“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนคนจะมองว่าหมอต้องแต่งตัวเรียบร้อย ใส่แว่น ผมไม่ทำสี ไม่ซอย ไม่มีรอยสัก หมอทุกคนไม่จำเป็นต้องทำแบบเดียวกัน แต่ละคนก็มีบุคลิกและความชอบที่แตกต่างกันอยู่แล้ว”
สาวหมวยยิ้มง่ายเจ้าของประโยคเหล่านี้คือผู้หญิงที่ได้ฉายาว่า ‘นางฟ้านักวิ่ง’ ซึ่งตัวตนจริงๆ ของเธอก็คือ ทันตแพทย์หญิงธิชาพร ชนะรัตนุบล หรือ ‘หมอแพต’ ดีกรีทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันทำงานในคลินิกทันตกรรมเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งหลายคนอาจเคยเห็นรูปความน่ารักเซ็กซี่เบาๆ ของเธอผ่านไทม์ไลน์บนเฟซบุ๊กกันมาบ้างแล้ว ก่อนจะเปล่งประกายและสดใสขนาดนี้ หมอแพตเป็นคนที่ป่วยง่ายและมีรูปร่างอวบมาก่อน แต่หลังเธอได้หันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง น้ำหนักก็ลดลง 10 กิโลกรัม แถมไม่เคยป่วยไข้อีกเลยตลอดปีที่ผ่านมา
“สิ่งที่ได้กลับมาคือความมั่นใจค่ะ” หมอแพตเสริมถึงผลลัพธ์ด้านบวกจากการดูแลสุขภาพและรูปร่างของตัวเอง เรื่องราวของคุณหมอคนนี้ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงหลายคนลุกขึ้นมาออกกำลังกายเพื่อหุ่นสวย นอกจากไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจแล้วทัศนคติของหมอแพตก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเธอคือตัวอย่างของผู้หญิงที่มีความสุขกับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและพร้อมจะส่งต่อพลังบวกนี้ไปยังผู้อื่น
ทำไมถึงเลือกเรียนทันตแพทย์
แพตเป็นคนชอบงานคราฟต์ งานฝีมือค่ะ การเรียนทันตแพทย์มันต้องใช้ศิลปะ ใช้ความประณีตในการทำฟัน อย่างเวลาเราเข้าแล็บ ต้องทำฟันปลอมให้คนไข้ งานทุกอย่างจะต้องเป็นแฮนด์เมด ส่วนตอนนี้แพตก็กำลังเรียนเฉพาะทางทางด้านทันตกรรมรากเทียมเพิ่มเติมอยู่ค่ะ
จริงหรือเปล่าที่ว่าการเรียนหมอนั้นต้องเรียนหนักมากๆ
ใช่ค่ะ ค่อนข้างหนักมาก มันต้องใช้เวลา อย่างหมอฟันคือเราตื่นมาเตรียมทำเคสในเวลาราชการ ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น ทำเคสคนไข้ แต่หลังจากนั้นเราจะมีงานแล็บต่อต้องใช้เวลากับตรงนี้ กว่าจะได้ออกจากคณะก็ประมาณ 2-3 ทุ่มเลยค่ะ ถือว่าเรียนหนักใช้เวลาเยอะ แพตเรียนทันตแพทย์ 6 ปีสนามศุภชลาศัยอยู่ใกล้จุฬาฯ มาก ห่างจากคณะไม่ถึง 1 กิโลเมตร แต่ไม่เคยเดินเข้าไปเลย เรียนตั้งแต่ตะวันโผล่ออกมาก็ตอนตะวันตกดิน สมัยเรียนไม่ได้ออกกำลังกายเลย
แต่สมัยเรียนก็ยังไม่มีปัญหาสุขภาพ
ใช่ ด้วยความที่เราอายุยังน้อย ร่างกายเรามีการฟื้นตัวได้เร็ว หลังเรียนจบแรกๆ ก็รู้สึกทำงานได้ ปวดหลังพักวันหนึ่งก็หายค่ะ ไม่ค่อยป่วย แต่พอทำงานเข้าปีที่ 5-6 เริ่มเปลี่ยนไปละ ด้วยความที่เราอายุมากขึ้นด้วย เหมือนร่างกายเสื่อมถอย เลยต้องหาวิธีดูแลตัวเอง
สัญญาณสุขภาพที่ทำให้รู้สึกว่าต้องดูแลสุขภาพแล้วคืออะไร
โห! หลักๆ คือเรื่องระบบทางเดินหายใจ เป็นภูมิแพ้ หายใจไม่ออก ค่อนข้างป่วยบ่อย แสบจมูก แสบคอ มีน้ำมูก ตลอดเวลา ต้องกินยาแก้แพ้ตลอดจนขาดไม่ได้เลยค่ะ ส่วนสัญญาณที่ 2 คือน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว คือผู้หญิงตอนอายุน้อยๆ ระบบเผาผลาญเรายังดีกินของหวาน กินแป้ง กินเค้ก อาจจะงดอาหารนิดนึงแล้วน้ำหนักก็ลง แต่พออายุมากขึ้นจะเริ่มรู้แล้วว่าพอกินเยอะน้ำหนักก็ขึ้น ถ่ายรูปมาหน้าบวม มีช่วงหนึ่งที่อ้วนมาก มารู้ตัวอีกทีตอนไปงานรับปริญญาน้องค่ะ ปกติเราถ่ายกับมือถือเราจะหามุมสวยได้ใช่ไหมคะ แต่ตอนนั้นถ่ายรูปจากกล้อง DSLR แล้วมีเพื่อนแท็กรูปมาแบบว่าตัวใหญ่มากเต็มเฟซบุ๊กเลย หน้าใหญ่กว่าบัณฑิตอีก (หัวเราะ) ไม่ได้การละ พอเราอ้วนเราไม่มีความมั่นใจ ยิ่งเป็นคนชอบแต่งตัว เลยรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนตัวเองแล้ว ทั้งในเรื่องรูปร่างและสุขภาพ
การเปลี่ยนตัวเองเริ่มต้นจากการทำอะไร
แพตเริ่มจากการหาแรงบันดาลใจก่อน เข้าไปในอินสตาแกรม หาคนที่เขาเป็นไอดอลด้านออกกำลังกาย แพตว่าอันนี้สำคัญนะ เราไม่ได้ดูดารานะ แต่ไปหาจากคนใกล้ตัว ดูสิคนที่มีงานประจำคนที่ไม่มีเวลาว่างในการออกกำลังกาย ไม่มีฟิตเนสเทรนเนอร์ เขาทำยังไงให้ตัวเองมีวินัยในการออกกำลังกาย เราก็เข้าไปเสิร์ชหา คนไหนสวยๆ ก็เข้าไปดู กดติดตามคนเหล่านี้เยอะๆ ค้นพบว่าเขาก็ไม่ได้ว่างนะทุกคนมีงานประจำ แต่ทำไมทุกคนถึงออกกำลังกายได้ แพตว่าทุกอย่างขึ้นอยู่ว่าเราให้ความสำคัญหรือเปล่า อยากจะแบ่งเวลาให้มันหรือเปล่า ก็เลยลองดูสิว่าเขาทำอะไรกัน คนส่วนใหญ่วิ่ง แพตคิดว่าการวิ่งค่อนข้างเหมาะกับตัวเอง เพราะเป็นกิจกรรมที่มีเพียงรองเท้าคู่เดียววิ่งคนเดียวก็ได้ ใช้เวลาว่างตอนไหนก็ได้ ก็เลยเริ่มต้นจากตรงนี้แหละ ซื้อรองเท้าแล้วไปวิ่งเลยค่ะ
ยังจำความรู้สึกแรกที่ออกไปวิ่งได้ไหม
ย้อนกลับไปสัก 2-3 ปีก่อนแพตเคยไปงานวิ่งงานหนึ่งค่ะ ระยะทาง 5 กิโลเมตรที่สวนลุมพินี ตอนนั้นฟิตมาก ฉันมีรองเท้าคู่หนึ่งฉันจะไป แต่ไปปุ๊บ วิ่งใส่เต็มที่แค่ 500 เมตรเท่านั้นแหละ เหนื่อยมาก (หัวเราะ) สรุปว่าทั้งงานวิ่งได้แค่ 500 เมตร ที่เหลือคือเดินค่ะ ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการเข้าเส้นชัยคือร่างกายเราไม่เคยถูกฝึกมาให้ทำตรงนี้ เราเคยพยายามไปวิ่งหลายครั้งแล้วตั้งนาฬิกาปลุกหลายรอบมากกว่าจะตื่น จนกระทั่งวันหนึ่งได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกบอกตัวเองว่าต้องลุกแล้ว เด้งตัวขึ้นมาเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปวิ่งที่สวนจตุจักร ตอนนั้นรู้สึกว่าเออจริงๆ มันก็สดชื่นนะ การไปวิ่งคนเดียว ก่อนหน้านี้ไม่เคยวิ่งคนเดียว วิ่งที่งานก็อีกบรรยากาศหนึ่ง แต่อันนี้เราใส่หูฟัง เราออกไปวิ่งคนเดียว มันรู้สึกได้ถึงอีกบรรยากาศหนึ่งได้อยู่กับตัวเอง ได้ทำสมาธิ เพราะเราทำงานในที่แคบๆ ตลอด แต่พอได้ไปวิ่งสวนสาธารณะตอนเช้าได้มองออกไปไกลๆ ได้มองท้องฟ้า มองต้นไม้ ทำให้เราสดชื่น ส่งผลดีต่อการงาน ทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นค่ะ
แสดงว่าเห็นผลชัดเจนทั้งเรื่องร่างกายและอารมณ์เลย
ใช่ค่ะ แต่ตอนแรกร่างกายมันยังไม่เห็นนะ โดยเฉพาะเดือนแรก แพตตั้งเป้าไว้เลยว่าต้องวิ่งเดือนละ 100 กิโลเมตร ที่ตั้งเป้าไว้เพราะไปเห็นไอดอลที่แต่ละเดือนเขาจะมีการลงสถิติไว้เลย ตั้งเป้าว่าฉันจะวิ่งเดือนละกี่ครั้งก็ได้ แต่จะให้ระยะทางถึงเดือนละ 100 กิโลเมตร คิดแฮชแท็กขึ้นมาเองเพื่อให้เราสามารถย้อนกลับมาดูตรงนี้ได้ ลงทั้งในอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กค่ะ ใช้แฮชแท็ก#crispypatroutine คำว่า Crispy มาจากหมูกรอบ คิดดูสิว่าชอบกินขนาดไหน (หัวเราะ) ส่วน Pat คือชื่อตัวเองเอามาตั้งเป็นชื่ออินสตาแกรม crispy_pat เวลาไปออกกำลังกายก็ลงแฮชแท็กนี้ไว้ เพื่อให้เราหรือคนที่จะออกกำลังกายได้เข้ามาดูค่ะ
นับตั้งแต่เริ่มวิ่งออกกำลังกายจนถึงตอนนี้ทำต่อเนื่องมานานกี่ปีแล้ว
จริงๆ เพิ่งมาทำกิจวัตรนี้ได้ไม่นานค่ะ ประมาณ 1-2 ปีอย่างที่บอกว่าก่อนหน้านี้ตื่นสาย ไปทำงาน กลับบ้านนอนเล่นโทรศัพท์ ดูหนัง เพราะเรารู้สึกว่าเราเหนื่อยจากการทำงานแล้วไม่มีแรงออกกำลังกาย แต่ปัญหาสุขภาพรุมเร้ามากขึ้น ป่วยบ่อยค่ะ เพราะเราทำงานที่ค่อนข้างใช้ร่างกายเยอะ ติดเชื้อโรคได้ง่าย ป่วยบ่อยทุก 3-4 เดือน ต้องไปหาหมอ บางทีต้องลางาน ตอนเราอายุ 20 ต้นๆ เราไม่มีปัญหานี้ แต่พอเข้าเลข 3 ร่างกายเสื่อมถอย ต้องเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันแล้วลุกขึ้นมาออกกำลังกาย นอกจากวิ่งแล้ว แพตยังเล่นฟิตเนสด้วย เพราะตอนแรกเราวิ่งอย่างเดียว แม้จะรู้สึกว่าหลังวิ่งได้ 1-2 เดือน น้ำหนักลด แต่ร่างกายไม่ค่อยกระชับ เพื่อนก็แนะนำให้ลองเล่นฟิตเนสดู เราอยู่คอนโดไม่เคยไปเล่นฟิตเนสแบบมีเทรนเนอร์ ก็อาศัยดูใน Youtube ให้แฟนช่วยสอนบ้าง เล่นท่าพื้นฐานง่ายๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น เพราะวิ่งอย่างเดียวเป็นคาร์ดิโอช่วยในเรื่องลดน้ำหนัก แต่กล้ามเนื้อถ้าอยากได้เฉพาะส่วนต้องมีการเล่นบอดี้เวทร่วมด้วย
ผู้หญิงกับขนมหวานดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คู่กันแม้รู้ว่าอ้วนก็ยังอยากจะกิน มีวิธีควบคุมอย่างไร
ตัวเองก็ยังเลิกกินขนมไม่ได้ แพตคิดว่าเราต้องดูปริมาณและความถี่ด้วย ขนมหวานมันจะอร่อยขึ้นถ้าเราไม่กินบ่อยและไม่กินเยอะ ถ้าเรากินทุกวันมันจะไม่อร่อย เวลากินเค้กเข้าไปสักก้อน แพตก็จะไปออกกำลังกายชดเชย จริงๆ แล้วการกินคือเรื่องที่ปรับน้อยมาก (หัวเราะ) อันนี้เป็นอะไรที่เพื่อนๆ ถามเข้ามาเยอะมากในเฟซบุ๊ก ช่วงแรกๆ มีเหมือนกันนะที่แพตเข้มงวดกับตัวเองมาก เราอยากหุ่นดี อยากสวย แต่จริงๆ แล้วเราเน้นสายกลางมากกว่า หมายความว่าเลือกกินมากกว่าเมื่อก่อน จากที่เคยกินขนมทีเดียวหมดถุง ตอนนี้อยากกินก็ซื้อมากินให้พอหายอยาก ไม่ใช่ว่ากินหมูกรอบทุกมื้อเหมือนสมัยก่อน คิดว่าในเรื่องการกินก็ค่อนข้างสำคัญนะคะ ถูกแล้วล่ะสูตรที่บอกว่า “อาหาร 80 / ออกกำลังกาย 20” แต่เราชอบออกกำลังกายมากกว่า ส่วนอาหารก็คุมบ้าง ไม่คุมบ้าง เพราะคิดว่าพอได้กินอะไรที่อร่อยก็เป็นความสุขเหมือนกัน
มีคำแนะนำอะไรถึงคนที่เริ่มวิ่งหรือออกกำลังกายมาสักพักแล้ว แต่ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง
ตรงนี้บอกเลยว่าอย่าไปรีบร้อน มีหลายคน inbox มาถามว่า “หมอแพตคะ วิ่งมา 2 อาทิตย์แล้วค่ะ น้ำหนักยังไม่ลงเลย” สำหรับตัวแพตวิ่ง 2 เดือนแรก น้ำหนักลง 2 กิโลกรัมเองนะ คือเราวิ่ง 200 กิโลเมตรแรก แต่น้ำหนักลงแค่ 2 กิโลกรัม เข้าใจค่ะว่าช่วงแรกๆ มันยาก เราก็เคยเครียดเหมือนกัน เดือนแรกที่เริ่มออกกำลังกายรู้สึกท้อมาก ตอนนี้แพตหนัก 48 กิโลกรัม แต่ก่อนหน้านั้นหนักประมาณ 57-58 กิโลกรัมนะคะ เราตื่นเช้า ออกไปวิ่งแทบจะวันเว้นวัน ชั่งน้ำหนักทุกวันเลยนะ กลับมาก็ชั่ง แต่มันลงไปขีดสองขีดเอง
จะบอกว่าอย่าไปสนใจตัวเลขมาก เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ตอนแรกสนใจตัวเลขแล้วเครียดมาก ทำไมฉันทำขนาดนี้ ทำไมน้ำหนักไม่ลง แต่ถ้าเราปล่อยวางได้ เราคิดว่าทำเพื่อสุขภาพของเราเอง เพราะหลังจากทำกิจวัตรนี้มาก็ไม่เป็นหวัดอีกเลยเป็นเวลา 1 ปีแล้ว น้ำหนักไม่ลงไม่เป็นไร แต่พอผ่านไป 2 เดือน เราแทบไม่ชั่งน้ำหนัก แต่คนเริ่มทักว่าไปทำอะไรมาทำไมผอมลง อย่าไปกังวลกับมัน รอหน่อยสัก 2-3 เดือนเดี๋ยวก็เห็นผลค่ะ ถ้าทำประจำเห็นผลแน่นอน
คิดว่าสำหรับคนที่ไม่มีความมั่นใจรูปร่าง จะมีวิธีจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร
ย้อนกลับไปเมื่อก่อนสมัยที่ยังอ้วน แต่ถามว่าแต่งตัวไหม ก็แต่งนะ ใส่ชุดว่ายน้ำนะ เพียงแต่ตอนนี้มันมั่นใจขึ้นมากเลยค่ะ สมัยก่อนเราแค่รู้สึกว่าเราอ้วน เราแขนใหญ่ แต่ไม่เป็นไร เพราะมันคือตัวเราเอง เวลาเราถ่ายรูปแล้วหน้ากลม หรือเพื่อนแท็กรูปมาเราอ้วนมาก ก็ไม่เคยไปลบออก แต่รู้สึกว่ามันคือตัวเรา ทุกวันนี้พอเราผอมลง ผิวก็แตกลาย หน้าอกหายไป ก็ไม่เคยคิดว่าจะทำศัลยกรรม เพราะเราคิดว่าผู้หญิงทุกคนมีความสวยในตัวเองอยู่แล้ว บางคนมาพูดว่า “ใช่สิ! ฉันไม่สวยจะถ่ายแบบแกได้ไง” ซึ่งจริงๆ แล้วแพตผ่านจุดที่ไม่ใช่ร่างนี้มาก่อน ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราสวยแล้ว เลยอยากให้ทุกคนมีความมั่นใจในการที่จะแต่งตัวนะคะ
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการมองเห็นความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองคืออะไร
มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สวยเลย ตอนที่น้ำหนักลดลงมาแล้วนี่แหละ อันนี้พูดตรงๆ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหน้าอกแบนมาก พอออกกำลังปุ๊บยิ่งไม่มีนมเข้าไปใหญ่ มีช่วงหนึ่งเครียดมาก คิดทุกวันเลยอยากทำนมมาก แต่พอเวลาผ่านไป รู้สึกว่าหน้าอกเล็กก็สวยได้ เลยรู้สึกว่าทุกอย่างที่เป็นตัวเองขอให้เรามั่นใจ ขอให้เรายอมรับ เราจะมีความสุขกับมัน ทุกวันนี้ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะทำอะไรเพิ่มเติม ทั้งหน้าทั้งตัว รู้สึกแค่ว่าอยากจะมีสุขภาพที่ดี รักษารูปร่างให้ได้แบบนี้ไปเรื่อยๆ
สมัยที่น้ำหนักยังไม่ลด ใส่ชุดว่ายน้ำถ่ายรูปเป็นปกติหรือเปล่า
เคยถ่ายเหมือนกัน เวลาไปเที่ยวทะเลก็มีใส่ชุดว่ายน้ำ ถ่ายสักพันรูป แต่เลือก 2 รูปที่ดูผอมที่สุด (หัวเราะ) หลายคนอาจพูดว่าไม่เป็นไรขอให้เรามั่นใจกับรูปร่างของเราก็พอ จะอวบจะผอมไม่เป็นไร แต่จริงๆ อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวนะคะ ยอมรับว่าตอนนี้พอรูปร่างดีขึ้นเรารู้สึกมั่นใจมากขึ้น กล้าที่จะแต่งตัวมากกว่าตอนที่เราอวบ แต่บางคนที่อวบแล้วมั่นใจก็ใส่ใจได้เหมือนกัน คิดว่าผู้หญิงทุกคนควรที่จะมั่นใจในการใส่ชุดว่ายน้ำหรือชุดออกกำลังกาย ในสถานการณ์ที่เหมาะสมเราไปเที่ยวทะเลเราก็ใส่ชุดว่ายน้ำ เราไปออกกำลังกาย เราก็ใส่สปอร์ตบาร์ได้ เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้และไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่ดี
เซ็ตภาพชุดว่ายน้ำที่เป็นไวรัลบนอินเตอร์เน็ตตกใจกับฟีดแบคไหม
ก็ตกใจนิดนึงค่ะ จริงๆ ไปเที่ยว แฟนถ่ายให้ แฟนเพิ่งหัดถ่ายรูป เพิ่งซื้อกล้องใหม่มาด้วย เราไม่ได้ไปเที่ยวทะเลกันนานมากตั้งแต่ตอนไม่ผอม พอไปถึงรีสอร์ทสวยมากเลยใส่ชุดว่ายน้ำถ่ายเล่นๆ แต่ก็ตกใจนิดนึงที่เห็นอีกทีรูปถูกแชร์ออกไปเยอะมาก แพตรู้สึกว่าภาพที่ออกมาไม่ได้โป๊ เพราะเราใส่วันพีซด้วยซ้ำ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ตอนแรกคุณแม่ก็หวงนิดนึง เฮ้ย! เป็นหมอไปถ่ายอย่างนี้ได้ไง เลยพยายามอธิบายคุณแม่ว่าสมัยนี้มันไม่เกี่ยวว่าเราจะทำอาชีพอะไรหรือทำงานอะไร คิดว่าทุกคนสามารถแต่งตัวตามที่ตัวเองอยากจะแต่งได้ค่ะ
มีมุมมองอย่างไรที่สังคมมักคาดหวังว่าคนเป็นหมอต้องรักษาภาพลักษณ์
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนคนจะมองว่าหมอต้องแต่งตัวเรียบร้อย ใส่แว่น ผมไม่ทำสี ไม่ซอย ไม่มีรอยสัก หมอทุกคนไม่จำเป็นต้องทำแบบเดียวกัน แต่ละคนก็มีบุคลิกและความชอบที่แตกต่างกันอยู่แล้ว การเป็นหมอนั้นเป็นหน้าที่การงาน เป็นหัวโขน ซึ่งทุกคนมีความหลากหลาย มีความชอบไม่เหมือนกัน การใส่ชุดว่ายน้ำไม่ได้เป็นการลดคุณค่าของอาชีพของตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเหมาะสมมากกว่า เราไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำไปทำคลินิก เราไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์ไปเที่ยวทะเล ทุกคนมีบทบาทตามบริบทของแต่ละคนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหา เซ็ตภาพก็ไม่ได้น่าเกลียด น่ารักดี เพราะเราไม่ได้ไปถ่ายโป๊อะไรขนาดนั้น เป็นชุดที่เราเลือกแล้วว่าเหมาะสมกับเราสามารถโพสต์ลงโซเชียลได้
ตัวตนจริงๆ เมื่อไม่ได้อยู่ในหน้าที่หมอ
เป็นคนค่อนข้างช่างพูดค่ะ ถ้าใครเคยมาเป็นคนไข้หรือเป็นเพื่อนร่วมงานก็จะได้ยินเสียงตลอดเวลา จริงๆ เป็นคนชอบพูด เพราะรู้สึกว่าการพูดเป็นการสื่อสารที่ชัดเจนที่สุด ใครที่ต้องการคำแนะนำจากเราก็รู้สึกว่าการพูดเป็นอะไรที่มีผลและเข้าใจได้มากที่สุดเลย เป็นคนชอบพูด ชอบอธิบายค่ะ นอกจากนั้นก็กินเก่ง ยิ้มง่าย ร่าเริง หลายคนชอบคิดว่าหมอต้องเคร่งขรึม (หัวเราะ)
หลังจากเริ่มมีคนติดตามผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้นชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงบ้างไหม
ค่อนข้างเหมือนเดิมนะ เรื่องงานต่อให้คนจะรู้จักเรามากขึ้น แต่ตอนทำฟันไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นใคร เพราะเราปิดทั้งหน้า แต่จะมีเรื่องสังคมใหม่ๆ เข้ามา มีเพื่อนใหม่ที่เขาสนใจในเรื่องแบบเดียวกัน ทำให้เราได้ออกกำลังกายมากขึ้น จากที่เคยวิ่งคนเดียวเหงาๆ เราเริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ในวงการนี้มากขึ้นเวลามีงานวิ่งก็จะชวนกันไปค่ะ
ฝากแรงบันดาลใจถึงคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง
อย่างแรกคือต้องมีความตั้งใจก่อน อย่าไปมองที่ไหน มองที่ตัวเราเอง ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน ไม่ต้องเอาเราไปเทียบกับใคร ยึดองค์ประกอบทุกอย่างของตัวเอง ไปดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง ดูว่ามีกิจกรรมอะไรที่เราชอบ แล้วเลือกให้เหมาะสม ไม่ต้องไปตามคนอื่นนะคะ แล้วตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเราทำเพื่ออะไร แล้วสุดท้ายก็จะมีแรงในการที่จะทำมันในทุกๆ วันค่ะ (ยิ้ม)
ขอบคุณภาพ และติดตามความเคลื่อนไหวของ ‘คุณหมอแพต’ ได้ที่ IG crispy_pat และที่ FB Thichaporn Chanarattanubol