‘หม่อมโจ้’ หรือ ‘ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร’ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ ม.ร.ว. เกียรติคุณ กิติยากร และคุณอาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาล มักจะปรากฏตามสื่อต่างๆ ในกรอบข่าวสังคมชั้นสูง เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม ชาติตระกูลดี แต่หม่อมโจ้กลับเลือกชีวิตสงบเงียบและเรียบง่าย เป็นเกษตรกรอย่างเอาจริงเอาจังที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ชื่อของ ‘หม่อมโจ้’ ปรากฏตามสื่อต่างๆ บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเกิดประเด็นวิวาทะเรื่องปฏิรูปพลังงานของชาติ และล่าสุดกับบทบาทหนึ่งในผู้นำม็อบต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน
หลายคนคงสงสัย เหตุใดชายหนุ่มชนชั้นสูงจึงเลือกจะใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยการเป็นเกษตรกร
อะไรทำให้ชายหนุ่มคนนี้อินกับเรื่องพลังงานของชาติ และอะไรคือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการออกมาคัดค้านโรงไฟฟ้า
อ่านบทสัมภาษณ์บรรทัดถัดจากนี้ คงทำให้เข้าใจและรู้จักตัวตนของ ‘หม่อมโจ้-ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร’ มากขึ้น
หลังจากแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวแล้ว ชีวิตมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
จริงๆ ก็เปลี่ยนตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว คือเราอยากจะใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ตอนแรกมองว่าจะอยู่อย่างเดิมคือเป็นศิลปิน วาดรูป ทำงานศิลปะ แต่พอไปอยู่ที่ไร่สักพักหนึ่งก็เริ่มสนใจเรื่องงานเกษตร ที่สนใจเพราะเรามีที่ดิน ปล่อยรกร้างไม่ได้ เรามองว่าอาหารเป็นเรื่องสำคัญ มองไปถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ต้องการที่จะผลิตอาหารได้และมีรายได้ที่จะดูแลพนักงานตรงนั้นให้อยู่ได้ด้วย ต้องการพึ่งพาตนเอง เพราะวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาทำให้เห็นแล้วว่าถ้ามีอาหารเราอยู่ได้ เงินมันเป็นแค่ตัวแลกเปลี่ยน ตัวมันเองกินไม่ได้
ผมเริ่มปลูกอะไรที่มันมีรายได้ก่อน เช่น ปลูกมันสำปะหลังหรืออ้อย มันดีในช่วงที่เราไม่มีเวลาไปดูแลตรงนั้นมาก จากนั้นก็เริ่มศึกษาเรื่องออร์แกนิกเพราะมันไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง อีกอย่างมันมีมูลค่าเพิ่มในด้านราคา แต่ตรงนี้ก็ต้องทดลองเยอะๆ เพราะแม้จะไม่มีเรื่องยาฆ่าแมลง เรื่องปุ๋ยที่เราต้องซื้อ แต่เราก็มีค่าแรงคนงานในการทำสิ่งต่างๆ
เมืองไทยต่างกับต่างประเทศที่เขามีออร์แกนิกในลักษณะของอุตสาหกรรม ตรงนั้นช่วยหนุนได้เยอะ เพราะมีการวิเคราะห์หา (ปุ๋ยและสารกำจัดแมลง-ผู้เขียน) กันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่เมืองไทยยังไม่ชัด ยกตัวอย่างเช่น อาหารของพืชก็จะมีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม อย่างไนโตรเจน เมืองไทยเราไม่มีปัญหา ก็แค่ปลูกพืชตระกูลถั่วและไถกลบ ฟอสฟอรัสก็เป็นพวกกระดูกป่น ส่วนโปแตสเซียมเมืองไทยมีเยอะมาก หนึ่งในท็อปไฟฟ์ของโลกเลย ปัจจุบันก็มีการขุดโดยเปิดเป็นสัมปทานให้ต่างชาติมาขุดมาขนออกไป แล้วก็มาขายเราในราคาแพง
เป็นเกษตรกรทุกวันนี้อยู่ได้จริงๆ เหรอ เพราะต้นทุนอะไรต่างๆ ก็ขึ้นไปหมด?
มันอยู่ยากมากในเรื่องของราคาต้นทุนการผลิต ยิ่งในเรื่องข้าว ราคาขายมันอยู่เหมือนเดิม แต่มันก็มีข้าวออร์แกนิกที่ราคามันต้องสูงขึ้น เป็นอะไรที่ต่างชาติสนใจ ตรงนี้น่าจะมีการสนับสนุนที่จริงจัง ถ้าช่วยในเรื่องต้นทุนได้จะช่วยได้มาก เพราะอุตสาหกรรมปุ๋ยก็ค่อนข้างจะผูกไว้พอสมควร ในเมื่อระบบผูกไว้แบบนี้ก็เริ่มจะมีการจ้างชาวนาให้ไม่ทำนา อะไรต่อมิอะไร ผมว่ามันผิดไปหมดเลย ไม่แก้ปัญหาในทางที่ควร แล้วไม่ยอมมองว่าประเทศไทยเราอยู่มาได้อย่างไรกี่ร้อยปี ข้าวมันคือกระดูกสันหลังของประเทศ สมัยนี้ไม่ค่อยได้ยินคำนี้นะ
อาหารคือสิ่งสำคัญ อย่างออร์แกนิกก็เป็นวิธีการที่ดี แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่าออร์แกนิกเขาไม่เอาจีเอ็มโอเลยนะครับ พืชพันธุกรรมตัดต่อนี่ไม่เอา เริ่มมีการคุยกันแล้วว่าจะเอาพืชพันธุกรรมตัดต่อเข้ามาในเมืองไทย ซึ่งหลายประเทศเขาไม่เอานะ เขาไม่ยอมซื้อ
บ้านเราอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรที่กำลังดี มีความหลากหลายของพืชมาก ถ้าเราเอาจีเอ็มโอเข้ามามันจะเกิดวิกฤติแค่ไหน?
มันอันตรายมากทั้งในเรื่องเศรษฐศาสตร์ หรือแม้แต่ในเรื่องคน ในแง่พันธุ์แข็งแรงนั้นมันแข็งแรงจริงหรือเปล่า? มันไม่ได้ผ่านการทดสอบมาเป็นร้อยปี แล้วพันธุ์พวกนี้มันจะไปผสมกันเองในธรรมชาติ ซึ่งควบคุมไม่ได้ อย่างถ้าไร่หนึ่งปลูกมะละกอจีเอ็มโอ แต่อีกไร่ไม่ปลูก เดี๋ยวเกสรมันก็ไปผสมกันเองตามธรรมชาติ อย่าลืมว่าคนพวกนี้ที่เขาผลิตมันขึ้นมาก็มีทีมนักวิทยาศาสตร์ซึ่งหนุนโดยทุน ทุนเขาก็ต้องการกำไรและไม่มีวันอิ่มเรื่องกำไร เรื่องกำไรของบริษัททุนมันเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง
สรุปคือไม่ควรสนับสนุนจีเอ็มโอเข้ามาในประเทศที่มีความหลากหลายของพันธุ์พืช?
เรื่องความมั่นคงของประเทศชาติก็ต้องมีเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร มั่นคงด้านพลังงาน และในเรื่องของเงินตราของเราเอง
คือถ้าอาหารโดนผูกขาดโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ เราก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิด?
ใช่ จริงๆ แล้วตอนนี้ก็มีหลายอย่างที่ออกมาในลักษณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงาน อาหาร จริงๆ แล้วมันเป็นนโยบายที่ผ่านออกมาจากนายทุน นายทุนเป็นผู้กำหนดให้มาตรงนี้ และไม่มาคำนึงถึงชาติ ประชาชนว่าจริงๆ แล้วอะไรดีที่สุดต่อประชาชนหรือประเทศโดยรวม
บริษัทไทยผลิตจีเอ็มโอหรือเปล่า? มันก็ไม่ใช่ อเมริกาเขาต้องการเข้ามาคุมอาหารในประเทศไทย เขาต้องการมาคุมประเทศเรา เขาต้องการเป็นเจ้าของประเทศเราในด้านทรัพยากรทุกชนิด ไม่ต่างจากสมัยล่าอาณานิคมที่เขาเข้าไปบุกตรงนั้นตรงนี้ เปิดสัมปทานแล้วตัวเองก็ให้นิดๆ หน่อยๆ แต่ขนทองขนอะไรกลับบ้านเต็มเลย ทุกวันนี้ก็ยังมาขนน้ำมันขนอะไรกลับไปในราคาที่ถูกๆ แล้วสัมปทานก็เป็นอะไรที่จ่ายแล้วเหมา เหมาแปลงนั้นไปเท่าไหร่ก็ได้ เหมือนเรามีไร่แล้วเขามาเหมาแล้วบอกว่าผมคงให้ได้ในราคาเท่านี้ เหมาเลยก็แล้วกัน เขาเป็นคนตีราคา ตีว่าจะได้แค่ไหน แทนที่เราจะไปดูว่าจริงๆ แล้วได้แค่ไหน ไม่เอา ตามที่คุณบอกแล้วกันว่าได้แค่นี้เอง แต่ที่ผ่านมาบอกว่าจะหมดๆ ไม่เห็นหมดสักที กี่สิบปีก็ยังเจาะอยู่ ไม่หมดหรอกครับ มันมีวันหมดแต่มันไม่หมดง่ายๆ แบบนั้น
เหมือนในหนังเรื่องวัยรุ่นพันล้านที่เอาพระของพ่อไปขายให้พ่อค้าพระ ให้เขาตีราคาก็ได้ไปแสนหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วมูลค่าพระนั้นล้านหนึ่ง ก็เอาคนซื้อมาตีราคาคุณจะได้เท่าไหร่ ใครจะมาบอกราคาจริงเวลาเขาจะซื้อจากคุณ
เห็นหม่อมโจ้เกาะติดเรื่องการปฏิรูปพลังงานมาตลอด ทำไมถึงตามติดขนาดนั้น?
เพราะมีผลเยอะที่สุดกับชีวิตของประชาชน ทุกอย่างที่คุณซื้อมันต้องขึ้นรถมาจากไหน เกษตรกรรมที่ได้มาก็ต้องพึ่งรถ รถแทรกเตอร์ก็ต้องใช้พลังงาน มันแพงขึ้นทุกอย่าง แพงขึ้นทั้งแผ่นดิน แล้วพลังงานเป็นสมบัติอันหนึ่งที่ ณ ปัจจุบันมีมูลค่าการใช้มากที่สุด ซึ่งเราก็มีพลังงานของเราเอง เอาใช้ในทางที่ประโยชน์สูงสุดเหรอ? คำตอบคือไม่ คนไทยยังซื้อน้ำมันในราคาเดียวกับสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีน้ำมันเลย
แต่ทางฝั่งผู้บริหารก็บอกว่ากลไกการจัดการพลังงานของโลกก็เป็นแบบนี้?
นั่นคือส่วนต้นน้ำของน้ำมันของแก๊สที่อยู่ใต้แผ่นดินเรา ที่มาทำเป็นสัมปทาน แต่เราไม่ได้ประโยชน์อะไร เราซื้อในราคาแพงแล้วเขาก็จ่ายกลับมานิดเดียวเองที่ได้จากค่าสัมปทาน จ่ายเราน้อยมาก
เห็นบางคนเสนอว่าควรจะมีระบบแบ่งปัน?
ก็ต้องแบ่งปันนะ เอาระบบที่เราได้ผลประโยชน์มากที่สุด ของที่ขุดขึ้นมาแล้วก็เป็นของเราอยู่ แต่ระบบสัมปทานเมื่อขุดมันขึ้นมาแล้วไม่ใช่เป็นของเรา
แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นคนตื่นตัวตรงนี้เท่าไหร่?
ใช่ ในส่วนการบริหารบริษัทน้ำมันของชาติมันก็เป็นผูกขาด ไม่ใช่ของรัฐ รายได้ก็ไม่ได้เข้ารัฐร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเขาอยู่ในตลาดหุ้น บริษัทที่อยู่ตลาดหุ้นมันเป็นกฎหมายว่าเขาต้องทำกำไรเพื่อบริษัท ไม่ใช่มาทำเพื่อประชาชน คือครึ่งหนึ่งเป็นของรัฐ แต่อีกครึ่งไม่ได้ทำกำไรให้รัฐ มันขัดแย้งกัน จริงๆ แล้วมันเป็นกฎของเขาเลยว่าต้องทำเพื่อบริษัท แล้วเขามาผูกขาดอย่างนี้ โรงกลั่นแทบทั้งหมดเขาเป็นหุ้นใหญ่ เขาก็กำหนดได้ว่าจะให้มันกำไรตรงไหนเท่าไหร่
บางคนถึงขั้นคิดจะหักด้ามพร้าด้วยเข่า ด้วยการเสนอว่าล้มเลิกสัมปทานทั้งหมด เอาพลังงานออกจากตลาดหุ้น คิดตรงนี้อย่างไร?
ผมมองว่าจริงๆ แล้วถ้าเขาไม่ได้อภิสิทธิ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่อ (ท่อส่งก๊าซ) ของประชาชนที่เขาใช้ฟรี เขาไม่สามารถไปตั้งค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ไม่มีจริง เช่น ค่าขนส่ง 1.50 บาท ซึ่งไม่มี บริษัทปิโตรเคมีของเขาไม่ได้ซื้อแอลพีจีในราคา 19 บาท ทั้งที่อีกบริษัทหนึ่งซื้อ 30 บาท หรือเรื่องอภิสิทธิ์อื่นๆ คือถ้าเขาไม่ได้อภิสิทธิ์พวกนี้มาถูกๆ เขาขาดทุน เขาลำบาก ต้องปรับเปลี่ยนหลายๆ อย่าง เราตัดสิทธิ์หลายๆ อย่างไป เราน่าจะซื้อคืนหุ้นในราคาที่รัฐขายไปได้ แต่ซื้อกลับมาแล้วยังไง มันมีวิธีการบริหารหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ปิโตรนาสที่เป็นของรัฐ 100% เขาทำได้ดีตรงนั้น ถ้าเราทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดี หรือเราอาจจะผ่าแยกเป็นบริษัทๆ ก็ได้
บางคนบอกว่าถ้า ปตท. เป็นของรัฐ รัฐอาจจะทำได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ได้ ไม่ได้ดีเพราะอะไร ก็เป็นเรื่องคอร์รัปชั่น การเมืองเข้าไปยุ่ง นักการเมืองเข้าไปคอร์รัปชั่นอีก ถึงผ่าออกมาอย่างนี้ แล้วไม่มีการเข้าควบคุมก็มีการฮั้วกันอีก โดยเฉพาะถ้าหุ้นมันไขว้กัน คนคนเดียวมีหลายอันมันก็ทำได้ แม้แต่ประเทศอังกฤษยังมีปัญหา แต่หน่วยตรวจสอบเขาดีมาก ของบริติชแอร์เวย์ส กับเวอร์จิ้นแอร์ไลน์ เพิ่งเจอคดีไป โดนปรับไป 300 ล้านปอนด์ คือเขาไปจับมือกันตั้งราคาตั๋วว่าจะไม่ขายตั๋วต่ำกว่านี้ เพราะมันมีน้อยเลยทำกันได้
ถ้าอย่างนั้นคนรุ่นใหม่ก็ต้องรู้จักตื่น ค้นหาความจริงว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในบ้านเรา?
คนจำนวนมากผมก็ไม่ทราบว่าทำไมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ที่ผ่านมาที่เห็นสนใจเรื่องประเทศชาติจะเป็นอย่างไรกันมากมายก็ตอนประท้วงทักษิณ โดยมองว่าอะไรที่เป็นทักษิณคือผู้ร้าย ถ้าไม่ใช่ทักษิณเป็นพระเอกหมด คือจริงๆ แล้วเราไม่ต้องสนใจตัวบุคคล เอาที่ผิดคือผิด ถูกคือถูก เอาหลักการเป็นใหญ่ เอาอุดมการณ์เป็นใหญ่ ไม่ใช่ตัวบุคคล มันไปติดที่ตัวบุคคลอย่างนี้เยอะ อันนี้ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งของประเทศไทย คนที่มีความรู้มีการศึกษาก็ยังไปติดตรงนั้น
การปลูกฝังให้เอาแค่ตัวบุคคลเนี่ยส่วนหนึ่งมาจากละครทีวีด้วย ผมว่าละครทีวีมีผลทำให้คนมองอะไรเป็นแค่ขาวดำ เชียร์พระเอกเกลียดผู้ร้าย เราจะเห็นขาวตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ในโลกของความเป็นจริง ไอ้ที่ว่าเป็นพระเอกนี่ก็เป็นผู้ร้ายได้นะ
เราไปติดในพระเอก แล้วไปสร้างความหวังในตัวบุคคลทั้งที่มันมีการเปลี่ยนระบอบของประเทศมานานมากแล้ว ยังไปมองว่าจะมีอันไหนเข้ามาสักวันหนึ่งแล้วมาทำให้ดี โดยที่คุณก็นั่งรออยู่เฉยๆ ซึ่งจริงๆ แล้วการที่คนออกมาขนาดนี้สามารถบังคับให้เป็นไปตามที่ประชาชนต้องการได้ พอพูดถึงประชาธิปไตยก็เกิดความเข้าใจกันอีกว่าการมีสิทธิ์ไปกากบาทบนแผ่นกระดาษเลือกตั้ง แล้วหลังจากนั้นคนพวกนี้หรือพวกไหนก็ตามเข้ามาเป็นเจ้าของประเทศ ส่วนคนที่กากบาทคุณไม่ได้เป็นแล้วนะ คุณอยู่เงียบๆ นะ เขาจะทำอะไรก็แล้วแต่เขา คือไม่ได้เลือกคนเป็นตัวแทนที่แท้จริง แต่เลือกคนเข้ามาเป็นนาย มาเป็นเจ้าของประเทศ ซึ่งอันนี้ต้องใช้เวลา ใช้การศึกษา ต่างประเทศเขามีวิวัฒนาการกว่าจะเกิดขึ้นได้
ประชาธิปไตยคือความเป็นใหญ่ของประชาชน นั่นหมายความว่า สมบัติ ระบบเศรษฐศาสตร์หรืออะไรต่างๆ ต้องเป็นไปในแนวทางเพื่อประชาชน แต่นี่เป็นไปในทางเพื่อนายทุน ประชาชนไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพยากรอย่างแท้จริง แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร อย่างแรกต้องจัดการให้ทรัพยากรเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงก่อน
ถามว่าเข้าเออีซีใครได้ประโยชน์ ประชาชนได้ประโยชน์หรือว่าใคร? แต่ว่านายทุนใหญ่นี่รวยขึ้น มันเป็นอย่างนั้น ซึ่งการแก้ที่ถูกต้องคือจัดทรัพยากรทุกอย่างให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แล้วบริหารให้เป็นไปในแนวทางเพื่อประโยชน์สูงสุด ระบบเศรษฐศาสตร์ กฎหมาย จะปล่อยให้มีการผูกขาดเรื่องอาหาร เรื่องพลังงานไม่ได้
เอาแค่เรื่องเกษตร น่าแปลกไหมที่บ้านเรามีคนเก่งๆ มากมาย แต่ทำไมเราไม่ผลิตปุ๋ยเอง ทำไมเราไม่คัดพันธุ์พืชดีๆ เอง ทำไมเราต้องให้บริษัทข้ามชาติมาคอยชี้นำ เป็นเพราะอะไร?
เขามีเงินนะพวกนี้ เมื่อก่อนสมัยล่าอาณานิคม เขามีเรือ มีปืน เราสู้เขาไม่ได้ แล้วก็เข้ามายึดประเทศอะไรไปหมด สมัยนี้เขามาด้วยเงิน จ้างให้คนไทยเรานี่ขายชาติเราเอง โดยบอกว่าคุณก็จะได้อันโน้นอันนี้ คุณจะได้เป็นใหญ่ แล้วคนพวกนี้จะได้ผลประโยชน์ไป แม้แต่ทีมต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุนตรงนี้เขาก็จะให้เงินทุน เขาเข้ามาหมด แม้กระทั่งศาสนาเขาก็เข้าไปทุกที่ เขามีกระบวนการทำลาย เขาเข้ามาทำลายสถาบัน แล้วเข้ามาทางนักการเมืองให้ขายอันนั้นขายอันนี้ แม้แต่ปัจจุบันเรายังเห็นว่ามีข้อมูลที่หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ เอามา เห็นว่ามีการทำสัญญา เซ็นไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์อะไรต่ออะไรในประเทศเรา โดยเขาสามารถเข้ามาแทรกแซงการเมืองได้เลยถ้าหากว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเขา
นี่คือเรื่องจริง?
มีเอกสาร อันนี้เป็นสิ่งที่หม่อมหลวงวัลย์วิภาเอามาให้ผมดูว่าเขาสามารถทำได้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเขาโดยไม่ผิดกฎหมายสากลเพราะว่าเราไปเซ็น แล้วพวกนี้ที่เข้ามาเขาไม่เข้าฝ่ายเดียว เขาเข้าทุกฝ่าย เห็นสองฝ่ายสู้กันเขาเข้าไปสนับสนุนทุกฝ่าย เพื่อให้สู้กับอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ เขาก็ต้องเป็นผู้ชนะ ฝ่ายไหนที่เอาด้วยเขาพร้อมจะสนับสนุนเพื่อให้รบกัน และถ้าไม่ได้อยู่กับเขาคุณจะแพ้แน่เพราะตัวเงินสู้เขาไม่ได้ และสื่ออะไรก็เข้าไปหมด เหมือนทุกวันนี้เรื่องพลังงานแทบไม่มีการออกสื่อฟรีทีวี แล้วสื่อเล็กๆ น้อยๆ ที่ออกมาพูดเรื่องอย่างนี้โดนรังแกไหม แม้แต่คนที่นำเสนอเรื่องพวกนี้ตามเฟซบุ๊ก พื้นที่เล็กๆ ในโลกไซเบอร์ก็โดนปิดกันระนาว เงินเขาเยอะครับ เขามีหน่วยติดตามทุกที่
เรียกกันง่ายๆ ศัตรูของชาติก็คือทุนสามานย์ อันนี้อันเดียวคือศัตรูที่ต้องสู้ ถ้าประชาชนพร้อมกันทุกคนก็ชนะแหละ แต่ว่าจะตื่นมาสู้หรือเปล่า หรือว่าเราจะยอมให้นายทุน มันก็เป็นทั้งนายทุนต่างชาตินายทุนในชาติร่วมกัน โดยไม่สนใจว่าชาติจะยังไง เอากระเป๋าตัวเองเป็นใหญ่
ถ้าดูในโลกโซเชียล สังคมเมืองก็เริ่มตื่นเรื่องพลังงานกันมากขึ้น แต่ในสังคมเกษตรกรรม หรือสังคมชนบท เรื่องพวกนี้ห่างไกลจากชีวิตเขามาก?
คนส่วนใหญ่ไม่มีเวลาไปสนใจอะไรอย่างนี้เท่าไหร่ ยังต้องสนใจเรื่องการหาเงินให้ลูกเขามีอาหารรับประทานก่อน ไปโรงเรียนก่อน แค่นั้นก็ยากมากแล้ว
งั้นแสดงว่าท้ายสุดเราก็ต้องรอเวลาแล้วก็รอให้คนอื่นๆ ค่อยๆ ตื่น?
ผมก็หวังว่าคนจะตื่นกันได้ โดยใช่ว่าประเทศต้องพังก่อน ถ้าประเทศพังเขาก็ตื่นกัน จะต้องไปเข้าไอเอ็มเอฟอีกรอบหนึ่งไหม? พอเข้าไอเอ็มเอฟแล้วก็ขาย… แทนที่จะได้ ปตท. อีกครึ่งหนึ่งมาต้องไปขายอีกครึ่งหนึ่งออกให้นายทุน ให้ใครก็ไม่รู้ มันจะต้องพังก่อนหรือเปล่า? มันจะต้องถึงแค่ไหน? เพราะบางทีคนไทยก็ชอบง่ายๆ ดูจากเรื่องการจราจรอย่างนี้เป็นต้น
ง่ายกับมักง่ายมันคนละอย่างนะ?
ใช่ มักง่าย แล้วบางทีก็ชอบลักษณะวัวหายล้อมคอก ช่วงนี้มันเป็นช่วงที่อันตรายมาก แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเวทีโลก ทั้งอเมริกาแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงทรัพยากรโลก ประเทศเราถ้าตื่นตัวก็ต้องนึกถึงประโยชน์ของเราให้สูงที่สุด แล้วรู้จักวางตัวให้เป็นไปในทางที่เราจะรักษาเอกราชไว้ให้ได้จากประเทศพวกนี้ โดยการใช้ทุกฝ่าย และไม่ให้ฝ่ายใดมาเอาเปรียบประเทศเราเกินไป
การพูดแบบนี้มันเหมือนจะง่ายนะ แต่เอาเข้าจริงทั้งองคาพยพต้องร่วมมือกันทำทั้งหมดถึงจะสำเร็จ?
แต่ปัญหาคือพวกนี้เขามีผลประโยชน์ แล้วก็ทำตามเพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากพวกนั้นโดยหวังว่าตัวเองจะได้เป็นใหญ่ มีเงินมีทองเข้ามา หวังแค่นี้ จึงขายตัวให้ทุนข้างในหรือทุนต่างชาติ ทุนข้างในก็ไม่สนใจ เขามองว่าต้องใหญ่กว่าคู่แข่งของเขาแค่นั้น เขาอยากจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แปลก พระเจ้าอยู่หัวท่านสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมานานมากแล้ว ก็เห็นมีแต่คนสรรเสริญกันมากมาย แต่พระองค์ท่านเขียนขึ้นมาเพื่อให้วางเป็นแนวทางปฏิบัติ ด้วยปัญญา ด้วยคุณธรรม ด้วยความพอเพียง แต่ที่เป็นอยู่นี้ไร้ภูมิคุ้มกันเลย ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ เอานโยบายจากนายทุนแล้วมันจะพอเพียงได้อย่างไร ให้ความสำคัญเหลือเกินที่ต้องไปปรึกษาเจ้าสัวนั่นเจ้าสัวนี่ มันผิดทางนะ มันวงจรเดิม มันก็จะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจที่จะทำให้รวยกระจุกจนกระจาย ประเทศไหนก็ตามที่มีปัญหานี้เยอะๆ มันอยู่อย่างสงบไม่ได้ ไม่มีทาง
เอาเข้าจริงแล้วสังคมไทยต้องการฮีโร่ หรือเราต้องปลุกฮีโร่ในตัวเอง?
คนไทยต้องรู้ว่าตัวเองคือเจ้าของประเทศ เป็นหนึ่งในเจ้าของร่วมของประเทศ แล้วก็ควรจะคิดในสภาพนี้ ประเทศประชาธิปไตยที่ระบบเขาทำงานได้ ประชาชนเขามีสำนึกตรงนี้ แต่ประชาชนไทยไปติดสำนึกกับผู้ที่เป็นตัวแทนหรือข้าราชการอะไรก็ตาม ไปติดตรงที่มองว่าเขาเป็นนาย จึงไปหวังว่าจะมีนายคนไหนมาเป็นฮีโร่ให้
เจ้าของบริษัทกับผู้บริหาร ใครควรจะเรียกใครว่าท่าน? ผู้บริหารต้องเรียกเจ้าของบริษัทว่าท่าน ส่วนเจ้าของบริษัทเรียกผู้บริหารว่าคุณ แต่ปัจจุบันนี้มันกลับกัน ก็กลับไปในทฤษฎีเดิมที่ว่า เลือกคนเข้ามาเป็นเจ้าของประเทศ เวลาเลือกตั้งคุณไม่ได้เลือกเขาเข้ามาบริหารประเทศ แต่คุณเลือกเขาเข้ามาเป็นเจ้าของเลย ติดอยู่ตรงนี้ ซึ่งต้องใช้เวลาปรับ
จริงๆ มันต้องใช้เวลาทุกอย่าง ไม่ว่าจะให้คนตื่นเรื่องพลังงาน หรือให้คนมีสำนึกให้ถูกต้อง ใช้เวลานาน เพราะคนที่มีอำนาจ คนที่เสียผลประโยชน์เขาไม่เอาด้วย เรื่องพลังงานถ้าผู้มีอำนาจเอาด้วยจริง จะนานสักแค่ไหน เอาเรื่องพวกนี้ออกทีวีทุกช่อง ตัวเองออกมาเองเลย ประกาศว่าความจริงมันคืออะไรบ้าง และในอดีตนักการเมืองแต่ละฝ่ายทำอะไรบ้างกับเรื่องนี้ แค่นี้ก็จบแล้ว คนจะมาทะเลาะกันเรื่องสีเสื้อทำไม เสื้อสีอะไรก็โดนปล้นกันหมดแหละครับ แล้วจะมาบอกว่านายข้าดีกว่านายเอ็ง นายข้าก็ปล้นข้าเหมือนกับนายเอ็งนั่นแหละ แล้วมันดีกว่ายังไง
เหมือนจะบอกว่าเราต้องปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นก่อน?
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้ยกอธิปไตยให้ปวงชน ไม่ได้ยกให้กลุ่มใดคณะใด ผู้นำถ้ามีสำนึกต้องการให้เป็นของประชาชนจริงก็ทำได้ แต่ที่เข้ามาก็อยากจะเอาให้เป็นของเขากัน ไม่ได้อยากจะแก้ตรงนี้ แก้ตรงนี้ไม่ยากถ้าผู้นำเอาด้วย ที่ยากก็คือติดคนอื่นที่อยู่รอบข้าง วงใน วงสอง วงสาม แล้วก็นายทุนที่เขาไม่เอาด้วยแน่นอน คนเสียผลประโยชน์เขาไม่เอาด้วย
ประชาชนคือหนึ่งใน 68 ล้านคนที่เป็นเจ้าของประเทศไทย แล้วมัวแต่มาทะเลาะกันว่าคนที่มาทำตัวเป็นเจ้าของประเทศคนไหนดีกว่ากัน แทนที่จะไปเห็นว่าเขาไม่ควรจะมาทำตัวเป็นเจ้าของประเทศเลยสักพวกหนึ่ง แต่เขาควรจะทำเพื่อเรา อย่าไปทะเลาะเรื่องแบบนั้น อย่าไปเถียงกันในเรื่องไม่เป็นประโยชน์ หรือเรื่องนายกูไม่เลวเท่านายมึง เรามัวแต่ติดกับเรื่องตัวบุคคล ถ้าเราเอาหลักการเอาความถูกต้อง ความเห็นต่างมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวมมันคืออันเดียวกันอยู่แล้ว ตรงนี้คือจุดที่ประชาชนไม่สามารถสู้กับเขาได้ เพราะว่านักการเมืองหรือข้าราชการเขารู้ว่าเขาสามัคคีกันเป็น เขาจะมาทะเลาะอะไรกัน เขาจะมาเป็นคู่ขัดแย้งเพื่อเสียผลประโยชน์กันทำไม วันหนึ่งเขารู้ว่าเขาสู้ได้แค่ไหน เขาก็จับมือกันแบ่งผลประโยชน์ แล้วเขาก็ปรองดองกัน แต่ประชาชนดันไม่รู้จักร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน จับมือแล้วปรองดองกันจัดการไอ้พวกนี้
ถ้าจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถูกต้อง ความจริงก็ควรจะต้องถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน?
ใช่ สิ่งต่างๆ ที่คนควรจะรู้ อันไหนไม่จริงก็บอกกัน เอาออกมาให้ประชาชนตัดสิน มาตกลงกันว่าอันไหนเป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง มาคุยกันเลย และให้แต่ละฝ่ายเสนอก็ได้ ประเทศเราควรจะเดินยังไง ให้ประชาชนได้รับรู้ว่ามีทางเลือกอย่างนี้ นี่ผมยังไม่ได้บอกว่าให้ประชาชนตัดสินนะ ให้เขารับรู้ก่อน เขายังไม่ได้รับรู้เลย เหมือนเราจะสร้างบ้านหลังหนึ่ง เราอยากมีบ้าน เราให้บริษัทที่เขาเก่งๆ มาเสนอกัน คุณออกแบบมาจะใช้อะไรยังไง ถูกต้องหรือเปล่า แล้วก็ให้มีการเลือกตรงนั้นสิครับ เลือกโดยที่ประชาชนเจ้าของประเทศรับทราบแล้วฟังความเห็นโดยรวม
เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : สุวิทย์ กิตติเธียร