดอลเป็น Jackass (รายการทีวีในอเมริกา) ซึ่งเป็นรายการตลกสากล แกล้งเพื่อน ใช้แอ๊กชั่น เจ็บตัว จังไร หรือทำอะไรที่มันหลุดกรอบ 18+ ซึ่งมันขัดกับความเป็นประเทศไทยมากๆ แต่ Jackass มีมา 10 กว่าปีแล้ว โด่งดังมากในอเมริกา กลายเป็นไอดอลให้ประเทศอื่นๆ เอาไปทำตามมาหมดแล้วแทบทุกประเทศ ส่วนในประเทศไทยก่อนหน้านี้มีคนคิดอยากทำรายการแบบนี้ออกมาเยอะ แต่สุดท้ายพอเสนอยื่นไปทาง กบว. แล้วไม่ผ่าน ไหนจะสปอนเซอร์ไม่เอาเพราะดูเป็นรายการก้าวร้าวรุนแรง ความคิดที่จะมีรายการแนว Jackass ในเมืองไทยจึงล้มลงหมด
Q: แสดงว่าเฟ็ดเฟ่ได้รับอิทธิพลมาจาก Jackass เต็มๆ
A: ใช่ครับ แต่เราไม่ได้ลอกเขามาทั้งหมด เอามาปรับให้มีความเป็นไทย แต่ถ้าใครจะมาด่าเฟ็ดเฟ่ว่าก๊อบปี้ Jackass ก็ต้องตอบว่าใช่ครับ ยอมรับ ไม่รู้จะปฏิเสธทำไม มันอาจจะเริ่มต้นจากการดูคนอื่น แต่อยากให้รู้ไว้ว่าคนเราถ้าจะอยู่กับสิ่งไหนได้นานๆ สุดท้ายมันก็ต้องเป็นตัวของตัวเองด้วยเหมือนกัน
Q: พวกคุณมีวิธีการคิดงานให้ออกมาสนุกได้ยังไง
A: อย่าไปรู้อะไรมากครับ อย่าไปฉลาดมาก ฉลาดไปเดี๋ยวเราไม่ทำแล้วคนดูก็จะไม่ได้ดูสิ่งนั้นๆ อย่างคลิป 'เส้นเล็กต้องเดินไปสั่ง' ซึ่งเป็นคลิปที่ทำล้อเลียน MV เพลง 'เรือเล็กต้องออกจากฝั่ง' ของบอดี้สแลม คลิปนั้นเป็นคลิปที่เหนื่อยที่สุด หนักที่สุด เข้าเนื้อที่สุด โง่ที่สุด แต่ดังและมียอดวิวดีที่สุด ซึ่งงานนี้จะเกิดไม่ได้เลยถ้าเฟ็ดเฟ่เป็นคนฉลาดหรือไม่บ้า เราถ่ายกันทั้งหมด 200 ช็อต ตั้งแต่ 10 โมงยัน 6 โมงเช้า 2 วัน 3 โลเคชั่น ล้อเลียนกันทุกช็อต คือคนดีๆ เขาไม่ทำกัน ต้องโง่ด้วย (หัวเราะ) แต่ถ้ารู้ก่อนเราก็จะไม่ทำ แล้วสุดท้ายคนก็จะไม่ได้ดูสิ่งดีๆ
Q: นอกจากชอบความบันเทิงและแกล้งเพื่อน มีเหตุผลอะไรอีกที่จะต้องทำคลิปออกมาให้บ้า หยาบคาย และเกรียนสุดโต่งขนาดนั้น
A: เราต้องการทำรายการบันเทิงสีเทา ซึ่งรายการทีวีทุกวันนี้เป็นสีขาวหมด ต้องดูดี ไม่พูดคำหยาบ คนที่ดูก็รู้สึกว่ามันยังไม่ถึง ไม่ใช่ดีกรีในชีวิต แต่จริงๆ ยังมีกลุ่มคนที่อยากดูอะไรแบบสุดโต่ง อยากโชว์ตูดก็โชว์ อยากด่าก็ด่า แล้วด้วยความที่เราทุกคนเป็นเพื่อนกัน พอเพื่อนมาสายเหรอ “ไอ้สัตว์ ทำไมมึงไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ ไอ้เหี้ย” เป็นการด่าแบบแซวๆ กัน แต่คนดูจะรู้สึกว่า เออ นี่แหละชีวิตจริง เพื่อนมันพูดกันแบบนี้ ต้องเลวแบบนี้ คือเราอยากทำรายการที่ดีกรีมันถึง อยากให้คนดูได้ดูรายการที่ไม่มีกรอบ ไม่มีข้อห้าม แต่ว่าเดี๋ยวเราจะใช้จรรยาบรรณของเราเองในการดูว่ามันเกินไปหรือเปล่า บางอย่างที่คิดว่าเหมาะสมที่จะหยาบ เหมาะสมที่จะสีเทา ผมก็ทำ แต่ถ้าทำแล้วมันไม่ตลก อย่างมีฉากที่ผมต้องแก้ผ้าแล้วมันไม่ได้ดูสนุกหรือบันเทิง ผมก็ตัดทิ้ง ทุกอย่างที่เห็นมันผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว
Q: แต่คนที่ไม่รู้ก็จะไม่เข้าใจ
A: เฟ็ดเฟ่เป็นรายการบันเทิงสีเทาเฉพาะกลุ่มที่มีคนติดตามแค่ 9 แสนกว่าคน (ณ วันที่สัมภาษณ์ 10 ธันวาคม 2557) รายการทีวีสีขาวเขาดูกันเป็น 10 ล้าน เฟ็ดเฟ่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่อยากดูอะไรที่สุดโต่ง เราทำให้ทุกคนรักไม่ได้อยู่แล้ว แต่คนไทยลืมง่าย วันนี้เขาด่าเรา วันหน้าเขาเห็นงานอื่นๆ ที่ไม่ได้แก้ผ้าหรือพูดคำหยาบ เขาอาจจะกลับมารักก็ได้ เพราะจริงๆ เราก็ทำงานหลากหลายแนว เพราะฉะนั้นเวลาโดนด่า เลยไม่เคยรู้สึกท้ออะไร กลับคิดว่าเดี๋ยวคอยดู เดี๋ยวกูจะทำให้มึงรักงานกูให้ได้สักงาน คอยดูกันไปเรื่อยๆ
Q: พูดได้ว่าเฟ็ดเฟ่เป็นรายแรกๆ ที่กล้าทำอะไรสุดโต่ง ใช้เวลานานไหมกว่าเราจะเป็นที่รู้จักและยอมรับมากขนาดนี้
A: ไม่นานครับ ทำคลิปที่สองก็เป็นกระแสเลย คลิปแรกที่ลงยูทูบเป็นคลิปที่ชื่อ 'เฟ็ดเฟ่ (อย่างกะบอยแบนด์)' ตอนแรกเป็นตอนที่เอาพลุยิงกัน อันนี้ยังไม่ดัง แต่พอมาคลิปที่สองคือตอนแข่งกันกินพริก ปล่อยไปก็เป็นกระแสเลย จำได้ว่าถ่ายกันบ้านๆ ใช้กล้องแฮนดีแคมถ่ายกันดิบๆ แต่เราพิถีพิถันและตั้งใจทำกันมาก จัดทุกรายละเอียด
แล้ววันที่ถ่ายเป็นช่วงน้ำท่วมพอดี เฟ็ดเฟ่ทุกคนไม่มีใครมีบ้าน ทุกคนเช่าห้องกันอยู่ ตอนนั้นมีเจมส์ 500 คนเดียวที่มีบ้าน แต่อยู่มีนบุรี น้ำท่วมถึงหน้าอก ด้วยความที่อยากใช้พื้นที่บ้านในการถ่าย พวกเราเลยต้องลุยน้ำฝ่าเข้าไป ลงขันกันคนละ 30 บาท เอาไปซื้ออุปกรณ์ถ่ายงาน ซื้อกับข้าว ถ่ายเสร็จก็หุงข้าวนั่งกินกับไข่เจียวและไก่ทอดคนละน่อง เงินไม่มีก็ไปซื้อเบียร์ช้างเพราะดีกรีมันแรงหน่อย ค่อยๆ จิบเพราะมันเปลือง นั่งล้อมวงคุยกันว่าวันนี้โคตรสนุกเลย ถ้ามันไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้เล่นสนุกกัน จากวันนั้นที่ลงขันกันคนละ 30 บาท วันนี้ผมให้เพื่อนทุกคนลาออกจากงานประจำมาทำเฟ็ดเฟ่เต็มตัว และจ่ายเงินเดือนคนละ 35,000 บาท ไม่รวมโบนัสปลายปีและรายได้จากงานอีเวนต์
Q: ฟังดูพวกคุณมีความเชื่อในแนวทางของตัวเองชัดเจน แล้วที่ผ่านมามีอะไรบ้างไหมที่พอจะสั่นคลอน ‘ความเชื่อ’ เหล่านั้นของพวกคุณ
A: มันไม่ได้บั่นทอน แต่เป็นสิ่งที่คาดเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอ อย่างตอนเอารายการไปยื่นเสนอทางช่องกับสปอนเซอร์ คำแรกที่เขาจะถามเลยคือ มีคนหล่อ คนสวยไหม ดูหน้าตาพวกเราแต่ละคนแล้วพูดว่า โห หน้าตาอย่างกับโจรบางขวาง (หัวเราะ) แบบนี้ใครจะมาดู สปอนเซอร์ที่ไหนจะยอมให้หน้าตาอย่างนี้มาถือผลิตภัณฑ์ ตอนนั้นไม่มีใครเอาหรือเชื่อเราสักคน แต่เราไม่ท้อเลยนะ ไม่คิดอะไรมาก ไม่มีใครเอาก็กลับมาทำคลิปต่อ ส่งไปใหม่ ไม่มีใครเอา ก็กลับมาทำต่ออยู่แบบนี้ ตอนนั้นคิดแค่ว่าพวกเราเจอคนไม่ดี เจอคนหัวโบราณ เรามั่นใจว่าต้องมีผู้ใหญ่หรือสปอนเซอร์ที่เขาไม่ได้มองคนจากภายนอก แค่วันนั้นเรายังหาไม่เจอ
Q: อะไรที่ทำให้มั่นใจแบบนั้น
A: เราไม่เชื่อหรอกว่าคนเราแม่งจะมองกันแต่ภายนอก ถ้าตั้งใจทำงานออกมาให้ดี สุดท้ายคนก็จะเห็นเนื้อใน แล้วลองไปดูประวัติศาสตร์ของคนที่ประสบความสำเร็จ ที่ดังๆ หน้าตาไม่ดีมีเยอะแยะ พวกตลกรุ่นพี่อย่างพี่โน้ต อุดม, พี่หอย พี่เปิ้ล สาระแนโชว์ หรือตลกคาเฟ่อย่างพี่หม่ำ พี่เท่ง พี่โหน่ง เขาไม่หล่อแต่ยังประสบความสำเร็จได้เลย เฮ้ย แสดงว่ามันเป็นไปได้ แค่วันนั้น ตอนนั้น เราเจอคนไม่ดี เพราะฉะนั้นเราจึงไม่คิดมาก กลับมาทำงานของตัวเองให้เจ๋งสิ โชว์สิว่าเรามีฝีมือ ถ้าเราทำผลงานออกมาดีก็เหมือนเป็นการตบหน้าคนพวกนั้น แล้วก็หมือนเป็นการโบกมือแนะนำตัวให้ผู้ใหญ่ที่เขาไม่ได้มองคนแต่ภายนอกได้รู้จักเรา
Q: แล้วคำว่า ‘บอยแบนด์’ ที่เอามาต่อท้ายชื่อกลุ่ม ตั้งเอาฮา หรือจริงๆ มันมีนัยมากกว่านั้น
A: เราบัญญัติตัวเองว่าเป็นบอยแบนด์ เราอยู่ในหมวดเดียวกับ D2B, K-Otic หรือ One Direction นะครับ (หัวเราะ) คือจริงๆ เราตั้งใจจะล้อเลียน พอพูดคำว่าบอยแบนด์ สิ่งที่ทุกคนรู้สึกคือต้องหล่อ ขาว ใส มีชาติตระกูล มีหญิงกรี๊ด มีป้ายไฟ แต่ใครเป็นคนบัญญัติว่าบอยแบนด์ต้องเป็นแบบนั้นล่ะ คนขี้เหร่ก็เป็นบอยแบนด์ได้ เดี๋ยวจะทำให้ดู เหมือนเป็นการพิสูจน์ว่าคนหน้าเหี้ยๆ แบบเราก็เป็นบอยแบนด์ได้นะ จะใช้ความสามารถในการทำคลิปตลกๆ นี่แหละ แล้วเดี๋ยวจะทำให้ดูว่ามันเป็นไปได้ ซึ่งทุกวันนี้พวกผมก็มีป้ายไฟแล้วนะ
Q: มีหญิงกรี๊ดหรือยัง
A: มีแล้ว โอ้โห ทุกวันนี้ไปผับไหนคนเต็มหมด แน่นผับ มีหญิงมากรี๊ดหน้าเวที มีแฟนคลับตาม คือทุกสิ่งที่บอยแบนด์มีเรามีหมดแล้ว ไม่มีอยู่อย่างเดียวคือหน้าพวกผมยังเหี้ยเหมือนเดิม (หัวเราะ)
Q: ดูพวกคุณไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย อยากทำอะไรก็ทำ จริงๆ แล้วพวกคุณมีกรอบในการทำงานบ้างหรือเปล่า
A: เอาจริงๆ สิ่งที่พวกเราภูมิใจที่สุดในวันนี้ไม่ใช่ความดังหรือเงิน สิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือเราเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนธรรมดาๆ ที่กำลังรู้สึกท้อ ทำให้เขาเห็นว่ามันเป็นไปได้ เฟ็ดเฟ่ทำได้คุณก็ต้องทำได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะทำคือเป็นแรงบันดาลใจให้คน ขณะที่สิ่งที่เราจะไม่ทำคืออะไรก็ตามที่จะทำให้เขาหมดแรงบันดาลใจหรือเสื่อมศรัทธา อย่างเช่นทำคลิปกระดกเหล้าแล้วบอกน้องๆ ว่านี่คือเคล็ดลับที่ทำให้พวกพี่คิดงานสนุกๆ กันได้ หรือบอกน้องๆ ว่าที่เรามาถึงวันนี้ได้เพราะพวกเราฟลุกครับ ดวงดีเอง ไม่ต้องขยันหรอก แบบนี้จะไม่ทำเป็นอันขาด
Q: จากจุดเริ่มต้นวันที่ลงขันกันคนละ 30 บาท จนถึงวันนี้ที่มีทุกอย่าง เฟ็ดเฟ่อยากได้อะไรอีกไหม
A: พวกเราไม่ได้ยึดติดกับความดัง วันหนึ่งจะไม่ดังก็ไม่เป็นไร เพราะว่าก็ทำสิ่งที่รักอยู่แล้ว วันหนึ่งเริ่มมีแฟนคลับที่เรารักเขา และเขารักเรา อยู่ดีๆ วันหนึ่งเริ่มมีสินค้าเข้ามา เป็นรายได้เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงลูกได้ ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ เออมันดีเว้ย แต่ว่าเราไม่ได้ยึดติดว่าต้องดัง ต้องเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ หรือต้องไปทำเป็นหนัง 100 ล้าน ไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลย คิดแค่ว่ามีความสุข เพื่อนๆ เลี้ยงดูครอบครัวได้แค่นี้ก็พอ แล้วความฝันสูงสุดของเราคือ อยากจะสร้างบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน เป็นครอบครัวอยู่ในหมู่บ้าน เป็น ‘เฟ็ดเฟ่ วิลเลจ’ มีสโมสรตรงกลาง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ที่เป็นส่วนรวมของทุกคน
และอีกความฝันหนึ่งคืออยากไปเจอ Jackass ตัวจริงๆ ที่อเมริกาครับ
เรื่อง : สาวิตรี พรหมสิทธิ์
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์