สำหรับหนุ่มสาวผู้อยู่ในวัยทำงานทั้งหลาย สิ่งที่พวกท่านต้องฝ่าฟันไปให้ได้นั้น นอกจากจะมีเรื่องพายุอารมณ์ของเจ้านายและเพื่อนร่วมงานวายร้ายแล้ว ท่านยังต้องฟันฝ่ากับสภาวะอันน่าสะพรึงที่เราต่างรู้จักกันในนาม ‘บรีฟเหี้ย’
‘บรีฟเหี้ย’ เป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยา เป็นคำที่เจอบ่อยที่สุดในวงจรชีวิตของมนุษย์วัยทำงานและไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งเกิดได้จากหลายกรณี เช่น ผู้สั่งงานไม่มีความเข้าใจในการอธิบายความต้องการ ผู้สั่งงานอยากได้งานดีๆ แต่มีงบประมาณและเวลาจำกัด หรือผู้สั่งงานแสนจะเอาแต่ใจตัวเอง (เอ๊ะ! ก็เขาเป็นลูกค้านี่นา)
ในที่สุดก็มีมนุษย์ออฟฟิซอาจหาญขึ้นมาเปิดเพจไว้เป็นที่ระบายความอัดอั้นให้กับผองเพื่อนในนาม ‘บรีฟเหี้ย’ ซึ่งมีแอดมินร่วม 3 คนในนามแฝงว่า ‘ระทม ระบาย ระยำ’ ซึ่งเพียงไม่กี่เดือน ยอดคนติดตามทะลุไปสองหมื่นกว่าคน
“วันที่เปิดเพจไม่ได้คิดอะไรเลย แค่คิดว่าไม่ไหวแล้วเว้ย! เปิดเพจดีกว่า วันที่เปิดคือประมาณสิ้นเดือนมีนาที่ผ่านมา หลังจากนั้นมีคนเข้ามาติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คงเป็นเพราะมันคือความอัดอั้นที่ทุกคนมีมานานมาก มีความเจ็บปวดร่วมกันแต่ไม่มีใครกล้าพูด
“มีคนอินบ๊อกซ์เข้ามาเยอะมาก บอกว่าดีใจจังที่มีเพจนี้ น้ำตาจะไหล มันคือการผ่อนคลายหลังเลิกงานของเขา เราก็ดีใจที่มีที่ให้เขาปลดปล่อย มีคนมาแชร์ความเจ็บปวดกัน ส่วนใหญ่จะอินบ๊อกซ์มาว่าเพิ่งเจอมาเลย ไม่ไหวแล้ว มันเหมือนเราเป็นคลับฟรายเดย์เลย หลายคนส่งไอเดียมาขึ้นเพจ แต่ส่วนใหญ่เป็นนามแฝงเพราะกลัวตายกันหมด”
ระทมเล่าให้เราฟังถึงพื้นที่แห่งการปลดปล่อยที่เปิดไว้ให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายได้ระบายกัน เธอเป็นคนในสายงานโฆษณาและเห็นว่าวัฏจักรนี้ไม่มีที่สิ้นสุด บรีฟที่เลวร้ายนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกแผนก จากการส่งงานต่อๆ กัน แต่หลักๆ มาจากพระเจ้าที่มีชื่อว่า ‘ลูกค้า’
“จริงๆ เดี๋ยวนี้บรีฟจากลูกค้าที่เจอก็ดีขึ้นมากแล้ว ลูกค้ามีความพยายามจะชัดสุดในความต้องการของเขา แต่ปัญหามันเกิดขึ้นกลางทางระหว่างทำงานมากกว่า ทั้งเปลี่ยนทั้งรื้อ โดยเฉพาะในกรณีที่เขามีหลายแผนกที่เกี่ยวข้องในหนึ่งตัวงานแล้วยังไม่เคลียร์กันเองให้จบที่จะบรีฟเรา ปัญหาจริงๆ น่าจะอยู่ที่ budget และ timing พูดกันจริงๆ มันก็คือระบบทุนนิยมนั่นแหละที่ทำให้บรีฟเหี้ย ถ้ามองกันตรงๆ นะ เราไม่ได้โทษใครหรอก เพราะเราต่างเป็นทาสทุนนิยม ทุกอย่างมันก็ต้องทำให้ได้ตาม KPI ตามยอดที่เขาวางไว้”
มนุษย์เงินเดือนล้วนแล้วแต่ต้องอยู่ในระบบเช่นนี้ แต่จะทำยังไงไม่ให้บรีฟเหี้ยมาทำร้ายเราได้?
“ทำใจและทำความเข้าใจ เวลาที่เราโดนอะไรมาแทนที่จะโมโหคว่ำโต๊ะแล้วเขวี้ยงงานทิ้ง ลองตั้งสติแล้วคิดดูดีๆ จะเข้าใจว่าทำไมลูกค้าถึงบรีฟเหี้ยมาขนาดนี้ เขาอาจจะถูกกดดันมาว่าให้มียอดขาย 10 ล้านภายใน 2 เดือน เป็นเราก็ทำอะไรไม่ถูก มองลูกค้าให้เหมือนทีมเดียวกัน ช่วยเหลือกันผลักดันเป้าหมายให้สำเร็จ แต่ถ้าทนไม่ไหวก็มาระบายกับเราในเพจได้ ระบายเสร็จค่อยกลับไปทำงานต่อด้วยความเข้าใจ
“บางทีเราอยู่ในโลกทุนนิยมแบบนี้ก็เหมือนโดนสะกดจิตนะ คือเจ้าของสินค้าไหนก็ตามที่มีงบพี่อาร์สูงๆ เราไปไหนเราจะได้เห็นโฆษณาของเขาเต็มไปหมด เหมือนเราโดนสะกดจิตไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าสินค้าตัวนั้นเหมาะกับเราจริงๆ หรือเปล่า อย่างอยู่ดีๆ ผู้หญิงก็ฮิตผิวขาวซะงั้น เพราะโดนสะกดจิตว่าขาวคือดี ผอมคือดี ขนรักแร้เป็นสิ่งไม่ดี โฆษณามันสะกดจิตเราโดยไม่รู้ตัว ทุกวันนี้ผู้บริโภคต้องมีสติให้ดี ดูความต้องการตัวเองให้ชัด ถ้าทำแล้วมันไม่ใช่ก็อย่าฝืน”
ทุกวันนี้เพจบรีฟเหี้ยกลายเป็นชุมชนของมนุษย์เงินเดือนไปโดยปริยาย ซึ่งมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ เราถามแอดมินว่ามาถึงจุดนี้แล้วรู้สึกยังไง?
“ขอบคุณสำหรับการติดตามและฟีดแบ็กที่ดีเสมอมา เรารับรู้นะว่าคุณเห็น คุณจะกดไลค์หรือไม่กดก็เป็นกำลังใจกันต่อไป มีอะไรทนไม่ไหวก็แชร์มาเรารับฟังอยู่เสมอ แอดมินใจดีทุกคน เราขอเป็นเพียงที่พักใจให้ก็พอ”
ถ้าคลื่นวิทยุมีพื้นที่ปรึกษาปัญหาเรื่องหัวใจอย่างคลับฟรายเดย์ พื้นที่ออนไลน์ก็มีเพจบรีฟเหี้ยไว้คลายทุกข์จากงานอันละเหี่ยใจเหมือนกัน
เรื่อง : 7.00 น.
ภาพ : Brief Here