'ปิดเฟซบุ๊กแล้วลงมือทำงานซะทีเถอะ' : เล็ก Greasy Café


ผมใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการเลือกคำพูดสักประโยคของ เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หรือ เล็ก Greasy Café จากบทสัมภาษณ์ยาวเหยียดของเขาเพื่อใช้เป็นชื่อเรื่อง
มันไม่ง่ายหรอกถ้าเราจะอธิบายช่วงชีวิตและชุดความคิดของใครสักคนด้วยประโยคสั้นๆ และดูฉาบฉวยเกินไปด้วยซ้ำที่จะเหมารวมว่าตัวตนของคนคนนั้นเป็นดั่งคำสวยๆ แค่บรรทัดสองบรรทัดเฉกเช่นการทำนายอุปนิสัยด้วยราศีเกิด …มีอะไรมากกว่านั้นเสมอในความหมายของ ‘ชีวิต’
ตลอดหลายชั่วโมงที่เราพูดคุยกัน ผมรู้สึกว่าเล็กเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ชอบใจใคร่รู้ในการสำรวจพื้นที่การมีชีวิตอยู่ของตัวเองและคนรอบข้าง เขาให้ค่าในความเป็นคนของผู้อื่นพอๆ กับให้ความเรียบง่ายเข้าจัดการปัญหาที่ยุ่งเหยิง บางปัญหาระดับสังคมเขาว่าเริ่มสางปมด้วยใจไม่คิดร้ายและไม่กระทำสิ่งร้ายๆ ต่อกันก็เพียงพอแล้ว
วันนี้เล็กกลายเป็นไอดอลของใครหลายคน ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า ‘อย่าเลย’ หากใครสักคนจะเลียนแบบ เพราะแม้จะสว่างไสวแค่ไหนแต่หลังแสงไฟย่อมมีเงามืดเสมอ
จากชื่อเรื่องข้างบน เราจึงบอกไม่ได้ว่านั่นคือเขาทั้งหมด แต่ขอให้มองเป็นเพียงแค่โน้ตตัวเล็กๆ สักตัวหนึ่งที่ร้อยเรียงอยู่กับโน้ตอีกหลายสิบตัวเพื่อที่จะกลายมาเป็นหนึ่งบทเพลงในอีกหนึ่งอัลบั้มของชีวิต
และนี่คือบทเพลงของเขา ณ เวลานี้

– บทเพลงของ Greasy Café เรียกได้ว่าบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของชายชื่อเล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร อย่างซื่อตรง ทุกวันนี้ยังเป็นเช่นนั้นไหม มีอะไรตกหล่นไปตามเวลาหรือเปล่า
ยังซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองอยู่นะ ถ้าเรื่องนั้นๆ ที่เขียนมันไม่รู้สึกหรือมันไม่จริง เวลาร้องออกไปเราจะรู้สึกได้ว่า fake เพราะฉะนั้นมันควรเป็นเรื่องที่รู้สึกกับมันเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจากตัวเองหรือเรื่องคนรอบข้าง แล้วมันจะทำให้เราเขียนออกมาได้จากความรู้สึกที่มันรู้สึกจริงๆ เวลาถ่ายทอดด้วยการร้องมันก็ให้ความรู้สึกจริงออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่มีความสุขมากหรือย่ำแย่ก็ตาม มันจะถูกบันทึกออกมาในแต่ละอัลบั้ม เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาคงไม่ได้ตกหล่นอะไร ถามว่าเติบโตขึ้นไหม? ไม่แน่ใจในเรื่องนี้นะ แต่คิดว่ามันคงก้าวผ่านในบางเรื่องมาได้บ้างแล้ว อย่างเรื่องจิตใจที่มันย่ำแย่ในช่วงเวลาหนึ่งก็ผ่านมาได้

– เรียกว่าสื่อสารผ่านบทเพลงโดยเน้นความเป็นจริงเพราะห่วงคนฟัง กลัวว่าเขาจะไม่รู้สึกร่วมด้วย?
มันไม่ใช่เรื่องนั้นครับ เรื่องหลักๆ คือต้องรู้จักตัวเองก่อน เหมือนกับอัลบั้มแรกเราไม่ได้ตั้งใจจะเขียนให้ใครฟังโดยเฉพาะ แค่เอามันออกมาแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นการที่เอามันออกมาหลังจากที่ตรวจทานหลายๆ รอบแล้ว มันสามารถตอบโจทย์ในใจเราได้ไหมว่าในสิ่งที่เจอมาเราเขียนครบหรือยัง เรื่องนั้นสำคัญที่สุดครับ เรื่องห่วงคนฟังจะรู้สึกยังไงเป็นเรื่องหลังจากนั้นแล้ว

– ยังเชื่ออยู่ไหมว่าเพลงหรือดนตรีมันสามารถสื่อความคิดหรือความรู้สึกเราได้อย่างตรงไปตรงมา
เราว่ามันเป็นหนึ่งในหลายๆ อย่างที่พอถ่ายทอดออกไปแล้วมันมีฟีดแบ็กกลับมา อย่างภาพยนตร์บางเรื่องเราดูไปก็น้ำตาไหล ซึ่งเชื่อว่าเพลงก็ทำงานในลักษณะคล้ายๆ กัน โดยเฉพาะเพลงที่คนแต่งพูดในเรื่องที่เขารู้สึกจริงๆ คนฟังจะรับรู้ได้ อาจจะพูดตรงๆ หรืออ้อมไปนิดนึงก็แล้วแต่คน และใช่ มันคือการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา

– เคยให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า คนเราต้องปฏิสัมพันธ์กับปัจจุบันมากกว่าที่จะเอาตัวเองไปผูกมัดกับอดีตหรืออนาคต แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถทำให้มันชัดเจนขนาดนั้นได้ทุกเวลา สำหรับคุณแล้วอยู่กับปัจจุบันได้มากน้อยแค่ไหน
มันคือการทำความเข้าใจมากกว่า คือเตือนสติว่าให้อยู่กับเวลานี้ สิ่งรอบข้างแบบนี้ เป็นความพยายามสะกิดไหล่ตัวเองเบาๆ เรื่อยๆ ครับ มันไม่ใช่การเอาความฝันมาปนกับความเป็นจริง เราแอบรู้สึกว่าความฝันมันอยู่แค่ตอนที่เรานอนแค่นั้นเอง ตื่นมาแล้วทำความจริงเถอะ อย่าเอาความฝันมาปนกันเลย ไม่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความฝัน มันเป็นความตั้งใจที่ผสมกับความพยายาม วันหนึ่งเราอยากจะทำอัลบั้มให้เสร็จ อันนี้ไม่ใช่ความฝัน มันคือความเป็นจริงที่เราพยายามให้มันเกิดขึ้น
อย่างหลายๆ คนพูดว่า เราจะทำความฝันให้เป็นความจริง อันนี้มันแล้วแต่ใครจะตีโจทย์หรือคิดแบบนั้น แต่เราไม่ได้คิดแบบนั้น เชื่อว่ามันอยู่คนละส่วนกัน เพราะฉะนั้นพอเราตื่นขึ้นมาแล้วทำความจริงให้มันดีที่สุด แค่นั้น ส่วนเรื่องที่มันจะเป็นผลมาจากอดีตอย่างแผลเป็นที่อยู่บนแขนเรา เราจะไปมองมันทำไมตลอดเวลาว่าเรามีแผลเป็นอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องมองมัน ปัจจุบันก็พยายามอย่าให้เกิดแผลใหม่ เข้าใจครับว่าเรื่องบางเรื่องในอดีตมันหนักจริงๆ แต่เชื่อว่ามันจะวิ่งเข้ามาในบางเวลาเท่านั้น อาจจะเกิดได้ในช่วงหลังเหตุเกิดไม่นานเท่าไหร่ เมื่อฝนที่ตกหยุดไปแล้วยังไงพื้นถนนก็ยังเปียกอยู่สักพักหนึ่งมันจะค่อยๆ ระเหยไปเอง
ส่วนเรื่องอนาคต ใครจะไปรู้ว่ามันจะเกิดอะไร สมมุติว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาพูดกับผู้หญิงว่า เราจะมีอนาคตที่ดี นั่นคือโคตรโกหกเลย คุณรู้ได้ไง มันยังไม่เกิดเลย อย่าโกหกกันแบบนั้น ทำวันนี้ให้เขาเห็นสิว่าเราทำได้ดีแค่ไหนเท่าที่แรงจะทำได้ เรื่องอะไรที่จะเกิดพรุ่งนี้เดี๋ยวมันเกิดขึ้นเอง แต่ออกตัวไว้ก่อนว่ามันเป็นแค่มุมมองของผมคนเดียวนะ

– อยากรู้จริงๆ ว่าคุณมีวิธีการดำเนินชีวิตหรือวางแผนชีวิตอะไรยังไงบ้าง
แย่มากเลยครับ คือเราจะไม่ค่อยวางแผนเท่าไหร่ โดยสายตาคนทั่วไปแล้วมันไม่ดี เป็นคนเปื่อยๆ มันก็เลยทำให้คิดว่าทำวันนี้ให้ดีก่อนไหม? แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน สมมุติมีแผนจะไปเที่ยวอีกสองอาทิตย์ อันนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้เพราะต้องเคลียร์งานก่อน แต่ในการใช้ชีวิตปกติเราพยายามอยู่กับวันนี้ให้ดีที่สุด อาจจะทำได้ไม่ครบในสิบอย่างที่อยากทำแต่เราก็พยายาม

– บางคนคิดสูตรการใช้ชีวิตออกมาว่า เราต้องวางแผนตัวเองอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้าว่าจะเป็นอะไร หรือรู้จักวางแผนการเงินเพื่อที่อายุ 60 จะเกษียณได้อย่างมีความสุข สำหรับคุณวิธีคิดแบบนี้เป็นการหลอกหรือสะกดจิตตัวเองไหม
เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คิดแบบนั้นซึ่งก็แล้วแต่ใครจะคิด แต่เราอยากถามกลับไปว่ามันเหนื่อยไหมกับการทำแบบนั้น? เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะไม่มีโอกาสหรือทางเลือกมากเท่าไหร่ก็เลยต้องปล่อยให้เป็นแบบนั้น แต่เราแค่รู้สึกว่ามันเหนื่อยเกินในการบังคับตัวเองให้เป็น สมมุติบางคนตั้งใจไว้ว่าเรียนจบมาแบบนี้ ต้องทำงานแบบนี้ ซึ่งหลายๆ คนก็ไม่ได้ทำงานอย่างที่เรียนมาหรือเปล่า? เราว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่โหดร้ายหรือเป็นเรื่องน่าตกใจซะจนหัวใจวาย เชื่อว่ามีหลายคนที่สามารถวางแผนได้ แต่การไปให้ถึงตรงนั้นให้เร็วที่สุดมันอาจจะมีการพลาดล้ม เจ็บตัวหรือพิการ จนทำให้ไปถึงวันนั้นไม่ได้ แต่ขอย้ำว่ามันเป็นมุมมองของเราคนเดียว

– ถ้ามีใครสักคนเดินมาบอกว่าคุณเป็นไอดอลของเขา เขาอยากเป็นแบบคุณมาก คุณจะตอบเขาว่ายังไง
อย่าเลย (ตอบเร็ว) จริงๆ นะ อย่าเลย เราไม่ใช่ไอดอล ถึงแม้จะเคยไปออกรายการ The Idol แล้วก็ตาม (หัวเราะ) ด้านที่เขาเห็นมันอาจจะไม่ได้ครบทุกๆ ด้านที่คนคนนั้นเป็นหรือเปล่า จริงๆ เราอาจจะไม่ได้ดี แต่หลายๆ คนมองแต่ด้านที่สว่าง หรือด้านที่คนคนนั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งอย่างเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าประสบความสำเร็จ เพราะเราไม่เคยวางเอาไว้ว่าถึงจุดนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ในการที่คนคนหนึ่งจะมองให้มันเป็นแบบนั้นแล้วเอาไปเป็นพลังด้านบวกในการทำอะไรก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
บางคนสักคำว่า Greasy Café เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง คือตอนนี้ก็รู้สึกดีกันแหละ แต่ถ้าวันหนึ่งเราไม่รักกันแล้วล่ะ รอยสักนั้นมันเอาออกไม่ได้นะครับ หรือมันเอาออกได้แต่ก็จะเป็นแผลเป็น แม้แต่คนที่เป็นแฟนกันหรืออะไรก็ตาม มันไม่มีอะไรมาการันตีว่าเราจะอยู่กันจนวันตาย เพราะฉะนั้นการที่คนคนหนึ่งจะมองสิ่งที่เราเป็นอยู่ว่าดี มันอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้นก็ได้ ใครที่ทำอะไรอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เต็มที่เถอะ สมมุติวันหนึ่งเราเป็นคนออกแบบจักรยานก็ทำจักรยานที่มันดีที่สุดในวันนี้ เดี๋ยวอนาคตมันตามมาทีหลังเอง

– ถ้าอย่างนั้น เราควรจะมองไอดอลบนโลกนี้ยังไง เพราะอย่าง Steve Jobs หรือ Mark Zuckerberg เองก็มีด้านมืดด้วยกันทั้งนั้น
มันควรทำยังไงรู้เปล่า? ปิดเฟซบุ๊กแล้วทำงาน แค่นั้นเอง! ไปดูมาก ไปมองมาก แล้วอยากจะเป็นคนโน้นคนนี้ เราว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรอยู่ในหัวเกินไป ปิดเฟซบุ๊กแล้วลงมือทำงานซะทีเถอะ อย่าไปลอยตามอะไรพวกนั้น นั่งออกแบบเก้าอี้อยู่ หรือดีไซน์ตึกตึกหนึ่งอยู่ก็ทำแค่ตรงนั้นให้มันดี ไม่ใช่การเห็นคนคนหนึ่งโพสต์โน่นโพสต์นี่แล้วก็อยากเป็นแบบเขาจัง ปิดเฟซบุ๊กแล้วทำงาน จบ

– คุณเชื่อไหมว่าทุกคนบนโลกนี้ เราต่างมีหน้าที่ค้นหาตัวเองให้เจอ
แล้วแต่เลย คือถ้าเจอตัวเองได้ก็เป็นเรื่องดีแหละ อย่างเราไม่ชอบกินข้าวกะเพราไก่แต่ชอบข้าวไข่พะโล้ นั่นเราก็เริ่มเจอแล้วนะ เชื่อว่าในที่สุดแล้วเราก็จะพอรู้บ้างแหละว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร เพียงแต่ว่าใครใช้เวลามากน้อยแค่ไหน

– แต่มันก็ยากนะ เพราะทุกวันนี้เรามีกรอบมีระบบสังคมที่ทำให้ชีวิตไหลไปตามนั้นได้ตลอดเวลา
นั่นแหละ อย่างที่เราว่า ปิดเฟซบุ๊กแล้วทำงาน มันเหมือนกับตอนคอนเสิร์ต Until Tomorrow (Greasy Café: Until Tomorrow คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของเล็ก จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2556 ณ สนามกีฬา จรัญ บุรพรัตน์) ช่วงนั้นเราไม่ได้ดูโซเชียลอะไรเลย ถ้าจำไม่ผิด คืนวันก่อนที่จะมีคอนเสิร์ต มีการยิงกันที่ลาน ซึ่งเราไม่รู้เลย จนรุ่งเช้าทาง Smallroom โทรมาว่า พี่เล็กจะหยุดไหม เพราะว่าแม่ของน้องคนนู้นคนนี้ไม่อยากให้มาร่วม เรารู้สึกว่าสิ่งที่เขาอยากให้เห็นในข่าว หรือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโซเชียลต่างๆ มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น เราเสียใจด้วยกับคนที่โดนยิงวันนั้น เสียใจจริงๆ ครับกับครอบครัวเขา แต่ถ้าช่วงสองสามวันก่อนหน้า Until Tomorrow ถ้าเราเปิดข่าวหรือมัวแต่เสพข่าวอะไรต่างๆ เรียบร้อยครับ ไม่เกิดขึ้น แล้วเราจะไม่ได้ทำซะทีแน่ๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่ห่วงคนที่ไปในวันนั้นนะ แต่ว่างานในวันนั้นมันได้พิสูจน์ให้เห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งบางทีอะไรที่เราเห็นมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้ หลายๆ เรื่องในชีวิตเราเลยนะ

– พูดในแง่ความสำเร็จกันบ้าง ทุกวันนี้คุณมองมันยังไง
มีตังค์กินข้าวมั้ง เราไม่ได้มองว่ามันคือความสำเร็จนะครับ เรามองมันแบบมีตังค์กินข้าว มีตังค์จ่ายค่าน้ำค่าไฟ อยากได้อะไรก็อาจจะพอได้บ้างก็โอเคแล้ว ถามว่ามีบ้านราคา 4 ล้าน มีรถสปอร์ตราคา 10 ล้านถือว่าประสบความสำเร็จไหม? เราว่าเรื่องพวกนั้นก็ดีแหละถ้าเกิดขึ้นกับทุกคน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แบบนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเอาแค่ว่าอยากกินอะไรก็กินได้บ้าง หรือได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักก็โอเคแล้วนะ

– เชื่อว่าพนักงานออฟฟิซหลายๆ คนมีโมเมนต์ที่อยากจะออกมาทำงานอิสระของตัวเอง คุณอยากจะให้กำลังใจคนเหล่านี้ยังไง ในฐานะที่คุณก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว
อยากพูดคำว่าทำไปก่อนเนอะ แล้วถ้ามันจะมีช่องทางอื่นที่จะทำให้เราไปในจุดที่อยากไปได้อย่างนั้นก็ค่อยว่ากัน แต่ทุกวันนี้ใครมีโอกาสมีเงินเดือนจากการทำงานได้ ทำไปก่อน มันยังดีกว่าการนอนอยู่บ้านสบายๆ แต่ท้องหิวมากแล้วไม่มีตังค์กินข้าว
ส่วนคนที่ออกมาแล้วมันก็ต้องวัดล่ะ เหมือนที่เรายอมทิ้งการถ่ายรูป ซึ่งตอนนั้นมันก็พอจะมีตังค์ให้กินข้าว จ่ายค่าเช่าบ้านค่าอะไรได้บ้าง แต่เมื่อเราอยากทำดนตรีแล้วก็ต้องทิ้ง มันจะไม่มีตังค์นะมันจะไม่มีตังค์ ท่องกับตัวเองเอาไว้ ถ้ามั่นใจก็ออก ถ้าไตร่ตรองดีแล้วก็ทำ ถ้าจะไม่มีตังค์กินข้าวนั่นคือเราได้ตัดสินใจแล้ว ต้องยอมรับความจริง อย่าบ่น ไม่งั้นมันก็เรื่อยเปื่อย ตรงนี้ไม่ชอบเดี๋ยวก็โดดไปตรงนั้นอีก มันจะจบตรงไหนล่ะ ตรงไหนจะทำให้สบายใจที่สุด เป็น jumper ไปเรื่อยๆ มันเหมือนเหลาะแหละหรือเปล่า

– ช่วงที่ผ่านมามีคนหยิบคำว่า slow life มาพูดถึงกันในสื่อต่างๆ อยู่พักใหญ่ คุณมองความเร็วของสังคมทุกวันนี้ยังไง วิถี slow life จำเป็นแค่ไหนกับสังคมทุกวันนี้
เรายังไม่ชัดเจนกับคำว่า slow life เท่าไหร่ แต่ถ้ามันจะหมายความว่าทำชีวิตให้ช้าลง มันก็อาจจะดีก็ได้ อย่างการที่คนคนหนึ่งอยู่หน้าคอมพ์ตลอดเวลา ลองพักจากหน้าจอสัก 20 นาทีออกมารดน้ำต้นไม้หรือขี่จักรยานไปนั่งกินข้าวร้านป้า เราว่ามันก็น่ารักดีนะ ไม่ต้องรีบเร่งในการพยายามทำงานให้จบ เพราะเราเชื่อว่าการพยายามทำงานให้จบมันอาจจะช้ากว่าการที่พักก่อนเดี๋ยวมาทำใหม่ แต่ไม่ใช่ว่าทิ้งเป็นเดือนๆ นะ ทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง เดี๋ยวกลับมาทำใหม่ มันอาจจะทำให้ refresh ตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา แต่เราเชื่อว่ามันก็ดีนะถ้าในหนึ่งเดือนทำงานอยู่กรุงเทพฯ แล้วเสาร์อาทิตย์นั่งรถหรือขับรถออกเที่ยวกับแฟน หาอะไรอร่อยๆ กินนอกเมือง เพราะฉะนั้นถ้าทำแบบนั้นมันคือการบาลานซ์ชีวิต เราว่ามันเป็นเรื่องดี

– เวลาดูคอนเสิร์ตของ Greasy Café หลายคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้นอินกับบทเพลงมากๆ คุณสร้างบรรยากาศแบบนั้นให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เวลาไปทำงาน เราเรียกว่าการไปเล่นคอนเสิร์ตคือการทำงานแล้วกันนะ อย่าลืมนะครับว่าคนเป็นร้อยเป็นพันคน สำหรับวงเล็กๆ อย่างเราถือว่าเยอะแล้วนะ หลายๆ คนต้องฝ่ารถติดฝ่าอะไรมาเพื่อมาอยู่ตรงนั้น เขาเสียสละเวลาของเขามาก สมมุติคืนวันศุกร์คืนวันเสาร์เขาไปเที่ยวที่ไหนก็ได้เยอะแยะ แต่เขาเลือกมาอยู่ตรงนั้น เขาเสียสละหลายๆ อย่างมากเลยนะ เราไม่รู้จะพูดขอบคุณยังไง คือการตัดสินใจเสียสละเวลาของตัวเองเพื่อมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับเรา เราไม่สามารถควบคุมได้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัวเรา และมันเป็นเรื่องมีค่ามาก

– ฟังๆ ดูคุณเป็นคนให้ค่าในความเป็นมนุษย์ของคนอื่นสูง
มีโปรเจ็กต์หนึ่งเข้ามา (ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Down เป็นคนธรรมดามันง่ายไป) ผมรับหน้าที่เขียนเพลงประกอบ (เพลงสุดสายตา) ซึ่งก่อนหน้านั้นอยากเขียนเรื่องของการมองค่าของคนอื่น แต่เราไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง พอมาเจออะไรบางอย่างในโปรเจ็กต์นี้ มันทำให้เราเห็นอะไรชัดเจนขึ้น
อย่างเวลาอยู่ที่ทะเลแล้วต่างคนต่างมองออกไปสุดลูกหูลูกตาที่ปลายขอบฟ้า มันมีจริงๆ เหรอคนที่จะมองเส้นตรงเส้นนั้นเป็นอย่างอื่น? เท่านั้นแหละ คุณเอาอะไรมาบอกว่าคุณมีค่าหรือดีกว่าคนอื่นในเมื่อเรายังหายใจเหมือนกัน ทำไมต้องรู้สึกว่าเด็กคนนี้พิเศษกว่าเด็กคนโน้นล่ะ ทำไมเราต้องรู้สึกเหนือกว่าป้ากวาดขยะข้างถนน ไม่จริง! กล้าเอาอะไรมาวัดเหรอ หรือถ้าเป็นระดับผู้นำ ทำไมจะต้องรู้สึกว่าเราพูดจาอย่างนี้กับใครได้ ไม่ใช่! หรือเราเป็นหัวหน้าวงแล้วจะให้คนอื่นๆ รอมันก็ไม่ได้ ใจเขาใจเรา มันน่ากลัวมากนะคนที่รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น หัวใจคนเรามันเป็นก้อนเนื้อเหมือนกัน มีเลือดข้างในเหมือนกัน เราเลยมองว่าปัญหาหลายๆ เรื่องที่มันเกิดขึ้นในสังคม มันเป็นการคิดอะไรกว้างใหญ่เกินไป สมมุติว่าคนคนหนึ่งอยากจะเป็นคนดี แค่คิดว่าจะไม่คิดทำร้ายใครด้วยคำพูดหรือไม่ทำร้ายด้วยการกระทำนั่นคือดีแล้ว เอาแค่นี้ก่อน จากหนึ่งเดี๋ยวก็กลายเป็นร้อยเป็นพันคน เข้าใจครับเรื่องบางเรื่องมันซับซ้อนมาก แต่หลายเรื่องเหมือนกันที่เอาความซับซ้อนออกไปก่อนได้ แล้วมาดูกันง่ายๆ แต่ไม่ใช่การมักง่ายนะ เรามาคิดกันบ้านๆ บ้างไหม

– พูดเรื่องของความเชื่อกันบ้าง ในโลกนี้มีความเชื่อที่หลากหลายมากมายเป็นร้อยเป็นพัน เราจะมีวิธีการจัดการหรือดูแลอย่างไรให้แต่ละความเชื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
เราว่ามันจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าใครเป็นยังไง สมมุติมีห้องครัวห้องหนึ่ง แล้วมีคนหลากหลายมากเลยมากินข้าวแต่เราทำอาหารแค่ชนิดเดียวซึ่งเขาอาจจะกินไม่ได้ เพราะกินเนื้อวัวไม่ได้ กินหมูไม่ได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ เราควรทำความเข้าใจเรื่องนั้นๆ ก่อน ขนาดหน้าตาเรายังไม่เหมือนกันเลยจะให้แต่ละคนเหมือนกันได้ยังไง เพราะฉะนั้นเราต้องรับมืออย่างเข้าใจ หรือจะเริ่มจาก 1.พยายามเข้าใจคนอื่น 2.อย่าคิดร้ายหรือไปทำร้ายใคร หลายๆ อย่างก็น่าจะดีขึ้น

– วันนี้เรามาถึงจุดที่เทคโนโลยีมันไปไกลพอสมควรแล้ว หาคำตอบกับสิ่งต่างๆ ได้มากมาย คุณคิดว่าเรามาไกลจากบรรพบุรุษแล้วหรือยัง
มันเป็นสิ่งรอบข้างมั้งที่ทำให้เรารู้สึกมาไกลกว่าเขา แต่ทางด้านความคิดอาจจะถอยหลัง หรืออาจจะเท่าเขาในตอนนั้น หรือถ้ามาก็อาจจะไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ อย่างการสร้างบ้านในปัจจุบัน แบบบ้านใหม่ๆ อยู่กันแค่ไม่กี่เดือนก็ทรุดก็พังแล้ว ในขณะที่บ้านโบราณเขาอยู่กันมา 40-50 ปีไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย เราฉาบฉวยกันมาก เราคิดถึงใจคนอื่นน้อยเกินไป คิดจะทำร้ายคนอื่นจากการหวังผลประโยชน์มากเกินไป
เอาเรื่องนอกลู่นอกทางบ้าง เราก็รู้อยู่ว่าป่าไม้มันไม่มากแล้วตัดกันทำไมหนักหนา มันวิกฤติมานานแล้ว ทำไมยังปล่อยให้ทำกันอยู่ เรื่องผลประโยชน์มันเอาแค่ช่วงชีวิตเราก็พอแล้วเหรอ ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นเหรอ อย่างรู้ว่าต้นไม้หน้าบ้านเรามันเป็นร่มเงาให้จอดรถได้แล้วยังตัดมันอีกทำไม ตอนนี้มันมีวัสดุแทนธรรมชาติเยอะมากเลย มันจำเป็นต้องทำแบบนั้นไหม ถ้าจะมองแบบละเอียดมากๆ มันไม่ได้เป็นแค่ร่มเงาให้รถ แต่นกก็อยู่ได้ เราว่าเรื่องหลายๆ เรื่องมันคิดแบบบ้านๆ ก็ได้นะ

– ดูเหมือนว่าชีวิตคุณจะเดินมาอย่างมีองค์ประกอบเกื้อหนุนหลายๆ อย่าง ถามจริงๆ ว่าเคยล้มเหลวในชีวิตไหม
เรามองว่ามันแย่มากดีกว่า ช่วงที่มันแย่มากแบบไม่มีตังค์กินข้าวเลยแต่ก็ต้องพยายามมองอย่างเข้าใจ เราเหลือตังค์อยู่ 10 บาท 20 บาท เราต้องอยู่ให้ได้หลายวัน ทำยังไงดี ไม่ใช่การกระโดดโลดเต้นแบบไม่รอดๆ มันต้องรอดสิ หาวิธีสิ 10 บาทแบ่งยังไง หรือแบบซื้ออะไรเอามากินได้หลายๆ วัน ช่วงทำอัลบั้มชุดที่ 1 มา 2 นี่แหละ มันร่อแร่มาก คือถ้าเราไม่ดื้อพอก็คงไม่ได้ทำอัลบั้ม 3 ถามว่าได้อะไรจากภาวะแบบนั้น? มองว่าเราอาจจะทำมันยังไม่ดีพอหรือทำไม่เต็มที่พอหรือเปล่า แต่เราเชื่อว่าหลายๆ อย่างมันอาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วยนะที่ทำให้เรามีตังค์แค่ 20 บาทในตอนนั้น

– ขยับมาเรื่องความรักกันบ้าง เราให้นิยามกับความรักมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว สำหรับคุณความรักมันควรมีนิยามยังไง
นิยามความรักของแต่ละคนมันอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ แต่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน แล้วคนสองคนนั้นได้ตัดสินใจว่าจะร่วมทางกัน ซึ่งมันได้ผ่านการไตร่ตรองมาประมาณหนึ่ง ความรักในนิยามของแต่ละคนมันคงเป็นสูตรที่มีมาตั้งแต่โบราณมั้ง เหมือนวิธีทำแกงเขียวหวานว่าทำยังไงให้หน้าตามันออกมาเป็นแกงเขียวหวาน บางคนอาจจะใส่กระชาย บางคนอาจจะใส่พริกไทยสด แล้วแต่ บางคนอาจจะใช้กะทิกระป๋อง บางคนอาจจะใช้กะทิสด ก็แล้วแต่ รสชาติต้องปรุงกันเอาเอง ชิมดูก็จะรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ

– สังเกตว่าในงานแต่งงานของหลายคู่จะมีคำว่า ‘รักนิรันดร์’ ทั้งที่ในความเป็นจริงก็ไม่รู้หรอกว่าเราจะรักกันได้นานแค่ไหน แต่ก็พยายามให้คำมั่นสัญญา คุณมองเรื่องนี้ยังไง
กลับมาในเรื่องของทำในแต่ละวันให้ดี เราเชื่อว่ามีแหละที่จะอยู่กับคนคนนั้นจนถึงขั้นแต่งงาน แต่มันไม่ได้เป็นเครื่องการันตีตลอดเวลาว่าถ้าแต่งงานแล้วเราจะอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย ทางกฎหมายอาจจะใช่ ถ้าไม่ได้หย่าร้างก่อน เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าคนคนนี้คือคนที่ถูกต้องแล้ว ครบถ้วนทุกอย่างแล้ว เมื่อแต่งงานกันไปมันก็จะมีสักวันที่อาจจะเกิดปัญหาหรือหลายๆ วันที่เกิดปัญหา จนมาวันนึงตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ด้วยกันแล้วนะ หรือการที่เรารักแฟนคนนึงมากๆ เราจะไปรู้ได้ไงว่าอีก 5 ปีจะเลิกกัน ถ้าจะรู้สึกแบบนั้นวันในแต่ละวันมันจะผ่านไปยากเย็นนะ มันไม่ได้ครับ รักใครคนนึงก็รักเขาจริงๆ อย่าหลอกกัน รักให้เต็มที่เท่าที่จะรักได้ แล้วถ้าจะเกิดอะไรขึ้นนั่นคือมันต้องเกิด ถ้าจะต้องแต่งงานก็แต่งงาน ถ้าจะต้องเลิกกันก็ต้องเลิกกัน เราว่าในที่สุดแล้วก็คือการทำความเข้าใจกับแกงเขียวหวานถ้วยนั้นก่อนว่ารสชาติมันเป็นยังไงตั้งแต่แรก เรากินมันอย่างเอร็ดอร่อยไหม ถ้าวันนึงแกงเขียวหวานถ้วยนี้เราซดจนหมดแล้ว มันไม่มีแล้ว ก็แค่นั้น ทำความเข้าใจ เอาจานไปล้างก็จบ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกและตัดสินใจหลายๆ อย่าง ทั้งการเดินเข้ามาหรือเดินออกไป จบกันตรงนั้นพอ ไม่จำเป็นต้องไปทำร้ายกัน

– ในบางครั้งที่เราดูเรื่องราวความรักของคนอื่นที่อยู่กันจนแก่เฒ่า หลายคนตื้นตัน หลายคนร้องไห้ คุณคิดว่าปัจจุบันหัวใจเราเปราะบางเกินไปไหม หรือเราต่างโหยหาที่จะพบเรื่องราวความรักในแบบนั้น
ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องของการโหยหาหรือเปล่า แต่เวลาเห็นภาพเหล่านั้นแล้วมันไปสะกิดในใจของใครต่อใครในมุมที่สวยงาม หมายความว่าคนคนหนึ่งที่จะรักคนคนหนึ่งได้นานขนาดนั้น มันอาจจะเกิดขึ้นในสังคมเราน้อยลงไปทุกทีหรือเปล่าเลยทำให้เราอยากมีแบบนั้น แม้แต่เราเองยังรู้สึก แต่รู้สึกแล้วก็ต้องทำความเข้าใจกับมันว่าคู่นี้เขารักกันดีนะ แค่นั้นเอง ไม่ถึงขนาดว่าอยากเป็นแบบเขา ถ้าเป็นแบบนั้นได้คงจะดีทุกคู่ แต่ไม่เห็นจะต้องปล่อยให้ตัวเราไปเป็นแบบนั้นเลย มันเหนื่อย ถ้าจะเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงโดยไม่ต้องเหนื่อยกันมากคงเป็นเรื่องดี คำว่ารักกันจนแก่เฒ่ามันเป็นคำที่ดีนะ แต่มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน

– คุณเคยประสบอุบัติเหตุทางความรักไหม
เคย แต่เราก็แค่ทำความเข้าใจ เราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ มันทำร้ายใครต่อใครเยอะแยะเลย ซึ่งหลายๆ คนน่าจะพยายามเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ สะกิดแก้มตัวเองประมาณนึง แล้วลองถามตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ เรามีอะไรอยู่ จะให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปจะดีเหรอ
การที่คนคนนึงมารู้สึกดีกับเรามันเป็นเรื่องดีนะ ผู้ชายคนนึงมีผู้หญิงมารู้สึกดีด้วย หรือแบบผู้หญิงคนนึงมีผู้ชายมาคุยด้วยอะไรแบบนี้มันรู้สึกดี แต่ต้องอยู่กับเงื่อนไขหลายๆ อย่าง เรามีอะไรอยู่หรือเปล่า คือโอกาสพลาดในคนเรามันเกิดขึ้นได้ พลาดแล้วก็อย่าทำให้มันเกิดขึ้นอีก ไม่อย่างนั้นก็เป็นปัญหาไม่รู้จบ

– พูดถึงเรื่องเพื่อนกันบ้าง คุณมองคำว่าเพื่อนยังไง
เราเพื่อนน้อยมากครับ ไม่ได้รู้สึกว่ามันเติมเต็มอะไร โอเคกับสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ได้รู้สึกว่าโหยหาอะไรเลย เราเจออะไรมาประมาณนึงเหมือนกันกับการที่เอาหัวใจให้คนคนนึงในฐานะเพื่อนแล้วเจออะไรกลับมาไม่ดี มันทำให้รู้สึกแย่มาก เจ็บปวดมากๆ ในเวลาต่อมามันทำให้เราไม่กล้าเอาหัวใจให้ใคร กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก คำว่าเพื่อนมันคงแบบว่าดูแลกัน ช่วยกัน แต่จะถึงขั้นในความหมายของเพื่อนตายไหม? ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นจริงก็คงดีล่ะ

– แล้วเพื่อนแท้จะดูยังไง เพราะบางทีเห็นว่าแท้ๆ ก็อ้อมมาแทงข้างหลังกันได้
เพื่อนแท้มันเป็นคนที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรจากตัวเรา น่าจะเริ่มต้นจากตรงนั้น แล้วก็เป็นห่วงเวลาที่เราเกิดปัญหา คอยให้คำปรึกษา เราก็ไม่รู้ว่าแท้หรือปลอมมันดูกันยังไง ของปลอมบางอย่างมันเหมือนของแท้มากเลย ต้องค่อยๆ สังเกต มันจะกลับมาที่สองบรรทัดนั้นจริงๆ ในการทำอะไรหลายๆ อย่าง ไม่คิดทำร้ายใคร และไม่ไปทำร้ายใคร จริงๆ แค่นั้นเอง

– คุณมองเห็นอะไรจากสังคมทุกวันนี้ที่กลายเป็นสังคมก้มหน้ากันไปแล้ว
มันเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลมากๆ ว่าใครจะทำอะไร แต่บางเรื่องมันก็ดูตลกดีนะ ในการนัดเจอกินข้าวหรืออะไรร่วมกันอยู่ห้าหกคน แล้วแต่ละคนเอาแต่ก้มมองมือถือ อย่างนี้มันตลกไปหน่อยไหม เราวางมือถือแล้วมองหน้ากันดีกว่า สังคมก้มหน้ามันทำให้บทสนทนาน้อยลงมั้ง สมมุติว่าไม่มีโทรศัพท์ เดี๋ยวมันก็จะหาเรื่องคุยกันไปเรื่อยๆ
เราไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้ มันต้องอยู่กับปัจจุบันอย่างเข้าใจนะ หลายๆ เรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องสังคมก้มหน้า เราต้องพยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราบ้าง ไม่ใช่ไปโวยวาย เราต้องอยู่กับปัจจุบันอย่างมีสติแล้วก็เข้าใจมันแค่นั้นเอง เพราะถ้าเราเข้าใจก็จะไม่หงุดหงิดไม่รำคาญ ไม่ต้องไปโวยวายในเฟซบุ๊ก ใครจะโวยวายเราก็แค่ไม่ไปอ่าน ถ้ามันไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ปล่อย ทุกสเตตัสบนเฟซบุ๊กไม่เห็นต้องอ่าน ปิดเฟซบุ๊กทำงานเหอะ แล้วอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุขอย่างเข้าใจ

– ในหลายปีที่ผ่านมาสังเกตว่าสังคมเรากลายเป็นสังคมโทษแต่คนอื่น โดยเฉพาะในเรื่องการเมือง เราโทษกันไปโทษกันมาจนแม้แต่เพื่อนสนิทกลับต้องแยกทางหรือกลายเป็นศัตรูกัน เราจะแก้ไขจุดนี้ได้ยังไง
ต้องพยายามเข้าใจกับปัจจุบัน คนที่ไม่ได้ชอบทีมบอลเดียวกับเรา เราจะไปโกรธเขาทำไม ไม่เห็นเป็นไรเลย เราแค่รู้ว่าเขาไม่ได้ชอบทีมนี้ เขาชอบอีกทีมนึงก็เข้าใจเขา ถ้าจะอยู่ด้วยกันนะ สมมุติเขาชอบกินก๋วยเตี๋ยว แต่เราชอบกินข้าวแกง ก็แยกกันกินแล้วเดี๋ยวกลับมาเจอกันก็แค่นั้นเอง ทำไมจะต้องบังคับให้กินข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวเหมือนกับเรา ทำไมต้องบังคับให้ทุกคนคิดแบบที่เราคิด มันตื้นเขินไป ใครชอบให้ใครบังคับบ้างถามหน่อย คนที่ออกกฎชอบให้คนอื่นบังคับตัวเองหรือเปล่า กลับไปค่อยๆ ตั้งใจถามตัวเองว่าชอบถูกบังคับเหรอ ถ้าไม่ชอบก็อย่าบังคับคนอื่นถ้าไม่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ต้องทำความเข้าใจโดยที่ไม่ด่วนตัดสินใคร เราไม่อยากได้ยินใครพูดไม่ดีกับเรา เราก็แค่อย่าไปพูดไม่ดีกับเขา มันเหมือนปิงปอง ตีไปมันก็เด้งกลับมา แล้วไม่รู้มันเด้งมายังไงด้วย ถ้าอยากให้มันกลับมาเนียนๆ ก็ค่อยๆ ตีไป

– ทุกวันนี้หลายคนชอบคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยวจากสังคม คุณมองเรื่องนี้ยังไง
ทำไมต้องรู้สึกแบบนั้นล่ะ การที่คนคนนึงต้องอยู่ในห้อง ประตูไม่ได้ปิดล็อกเลยนะ เดินออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ เดินออกไปสิ ทำไมจะต้องรู้สึกว่าเราถูกขัง ผลักประตูออกไปเมื่อไหร่ก็เจอข้างนอกแล้ว ทำไมต้องรู้สึกย่ำแย่ ลองค่อยๆ ถามตัวเองว่ามันเกิดจากอะไร ทำไมต้องรู้สึกโดดเดี่ยวขนาดนั้น ถ้าประตูไม่ได้ล็อก เราเปิดออกมาได้ก็เปิดออกมาเถอะ หรือถ้าตัดสินใจว่าวันนี้จะอยู่ในห้องทั้งวันก็อยู่ไปสิ แต่ตัดสินใจเองนะ ไม่มีใครบังคับ อย่าไปทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดีด้วยตัวเอง

– แสดงว่าอิสรภาพในการใช้ชีวิตเรามีอยู่จริง
ถ้าในสังคมมันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต้องเข้าใจว่าทำอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นอย่าไปหงุดหงิดมากมายว่าทำโน่นทำนี่ไม่ได้ อยู่อย่างเข้าใจแล้วเราจะไม่แย่ หมายความว่าถนนมันวันเวย์ จะขับสวนไปทำไม มอเตอร์ไซค์ไม่ให้ขึ้นสะพานก็ต้องพยายามเข้าใจ ไม่ใช่โวยวายว่าทำไมมันขึ้นไม่ได้ ทำความเข้าใจก่อนไหม
อิสรภาพมันสะดวกจริงแหละ ถ้าเราสามารถขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นสะพานได้มันประหยัดเวลาไปเยอะเลย แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่ให้ขี่แล้วเหตุผลมันแข็งแรงพอก็โอเค ไม่เป็นไร บอกเล่ากันด้วยเหตุผลที่ดี ไม่ใช่แบบเหตุผลมั่วๆ ฟังไม่ขึ้น หรือใช้อารมณ์ แบบนั้นไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจและให้เหตุผลซึ่งกันและกัน มันไม่ใช่การบังคับ เป็นการขอความร่วมมือกัน เราว่าต่างคนต่างเริ่มต้นด้วยคำสองบรรทัดข้างบนนั้น หลายๆ อย่างมันน่าจะโอเคขึ้น ถ้ามันจะมีอีกคำที่เพิ่มมาก็คือพยายามเข้าใจคนอื่นบ้าง อันนี้อาจจะยากเกินไป ต้องเริ่มจากตัวเราก่อน ทำได้ด้วยตัวเองแบบไม่ต้องเสียตังค์

– จงทำวันนี้ให้เต็มที่เสมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต คุณมองคำพูดนี้ยังไง
ใครจะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่สำหรับเราไม่รู้จริงว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไร แค่ทำวันนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้าจะทำอะไรแบบคำพูดที่ว่านี้มันเพิ่มแรงกดดันให้เรา ให้กับหลายๆ คนมากเลย มันจะกลายเป็นผลักดันตัวเองให้สุดโต่ง ก็แล้วแต่ครับ มันคงเป็นหลายๆ วิธีในชีวิตคนเราว่าจะทำอะไร ไม่ได้ผิดถูกอะไร แต่ถ้าเป็นเราก็มองแค่ว่า แต่งเพลงเพลงหนึ่งในวันนี้ให้ดีที่สุดแค่นั้น อย่าเพิ่งไปคิดว่าแต่งเพลงให้มันดังที่สุด เราไม่ได้เก่งพอที่จะมีสูตรแบบนั้น ให้รู้แค่ว่าทำเพลงของเราได้ดีหรือยัง



เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE