“ชาติก็ส่วนชาติ กีฬาก็ส่วนกีฬา” โค้ชเช-ชเวย็อง-ซ็อก ลมใต้ปีกเทควันโดไทย

จากอันดับโลกอยู่ในลำดับเกินหลักร้อยมาตลอด เทควันโดไทยไต่อันดับโลกขึ้นมาเรื่อยๆ ลดเหลือหลักสิบ จนสุดท้ายกลายเป็นหลักหน่วย นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทยคว้าเหรียญรางวัลมากมายแทบทุกเวทีดูเหมือนความดีความชอบก้อนใหญ่จะถูกยกให้ชายชาวเกาหลีใต้นาม ‘ชเวย็อง-ซ็อก’ หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ 'โค้ชเช' หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้

15 ปีที่ผ่านมา โค้ชเชทำหน้าได้ยอดเยี่ยม เขาตื่นแต่เช้าเพื่อไปอยู่กับนักกีฬาในการฝึกซ้อมตลอดเวลา เข้มงวดถึงขั้นหากนักกีฬาคนใดมาสายแค่ 10 นาที โดยไม่สนใจว่าใครเก่งขนาดไหน เคยได้เหรียญมาหรือไม่ เขาก็จะไม่ยอมให้ร่วมซ้อมทั้งสิ้น แถมยังเข้มงวดกับตัวเองถึงขั้นที่ว่า หากปวดฉี่ขึ้นมากลางสนาม เขาก็จะไม่ยอมเข้าห้องน้ำจนกว่าการฝึกซ้อมจะเสร็จสิ้น

ทว่าท่ามกลางภาพฝันของความสำเร็จอันสวยงาม ก็ใช่ว่าตลอดรายทางที่ผ่านมาจะไม่มีฝันร้ายเข้ามาสอดแทรก

2 ปีก่อน โค้ชเชเคยตกเป็นประเด็นดราม่าเรื่องทำร้ายร่างกายนักกีฬาเกินกว่าเหตุ จนเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเป็นวงกว้าง ตอนนั้นเขาบอกว่า เขาเสียใจ เป็นความเสียใจจากการที่มีคนบางส่วนไม่เข้าใจกับการทำหน้าที่โค้ชที่ต้องเข้มข้น ด้วยหลักสำคัญที่เขาปลูกฝังนักกีฬามาตลอด นั่นคือเรื่อง 'ระเบียบวินัย' แต่ชายผู้มีเลือดนักกีฬาในตัวเต็มเปี่ยมเช่นเขาก็ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป แม้ต่อมาจะมีคนบางส่วนนำข่าวเหล่านี้มารวมกับข่าวอื่นๆ และเรียกเขาว่า 'โค้ชเจ้าปัญหา' จนมีข่าวว่า โค้ชเชกำลังน้อยเนื้อต่ำใจคิดจะหนีจากเมืองไทย ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาอยากได้สัญชาติไทย แต่จนถึงบัดนี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เสียที

เหตุผลที่ทำให้คุณอยากได้สัญชาติไทยคืออะไร ?

ผมอยู่เมืองไทยมาได้ 15 ปีแล้ว และตอนนี้ครอบครัว รวมถึงลูกชายก็อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นมันจะมีหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องการซื้อบ้านเป็นของตัวเองก็อย่างหนึ่ง แต่ถ้ามองกันยาวๆ พูดตรงๆ คือ ถ้าผมต้องอยู่ที่นี่ และผมเป็นคนต่างชาติ เรื่องการจะได้ตำแหน่ง เช่น การเป็นคณะกรรมการในสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทยจะไม่สามารถเป็นได้ จะเป็นได้แค่โค้ชทีมชาติเฉยๆ แล้วการเป็นโค้ชมันไม่สามารถเป็นได้ตลอดชีวิต แก่ตัวไปก็ต้องเลิก ซึ่งถ้าผมแก่ตัวไปก็อยากจะดูแลสมาคมด้วย ไม่ใช่แค่อยากจะซื้อบ้านอย่างเดียว ถ้าคิดถึงอนาคต และเราต้องอยู่ที่นี่นานๆ การได้สัญชาติไทยก็มีประโยชน์เยอะ

ทราบใช่ไหมว่าคนไทยบางส่วนไม่อยากมีสัญชาติไทย หมายถึงว่า บางคนก็อยากย้ายไปอยู่ประเทศอื่นที่ดีกว่า ?

หลายๆ ชาติก็ต้องการดึงผมไปเป็นโค้ชนะ แต่ผมเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าประเทศไทยเหมือนบ้านหลังที่สองของผม จริงๆ ผมอยู่ที่นี่ก็มีความสุข มีลูกศิษย์ มีผู้ใหญ่ในสมาคม มีคนในสมาคมที่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี ดร.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคม อยู่กับผมมาสิบห้าปีกว่า ทุกคนเป็นเหมือนครอบครัวหมด ผมเป็นสต๊าฟโค้ช สอนนักกีฬา นักกีฬาก็เป็นลูกศิษย์ผม และทุกคนก็มุ่งมั่น ทุกคนทุ่มเท ผมรักเมืองไทยเพราะทุกคนดูแลผมดี ผมอยู่ที่นี่แล้วมีความสุข อาหารก็อร่อย แล้วคนไทยก็ชอบอะไรเกี่ยวกับเกาหลี ชอบคนเกาหลี ใช่ไหมครับ ซึ่งผมก็ดีใจมาก และขอบคุณทุกคน ผมมาที่นี่วันแรก คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2002 ถึงวันนี้ 15 ปีแล้ว ถ้าพูดตรงๆ คือชาติอื่นน่าอยู่มากกว่าก็จริง บางชาติให้เงินค่าจ้างมากกว่าที่ไทยก็จริง แต่ผมก็ไม่คิดจะไปที่อื่นอยู่แล้ว

เวลาไปแข่งขันในรายการต่างๆ เมื่อลูกศิษย์ ซึ่งเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยต้องเจอกับนักกีฬาเกาหลีใต้ชาติบ้านเกิดของคุณเอง คุณรู้สึกอย่างไร ?

ตอนผมมาอยู่ประเทศไทยแรกๆ ผมเคยคุยกับนักกีฬาไทยนะครับว่า ผมอยากเอาชนะเกาหลี เพราะกีฬาเทควันโดเป็นกีฬาประจำชาติของเกาหลีใช่ไหม และนักกีฬาเกาหลีก็เก่งจริงๆ ดังนั้น ผมเลยอยากเอาชนะคนที่เก่งและชาติที่เป็นเหมือนออริจินอลของเทควันโดให้ได้ จริงๆ แล้วเวลาต้องเจอนักกีฬาเกาหลี ผมจะเตรียมพร้อมมากกว่าเวลาจะไปเจอนักกีฬาชาติอื่นด้วยซ้ำ เพราะเราอยากเอาชนะจริงๆ

คิดถึงเรื่องชาตินิยมบ้างไหม ?

ชาติก็ส่วนชาติ กีฬาก็ส่วนกีฬาครับ มันต้องแยกกัน เราเป็นโค้ช เป็นนักกีฬา ลงไปในสนามแล้วต้องพยายามชนะให้ได้ครับ ผมไม่เคยคิดว่า โอ้ ผมเป็นคนเกาหลี ต้องเข้าข้างคนเกาหลี ผมไม่เคยคิดแบบนั้น เพราะตอนนี้ผมเป็นโค้ชให้ทีมชาติไทย หน้าที่ของเราคือทำให้นักกีฬาไทยชนะ ถ้าเอาเรื่องพวกนี้มาปนกันมันก็ไม่ใช่มืออาชีพ และอย่างที่บอกไปแล้วว่า ทั้งหมดทั้งมวลในนักกีฬาชาติต่างๆ ผมอยากชนะเกาหลีมากที่สุดด้วย

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน ในขณะที่เทควันโดไทยยังเป็นกีฬาที่คนในประเทศนี้ไม่รู้จัก รั้งอันดับท้ายๆ ของโลก คุณวางรากฐานอย่างไร ถึงทำให้นักกีฬาเทควันโดไทยลุ้นเหรียญในมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโอลิมปิกได้ทุกครั้ง ?

ความสำเร็จของกีฬา ไม่ใช่แค่ความเก่งกาจของนักกีฬาอย่างเดียว และไม่ใช่โค้ชสอนเก่งอย่างเดียว ผมคิดว่าต้องมี 3 อย่าง คือหนึ่ง-นักกีฬา สอง-โค้ช สาม-สมาคม

คือตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนใช่ไหมครับ แต่ครั้งแรกที่มาที่สมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ผมมาในฐานะผู้ช่วยผู้ฝึกสอน ตอนแรกๆ ในสมาคม รวมถึงสถานการณ์ทุกอย่างเกี่ยวกับเทควันโดในประเทศไทยมันแย่จริงๆ นะ คือไม่มีใครรู้จักว่า เทควันโดคืออะไร รัฐบาลก็ไม่ค่อยสนับสนุน คนไม่รู้จัก ฝ่ายบริหารก็ไม่รู้จัก ดังนั้นตอนแรกๆ จะลำบากมาก ตอนมาครั้งแรก ผมทำสัญญามาแค่แปดเดือนครับ เพราะตัวผมเองไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่นาน แล้วสมาคมเทควันโดเขาก็ไม่มีเงินจ้างโค้ชเกาหลีด้วย คือไม่ได้วางแผนถึงอนาคตระยะยาวอะไร ตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องโอลิมปิกด้วยซ้ำ เพราะนักกีฬาเทควันโดไทยไม่เคยได้ไปโอลิมปิก ผมคิดแค่ว่ามาอยู่สั้นๆ แล้วก็กลับ เพราะมันไม่ใช่กีฬาที่ผู้ใหญ่เขาตั้งความหวัง อันดับของประเทศไทยอยู่ที่ 150กว่า พอๆ กับลาว กัมพูชา เราต้องใช้เวลา ปัจจุบันทุกวันนี้ทั้งผู้ชายผู้หญิงเราอยู่อันดับ 5 บางทีก็อันดับ 7 ส่วนตัวผมคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อนะ ที่เรามาไกลกันขนาดนี้ ซึ่งผมมองว่านักกีฬาทีมชาติไทยทุกคนน่าชื่นชมมาก คนจะชอบบอกว่านักกีฬาไทยมีระเบียบวินัยและเรียบร้อยมาก เข้าสนามแล้วเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน แข็งแรง จริงจัง ผมชื่นชมทุกคนนะครับ

แต่ทุกอย่างมันเหมือนขึ้นบันไดน่ะครับ ไม่ใช่นึกว่าจะเอา แล้วจะได้เลย คือตอนแรกๆ ที่ผมเข้ามา ผมไม่ได้สอนแค่เทควันโดอย่างเดียว แต่ผมจะเริ่มต้นจากการสอนเรื่องระเบียบวินัยมากกว่า แน่นอนว่า คนเกาหลีกับคนไทยนิสัยไม่เหมือนกัน คนเกาหลีจะถูกสอนมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล เหมือนทหาร เวลาเรียบร้อยก็ต้องเรียบร้อย นั่งตรงก็ต้องตรงจริงๆ ยืนตรงก็ต้องตรงจริงๆ ต้องมีระเบียบ เข้าแถวตรงมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ในไทยเท่าที่ผมเห็นคือ เด็กไทยจะมีอิสระค่อนข้างเยอะ อย่างคนไทยจะชอบติดปากกับคำพูดว่า 'สบายๆ' ใช่ไหมครับ แต่ของเกาหลีคือ 'เร็วๆ' ทำทุกอย่างต้องเร็วๆ และเป็นระเบียบ คือสบายๆ มันก็ดีนะครับ แต่สำหรับกีฬามันไม่ได้ ช่วงแรกผมเลยสอนทุกอย่างเลย เช่น เรื่องการตรงต่อเวลา ปกติเราจะสอน 6 โมงเช้าถึง 8 โมง หลังจากนั้นทุกคนก็ไปเรียนหนังสือ แล้วกลับมาซ้อมอีกครั้งตอน 5 โมงเย็นถึง 2ทุ่ม แล้วช่วงแรก นักกีฬาบางคนเขาจะชอบมาสาย ถ้าสอน 6 โมง ก็จะมา 6 โมง 10 นาที 6โมง 15 นาที ซึ่งเวลาผมถามเขาว่าทำไมคุณถึงมาสาย เขาก็จะบอกว่า เขาตื่นเช้า แต่ต้องเข้าห้องน้ำทำนู่นทำนี่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะไม่สอนเลย ให้กลับบ้านเลย ดังนั้นเมื่อมีสองสามคนโดนให้กลับ คนอื่นก็จะรู้ว่า ถ้ามาสายโค้ชเชจะไม่รักนะ เก่งหรือไม่เก่งผมไม่สนใจ คือเรื่องเทคนิค ทักษะ หรือเรื่องฝีมือ ผมสอนได้ แต่เรื่องจิตใจ เรื่องของสปิริตมันสอนกันไม่ได้ ผมเลยเริ่มจากตั้งใจสอนเรื่องวินัยก่อน ถ้าเก่งแต่ไม่มีระเบียบ ไม่มีความสุภาพ ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนผมให้กลับเลย

เหตุผลอะไรที่ทำให้กีฬาเทควันโดกลายเป็นกีฬายอดฮิตอีกชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะในเมืองไทยในรอบหลายปีให้หลัง ?

ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปกครองที่อยากให้ลูกๆ มาเรียนเทควันโดเพื่อออกกำลังกาย ผมคิดว่ามันดีสำหรับเด็กๆ นะ เพราะเขาจะมีโอกาสเจอเพื่อนใหม่ๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราสอนเรื่องวินัย ส่วนใหญ่กีฬาอื่นที่เป็นกีฬาต่อสู้ไม่ค่อยสอนเรื่องระเบียบวินัย จะสอนแค่ว่าคุณต้องเก่ง คุณต้องชนะ คุณต้องเป็นที่หนึ่ง แต่เทควันโดจะสอนให้เรียบร้อย ต้องฟังดีๆ ต้องตั้งใจ ต้องมีสมาธิ ทุกอย่างมันเป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิตของมนุษย์ มันเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องเตะ เรื่องต่อยอย่างเดียว ดังนั้นถ้าเรียนเทควันโดมันก็จะมีโอกาสกลายเป็นคนดี กลายเป็นคนเรียบร้อยได้ด้วย

ในรอบหลายปีที่ผ่านมา คุณดูเหมือนจะเป็นโค้ชต่างชาติที่มีข่าวในสื่อเยอะเป็นอันดับต้นๆ ทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายนักกีฬาที่เป็นข่าวเมื่อไม่กี่ปีก่อน หรือเรื่องอื่นๆ จนบางคนมองว่าคุณเป็นโค้ชเจ้าปัญหา รู้สึกอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ ?

จริงๆ ผมไม่ค่อยได้คิดเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ เพราะสิบกว่าปีที่ผ่านมาผมมักจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องอนาคต หรือเรื่องส่วนตัวมากมายนัก คือผมจะจริงจังกับเรื่องการทำงานมาก เช่น ทำอย่างไรให้นักกีฬาไทยมีพัฒนาการดีขึ้น หรือทำอย่างไรให้ชนะมากกว่าเดิม แต่ว่ามีวันหนึ่งสมาคมเขาให้โอกาสผมคิด ทั้งเรื่องที่ผ่านมา เรื่องอนาคต และเรื่องที่เป็นข่าว จริงๆ ตอนแรกผมก็เสียใจนะครับ คือไม่ใช่ทุกคนที่ไม่เข้าใจผมนะ แต่จะมีบางคนที่ไม่เข้าใจ เราเลยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เข้าใจ เพราะผมแค่คิดว่าอยากให้นักกีฬาเก่งขึ้น ทำได้ดีขึ้น อยากให้เขาประสบความสำเร็จ ผมเสียใจ แต่วันนั้นนายกสมาคมเขาบอกผมผ่านโทรศัพท์ เขาปลอบใจผมว่า ถ้าคุณซื้อผลไม้มาเยอะๆ ไม่ใช่ว่าทุกลูกจะเป็นของดีหมด บางลูกมันก็ต้องมีเสียบ้าง เขาบอกว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะคนอื่นๆ ที่เหลือ ทุกคนก็เชื่อผม รักผม จริงๆ ช่วงนั้นผมก็คิดเยอะนะ ต้องคิดหลายอย่างเหมือนกัน

แล้วทำไมถึงต้องเข้มงวดขนาดนั้น ?

เพราะการเป็นครู การเป็นโค้ช ถ้าเราไม่จริงจัง นักกีฬาจะจริงจังไหม ไม่ใช่ไหม ดังนั้นทั้งตอนซ้อมหรือแข่งกัน ก็ต้องจริงจัง ต้องทุ่มเท เพราะเทควันโดเป็นกีฬาต่อสู้ ไม่ใช่เป็นกีฬาจับเวลา ไม่ใช่กีฬาวิ่ง ก้าวเข้าไปในสนามเราต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ ถ้าไม่มีใจสู้ ไม่จริงจัง ไม่ตั้งใจ มันก็ชนะยาก คือมันอาจเป็นนิสัยตอนเด็กๆ ของผมด้วย ที่เป็นคนค่อนข้างจริงจังมากเสมอ ตอนนี้จริงๆ ก็เบาลงเยอะแล้ว ตอนแรกๆ ผมเคยคิดย้อนกลับไป ก็พบว่าตัวเองดุจริงๆ ครับ ถ้าใครมาสายก็ไม่สอน ให้กลับเลย เรื่องกินน้ำ เข้าห้องน้ำต้องขออนุญาตก่อน ถ้าผมไม่ยอมก็เข้าไม่ได้

อีกแง่หนึ่ง 'โค้ชเช' ก็เป็นโค้ชซูเปอร์สตาร์ที่นำความสำเร็จมาสู่วงการเทควันโดไทยจนได้รับคำชื่นชมมากมายเช่นกัน คุณรู้สึกอย่างไรที่มีคนชื่นชอบคุณมากมายขนาดนั้น

รู้สึกขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ ผมรู้สึกโชคดีมาก เพราะจริงๆ ในไทยมีโค้ชต่างชาติเยอะ มีเกือบทุกชนิดกีฬา แต่ก็ยังมีคนรักผมและให้กำลังใจผม ผมรู้สึกดีครับ ดีใจจริงๆ คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยมีความสุขต่อไปเรื่อยๆ ผมจึงต้องทำงานจริงจัง

อุปสรรคที่หนักที่สุดในการเป็นโค้ชทีมชาติไทยคืออะไร ?

ความคาดหวังในเรื่องผลงานครับ คราวนี้ได้เหรียญเงิน คราวหน้าจะได้เหรียญทองไหม ชิงแชมป์โลกคราวนี้ได้สองเหรียญทอง คราวหน้าต้องได้สามเหรียญทองไหม เอเชียนเกมส์ต้องได้สองเหรียญทองไหม ทุกครั้งรัฐบาลจะตั้งมีเป้าหมายเอาไว้ ถามเรื่องผลงาน สื่อมวลชนทุกคนก็มาถามตลอด แต่เวลาถามเขาจะไม่ไปถามกับสมาคม แต่ดันมาถามเอากับผม (หัวเราะ) เช่น นักกีฬาชุดนี้เป็นอย่างไรบ้าง คิดว่าจะได้กี่เหรียญทอง เรื่องผลงานเลยเป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างจะลำบากใจที่สุด

ได้ยินมาว่าโค้ชเชถึงจะปวดฉี่ ถ้าเป็นเวลาซ้อมอยู่ก็ไม่ยอมเข้าห้องน้ำ ?

ผมไม่ค่อยเข้าห้องน้ำตอนซ้อมอยู่แล้วครับ ปกติจะซ้อม 3ชั่วโมง ตลอดเวลาของการซ้อม ผมจะไม่ค่อยนั่ง ไม่เข้าห้องน้ำ เพราะอย่างน้อยก็อยากให้นักเรียนตั้งใจทุกคน ถ้าผมเข้าห้องน้ำ 5 นาที ความตั้งใจในการซ้อมก็จะลดลง

การเป็นนักกีฬามาตั้งแต่เด็กจนกลายมาเป็นโค้ชให้อะไรแก่คุณบ้าง ?

ผมเคยคิดนะครับว่า ถ้าผมไม่ได้เป็นโค้ช ผมก็คงไม่รู้ว่าจะทำอะไร ผมรู้สึกโชคดีครับ และตอนนี้ เมื่อได้เป็นโค้ชทีมชาติไทย ผมคิดว่า นี่คือความสำเร็จของตัวเองแล้ว คือไม่ใช่เพราะเป็นที่รู้จักหรือมีผลงานอย่างเดียวนะ แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยครอบครัวอยู่ที่นี่ ผมอยู่ที่นี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีความสุข บางคนมีเงินเยอะ อาชีพดี แต่ไม่มีความสุขใช่ไหม แต่อย่างผมได้เห็นนักกีฬาเก่งขึ้น ผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ คนไทยให้กำลังใจผม รักผม ผมก็มีความสุข ถือว่าชีวิตประสบความความสำเร็จแล้ว

เป้าหมายสูงสุดของอาชีพโค้ชคืออะไร ?

จริงๆ ถ้าเอาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก่อน ผมอยากเป็นคุณพ่อที่ดี เพราะผมไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพ่อ เพราะพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมไม่รู้ว่าการเป็นพ่อคืออะไร พ่อคือใคร ซึ่งตอนนี้ผมมีลูกชายหนึ่งคน ก็อยากเป็นคุณพ่อที่ดี เลือกจริงจังกับงานที่ทำ เพราะผมอยากดูแลครอบครัวให้ดี ส่วนในฐานะโค้ช เมื่อไหร่ที่เห็นนักกีฬาได้รางวัลใหญ่ๆ เช่น เอเชียนเกมส์ ชิงแชมป์โลก โอลิมปิก ผมก็ดีใจ คิดว่ามันเป็นโอกาสที่ทำให้เขาเปลี่ยนชีวิตของตัวเองได้ ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการมอบโอกาสที่ดีกว่าให้แก่ใครสักคน

ชัยชนะในการแข่งขันกีฬาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดไหม หรือว่ายังมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่า ?

เป็นนักกีฬาก็ต้องชนะ เพราะเราตั้งใจซ้อมมาแล้ว เมื่อลงสนามไปต้องเต็มที่ ต้องชนะ เพราะถ้าแพ้จะไม่มีใครจำได้ เรื่องแข่ง อย่างไรก็ต้องชนะ นั่นคือภารกิจของผม เป็นโค้ช ฝึกให้เขาแล้ว ก็ต้องอยากให้นักกีฬาชนะ มันเหมือนของที่ขายในตลาดน่ะครับ ทุกอย่างมีมูลค่า เป้าหมายคือเหรียญทอง ก็จะมีมูลค่ามากหน่อย เหรียญเงินก็ลดลงมา ทองแดงก็ลดลงมาอีก ถ้าแพ้ก็ไม่ได้อะไรเลย จบ อย่างไรก็ต้องชนะ ตอนแข่งเราจะโฟกัสไปที่ชัยชนะ แต่ถ้าเป็นตอนซ้อม ผมให้ความสนใจกับเรื่องระเบียบวินัยมากกว่า

แต่กีฬาก็จะมีสองด้าน คือด้านชนะและแพ้ การแพ้ให้เป็นสำคัญต่อนักกีฬาไหม ?

จริงๆ บางทีเวลานักกีฬาคนไหนได้เหรียญทองไปแล้ว ผมจะไม่ค่อยชื่นชมเขาสักเท่าไหร่นะครับ เพราะวันนี้ก็เป็นของวันนี้ แต่เราต้องคิดถึงวันพรุ่งนี้ต่อไป ไม่ใช่ว่าได้เหรียญทองแล้ว ผมเก่งแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะการแข่งขันก็ยังมีต่อไปเรื่อยๆ วันนี้แข่งจบ ชนะ ผมก็กอด และชื่นชมแป๊บเดียว ไม่ได้ชื่นชมไปตลอด คือเราต้องมองไปข้างหน้า และผมค่อนข้างจะมองไปที่คนแพ้ หรือคนที่ไม่ได้เหรียญมากกว่า บางคนเคยได้เหรียญทองมาแล้ว ถ้าทำผิด ทำตัวเองไม่ดี ผมก็ต้องทำโทษ แต่ถ้าคนไหนแพ้ แต่เราเห็นว่าเขาเล่นจริงจังเต็มที่แล้ว เราก็จะชื่นชม

มีวิธีการปลอบคนแพ้อย่างไร ?

ส่วนใหญ่ผมรู้จักนักกีฬาทุกคนดีอยู่แล้ว ก็จะดูนิสัยของนักกีฬาเป็นคนคนไป บางคนอาจต้องคุย ต้องปลอบ แต่บางคนเขาไม่ต้องคุย ปล่อยได้เลย เพราะเขาจัดการตัวเองได้ แต่อย่างไรก็ตาม แน่นอนอยู่แล้วว่า ใครแพ้ก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา ซึ่งถ้าเขาร้องไห้อยู่ ผมจะไปด่า มันคงไม่ใช่จริงไหม แต่บางคนถ้าจำเป็นต้องพูด ก็ต้องพูด เพราะผมอยู่กับเขามานาน รู้นิสัย รู้ว่าคนนี้ต้องจัดการอย่างไร แต่ละคนไม่เหมือนกัน

โค้ชที่ดีต้องมีลักษณะอย่างไร ?

สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสร้างความเชื่อให้แก่นักกีฬาให้ได้ ต้องเชื่อกันและกัน แน่นอนว่าเราเป็นแค่คนสอนกับนักกีฬา ความสัมพันธ์ระหว่างกันจะมีแค่นั้น แต่อย่างไรก็ตาม นักกีฬากับโค้ชต้องเชื่อใจกัน เพราะเมื่อไหร่ที่เราสั่ง แล้วเขาไม่มั่นใจในตัวเรา เขาจะไม่อยากทำ และเรื่องอื่นๆ แน่นอนว่า ต้องตั้งใจ จริงจัง อย่างน้อยก็อย่างที่บอกไปว่า ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่นักกีฬา

นักกีฬาไม่มีโค้ชได้ไหม ?

ถ้าเราจะกินก๋วยเตี๋ยว แต่ไม่มีช้อนกับตะเกียบ เรากินได้ไหม ก็คงกินได้ แต่จะลำบาก ต้องยกซด เหมือนกันเลย ถ้าไม่มีโค้ช ก็คงอยู่ได้ แต่จะลำบาก อย่างนักเรียนไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ก็ลำบาก ทำได้แค่นั่งเฉยๆ แต่จะไม่ได้เรียน ไม่ได้ความรู้

อะไรในชีวิตนี้ที่ทำให้คุณมีความสุขได้มากที่สุด ?

ตอนนี้ แน่นอนว่าอย่างแรกคือครอบครัว จริงๆ ผมก็โชคดีด้วย เพราะมีงานทำ และได้ทำงานที่ทำแล้วมีความสุข แต่ถ้าครอบครัวอยู่ที่นี่แล้วพวกเขาบอกว่าไม่ชอบ ไม่มีความสุข อยากกลับเกาหลี จะให้ผมดึงดันอยู่ที่นี่ต่อไปผมก็คงไม่มีความสุข ดังนั้นสิ่งสำคัญคือผมอยากให้ครอบครัวสบาย มีความสุข และตอนนี้เขาก็สบาย มีความสุข ลูกชายของผมก็ชอบอยู่ที่นี่ การศึกษาของเขาก็สำคัญ เพราะตอนนี้เขาพูดได้ 3 ภาษา ทั้งภาษาอังกฤษ ไทย เกาหลี ซึ่งผมคิดว่าถ้าไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลีคงไม่ได้ทักษะเหล่านี้แน่ๆ ภาษาอังกฤษคงได้แค่นิดๆ หน่อยๆ แต่พอมาอยู่ที่นี่ เจอคนไทย ก็พูดภาษาไทย เจอคนต่างชาติก็พูดภาษาอังกฤษ อยู่กับผมก็พูดภาษาเกาหลี ผมคิดว่ามันดีสำหรับเขา และอีกอย่างที่สำคัญเลยคือ เมื่อไหร่ที่นักกีฬาไทยไปแข่งแล้วได้ชัยชนะ ประสบความสำเร็จ ผมก็จะมีความสุขมากๆ ครับ

ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มโค้ชเช-ชเวย็อง-ซ็อก ได้ในนิตยสาร mars ฉบับเดือนกันยายน 2559
เรื่อง :  ฆนาธร ขาวสนิท
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE