หากเราจั่วหัวกันโต้งๆ แบบนี้ว่า กัญจน์ ภักดีวิจิตร คือ ‘ตัวประกอบที่ไม่ใช่แค่ตัวประกอบ’ ใครหลายคนที่ได้ฟังก็คงยักไหล่ และตอบออกไปว่า ก็ใช่สิ! เขาจะเป็นแค่ตัวประกอบได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้กำกับชื่อดังเจ้าของฉายา ‘เจ้าพ่อหนังแอ๊กชั่น’ ผู้ผูกขาดการผลิตละครแนวบู๊ให้แก่ช่อง 7 มายาวนานอย่าง อาหลอง-ฉลอง ภักดีวิจิตร อีกด้วย…
ทำไมละครอาหลองถึงต้องปิ้งไก่กินในป่าแทบทุกเรื่อง ไม่กลัวนักแสดงเป็นโรคเกาต์บ้างเหรอ?
ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ใช้กระสุนเป็นร้อยๆ พันๆ นัด แต่กระสุนกลับไม่เคยโดนพระเอก!
โคตรเชยเลย! ละครอะไรวะ อย่างกับหลุดมาจากศตวรรษก่อน
ต้มกาแฟกาเดียว ตัวละครกินได้ทั้งแคมป์!
แล้ว ‘ไอ้นั่น’ คือใคร ทำไมถึงเห็นมันแทบทุกเรื่องเลยฟะ เด่นกว่าพระเอกเสียอีก!
ภายใต้คำค่อนขอดบางส่วนจากแฟนละครของฉลอง ภักดีวิจิตร ลูกชายของเขาอย่างกัญจน์ ภักดีวิจิตร คือหนึ่งในคนที่ต้องรับผิดชอบกับข้อสงสัยเหล่านี้ไปเต็มๆ — เขาคือ ‘ไอ้นั่น’ ในถ้อยคำค่อนขอดข้างต้น เป็นตัวประกอบ เป็นพระรอง ที่คล้ายเป็นลายเซ็นในละครของฉลอง ภักดีวิจิตรไปเสียแล้ว และหากว่ากันถึงที่สุด ตลอดระยะเวลาที่กัญจน์อยู่ในวงการบันเทิงมาเกือบยี่สิบปี หากละครเรื่องไหนของอาหลองขาดชายผู้นี้ไป ใครหลายคนก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่า ละครที่พวกเขากำลังดูอยู่ มันเป็นละครของฉลอง ภักดีวิจิตรจริงๆ หรือเป็นละครของคนอื่นกันแน่
2 ปีก่อน อยู่ๆ ใครบางคนก็นึกสนุกเขียน 20 เรื่องน่ารู้เชิงเสียดสีเกี่ยวกับเขาขึ้นมา แล้วโพสต์ไว้ในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง pantip.com ซึ่งจนถึงบัดนี้ ข้อความทั้ง 20 ข้อเหล่านั้น ก็ยังถูกแชร์และส่งต่ออยู่ในอินเทอร์เน็ต แถมใบหน้าของกัญจน์ก็ยังถูกนำมาตัดต่อ หรือวาดใหม่ ทำเป็น meme เพื่อไว้ใช้ยั่วล้อ (Irony) วงการละครไทยมาโดยตลอด…
‘กัญจน์ ไม่ใช่พระเอก และไม่ใช่ตัวประกอบ แต่บทของกัญจน์มีมากกว่าตัวประกอบและพระเอก รวมถึงเป็นคนตัดสินใจในแทบจะทุกเรื่องที่สำคัญ อธิบายยังไงดีล่ะ คือถ้าเทียบพระเอกเป็นรพินทร์ กัญจน์ก็คือแงซายอะ (ตัวละครจากนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา อันโด่งดัง)’
‘กัญจน์ไม่ใส่ใจเรื่องแต่งหน้า เขาชอบเข้าฉากด้วยใบหน้ามันแผล็บ สิวเม็ดโป้งๆ นัยว่านั่นทำให้ละครดูสมจริง’
‘เวลากัญจน์เปิดตัว บางครั้งจะมาพร้อมผ้าดำปิดหน้าไว้ แต่คนดูมักเดาได้ว่านั่นคือเขา’
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
นั่นคือบางส่วนจาก 20 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกัญจน์ ภักดีวิจิตร แต่เรื่องน่ารู้ที่นอกเหนือจากอารมณ์เชิงเสียดสีเกี่ยวกับชายคนนี้ แท้จริงแล้วจะเป็นอย่างไร… บ้านภักดีวิจิตรกำลังเปิดประตูอ้ากว้าง และชายหนุ่มคนนั้นกำลังพาเราไปค้นหาคำตอบ
เชย, ปิ้งไก่, เดินป่า, ล่องแพ, ต้มกาแฟ และพ่อ
“มันเชยแหละ แต่สุดท้ายมันก็เรตติ้งดีทุกเรื่องนะ”
ใช่! เราก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ละครที่คนดูบ่นนักบ่นหนาว่าเชยแสนเชย ซึ่งมีชายผู้นี้ร่วมแสดงมาหลายเรื่องนั้น เหตุใดเมื่อออกฉายทางจอแก้ว จึงมีเรตติ้งดีเหลือเกิน แถมยังไม่วายทำให้แฟนละครจำนวนมากถึงขั้นติดกันงอมแงมจนแทบไม่อยากละสายตาจากจอทีวี
“คือการจัดแสงของเขา การบู๊ มุมภาพ ก็อาจจะดูโบราณนิดหนึ่ง แต่คนดูก็ติดนะ เพราะว่าด้วยความสมจริงของมัน แบบเฮ้ย ดูบ้านๆ ว่ะ แต่เวลาเตะต่อยกันมันโคตรมันเลย พ่อเขาเป็นคนตัดต่อเร็ว ละครจะกระชับ และดูมัน ลูกปืนก็ใช้ลูกปืนจริง เพียงแต่ถอดหัวกระสุนออก แล้วเดี๋ยวนี้เราเห็นละครบางเรื่องใช้คอมพ์ ระเบิดก็ใช้คอมพ์ แต่คุณพ่อเขาใช้ของจริงหมดไง คนดูถึงดูแล้วติดใจ”
ใช่! (อีกสักครั้ง) ได้ฟังแบบนี้ คงทำให้ใครหลายคนต้องพยักหน้าหงึกๆ และยอมรับว่าละครของอาหลอง (ที่มีกัญจน์เล่นแทบทุกเรื่อง) มัน ‘มัน’ จริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ว่าอย่างไร กัญจน์ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ต้องตอบให้ได้ว่า เหตุใดละครของฉลอง ภักดีวิจิตร จึงต้องมีกัญจน์ปรากฏอยู่แทบทุกเรื่อง แถมแทบทุกเรื่องเขาก็ยังมาพร้อมกับบทบาทเดิมๆ อีกด้วย
“‘ผมกับพ่อ’ มันเป็นสโลแกนไปแล้วน่ะ คนเขาจะจำภาพลักษณ์ของเราได้จากบทอย่างนั้น แล้วพอมาเล่นอังกอร์ (2543) อังกอร์ก็ดังมากในสมัยนั้น มันก็พลอยทำให้เราดังไปด้วย อย่างเสาร์๕ (2552) หรืออังกอร์เนี่ยมันดังมากเลยนะ คนก็เลยจะจำเราแบบนั้นมาตลอด มันทำให้คนติดภาพว่า เฮ้ย ไอ้นี่มา มันต้องเล่นละครแบบนี้เท่านั้น ต้องเล่นละครพ่ออย่างเดียว คือคนเขาจะจำได้จากบทแบบนี้ เสาร์ ๕ อังกอร์ ก็จะเดินป่า ล่องแพ ย่างไก่ ต้มกาแฟ คนย่างไก่ก็ไม่ใช่เรานะ เป็นคนอื่น (หัวเราะ) แล้วพอมาถึงตอนนี้ ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนคาแร็กเตอร์อย่างไร คนเขาก็จะจำแต่คาแร็กเตอร์แบบนั้นอยู่ดี”
ส่วนในประเด็นเรื่องบทบาทในละครของกัญจน์ เช่น การปิ้งไก่, เดินป่า, ล่องแพ, ต้มกาแฟ ที่มักโดนคนในเน็ตเอาไปทำเป็น meme เพื่อล้อวงการละครไทยอย่างสม่ำเสมอนั้น เขาก็ได้แต่ยิ้มรับไว้ และมองกลับไปด้วยสายตาอีกรูปแบบ
“บางทีมันก็ดีนะ ถ้าเราไม่มีชื่อเสียง คนเขาก็คงไม่เอาเราไปล้อ ไปชม ไปด่า ไปกัดหรอก บางรูปที่คนเอาไปลง อย่างที่พจน์ อานนท์ เอารูปเราไปลง แล้วมีข้อความว่า ‘กูจะเล่นแต่ละครพ่อ’ อะไรประมาณนี้ เราไม่ได้ซีเรียสอะไรนะ มันก็ฮาดี”
เกิดมาในกองละคร
แต่ใช่ว่าจะเกิดมาเพื่อเป็นดารา
“เกิดมาก็เห็นพ่อกำกับแล้ว แม่พาไปกองละครตั้งแต่เล็กๆ เรียกว่าอยู่มา 37 ปี คือตั้งแต่เกิดเลย”
แม้จะอยู่ในกองละครมาโดยตลอด ทว่า ‘ระย้า’ ที่ออกฉายเมื่อปี 2541 ในตอนที่กัญจน์อายุ 21 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นของเขา…
“ตอนแรกผมไปเรียนพวกภาษา พวกเกี่ยวกับซาวด์เอนจิเนียร์ที่ออสเตรเลียมา แล้วกลับมาตอนนั้นยังไม่มีอะไรทำ ตอนนั้นแม่ก็บอกว่า ช่วงรองานก็ลองมาเล่นละครดูไหม แล้วเราคิดว่ามันก็เป็นโอกาสของเรา ก็เลยลองดู”
แม้ในตอนที่ระย้าออกฉาย มันจะสร้างปรากฏการณ์มีคนดูติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง จนเรตติ้งถล่มทลายอย่างไร แต่กัญจน์ก็บอกว่า การได้เริ่มลงมาเป็นคนทำงานจริงๆ ในสิ่งที่เขาเฝ้ามองมาตลอดชีวิตนั้น สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย
“พอได้มาเล่นเรื่องแรก เรารู้สึกเลยว่าเราไม่ค่อยไหว เพราะเหนื่อยมาก ต้องตื่นเช้า แล้วมาแต่งหน้า แต่งหน้าเสร็จก็ไปอยู่กลางแดด แล้วเรื่องแรกเจอบู๊หนักเลย เรายังไม่เป็นอะไรเลย โดนด่า โดนพ่อว่า พอพ่อว่าก็ร้องไห้ มันเริ่มถอดใจแล้ว แต่มีคนให้กำลังใจเยอะ เล่นเรื่องแรกกับพี่พีท (พันธกานต์ ทองเจือ) พี่พีทก็บอกว่า เอาน่า สู้ๆ คือด้วยความใหม่ เกร็งด้วย อายคนด้วย โดนด่า คนอื่นเขาก็ต้องมารอเราคนเดียว ด้วยความเกร็ง ด้วยความกลัว ก็เลยถอดใจ กดดันตั้งแต่เรื่องแรกที่เล่น ก็มีกระแสว่าเล่นไม่ดี เล่นแข็ง ช่วงแรกๆ ทางช่องเขาบ่นมาเหมือนกันนะ แต่หลังจากนั้นเราไปเรียนการแสดงเพิ่ม พัฒนาตัวเองมาจนถึงอังกอร์ พออังกอร์ก็เหมือนจะโอเคขึ้น คนจะชมเยอะขึ้น หลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ”
บางครั้งเส้นทางชีวิตของคนเรา ก็คล้ายโดนขีดเส้นมาให้เป็นไปในที่ทางที่มันควรเป็น กัญจน์ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศของกองหนัง กองละคร เฝ้ามองมันมาตลอด แต่กลับเลือกไปเรียนอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ ทว่าสุดท้าย เส้นทางชีวิตก็พาเขาวกกลับมาจุดเดิม และจนถึงวันนี้ นับได้ 16 ปีแล้ว ที่เขาวนเวียนเข้าออกอยู่ในกองละครของพ่อ คลุกคลีเป็นส่วนหนึ่งกับมันแทนที่จะเฝ้ามองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา
“เรารู้สึกสนุก เจอเพื่อน เจอทีมงาน เจอพี่ๆ อยู่ด้วยกันทุกวันเลยสนิทกัน ก็เลยคิดว่า เฮ้ย ไม่ไปไม่ได้เว้ย เหมือนมันเป็นครอบครัวเราไปแล้ว พอเลิกกองก็ไปเที่ยวไปเฮฮากัน”
แม้กระนั้น สิ่งหนึ่งที่กัญจน์กลับโดนเพ่งเล็งมากกว่าดาราคนอื่นก็คือ การที่เขาเกิดมาเป็นลูกชายของผู้กำกับมือทองอย่าง ฉลอง ภักดีวิจิตร ซึ่งนั่นย่อมตามมาด้วยคำครหาที่ว่า เขาเป็นเด็กเส้น เป็นดาราสมทบที่มักปรากฏตัวออกมา แล้วมีบทเด่นกว่าพระเอก จนถึงขั้นโดนวิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า ไม่ว่าเขาจะเล่นได้ห่วยแตกแค่ไหน แต่ถึงอย่างไร เขาก็จะถูกเลือกมาเล่นละครของพ่ออยู่วันยังค่ำ
“มันก็มองได้หลายแง่นะ คนจะมองแบบนั้นก็ได้ ซึ่งมันก็จริง อย่างในละครที่พระเอกจวนตัวจะตายอยู่แล้ว เราก็ออกมาทุกที เพราะบทมันเขียนมาแบบนั้นด้วย จะให้เราคิดยังไงดีล่ะ มันก็คงเป็นแบบนั้นแหละ (หัวเราะ) คือผู้กำกับเขาเป็นพ่อเรา เขาต้องเสริมบทเราเข้าไป มันคือการดันน่ะ ด้วยความที่เราเป็นลูก มันก็เป็นปกตินะ
“คนเรามันต้องมีคนชอบคนเกลียดเป็นธรรมดา ดาราที่เขาดังกว่าเราตั้งเยอะแยะยังมีคนด่าเลย นับประสาอะไรกับเรา มันเป็นเรื่องธรรมดา คือแรกๆ เราก็นอยด์เหมือนกัน เราเลยคุยกับเพื่อนๆ เขาบอกว่าไม่ต้องสนใจหรอก คนด่าเดี๋ยวก็เลิกด่า แล้วเราต้องพิสูจน์ด้วยฝีมือ คือช่วงแรกๆ เรายอมรับว่าเราเล่นแข็ง เพราะเรายังไม่เป็นไง พอมาช่วงหลัง อย่างปีที่แล้ว เรื่องเลือดเจ้าพระยา (2556) คนชอบเยอะนะ เพราะมันมีบทดราม่าด้วย มันเปิดโอกาสให้เราได้แสดงฝีมือในส่วนนี้สูงขึ้น”
และสำหรับเขา หลักฐานที่พอจะยืนยันได้ว่า คนอย่างเขาได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วมากมายเพียงไร นั่นก็คือฐานแฟนคลับกลุ่มใหญ่ที่ติดตามมาอย่างเหนียวแน่นยาวนาน
“เวลามีคนเข้ามาด่า มาว่าผมในแฟนเพจ ซึ่งเมื่อก่อนมีเยอะมาก มีเข้ามาทุกวัน พวกแฟนคลับเขาก็จะไม่ยอมนะ บางทีตอบโต้กันสองสามร้อยคอมเมนต์เลยก็มี”
บทในฝันของกัญจน์ต้องดราม่า
“จริงๆ เราอยากเล่นดราม่าว่ะ อยากเล่นให้มันเยอะกว่านี้ อย่างละครของคุณพ่อ สมมุติเรากำลังเล่นดราม่าอยู่ดีๆ แป๊บๆ ตัดแล้ว เราก็เซ็งเหมือนกันนะ คือตอนจบพระเอกตาย เรากำลังดราม่าซึ้งๆ เลย ตัดไปโน่นแล้ว” (หัวเราะ)
แม้จะเดินป่า ล่องแพ ต้มกาแฟ และบู๊สาดกระสุนในจอละครมาอย่างยาวนาน แต่บทบาทที่กัญจน์ใฝ่ฝันจริงๆ กลับเป็นการได้รับบทดราม่าเปื้อนน้ำตา ซึ่งเขาบอกว่ามันสามารถเอื้อโอกาสให้เขาได้แสดงความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
“บทดราม่ามันได้โชว์ความสามารถ แล้วถ้าเราได้เล่นกับดาราที่มีความสามารถอย่างยุ้ย (จีรนันท์ มะโนแจ่ม) ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้วใช่ไหมว่าเขาเทพขนาดไหน มันก็จะดีมาก — เราอยากเล่นดราม่ากับดาราผู้ใหญ่อย่างอาดาว (ดวงดาว จารุจินดา) อยากเล่นอะไรแบบนั้น คืออยากพิสูจน์ฝีมือเลยน่ะ ถ้าเจออย่างนั้น เล่นได้สบายเลยนะ ชอบมาก”
แม้บทเหล่านั้นจะเป็นแค่นักแสดงสมบท ที่ผู้คนรู้จักกันดีในนาม ‘ตัวประกอบ’ แต่สำหรับกัญจน์แล้ว ตัวประกอบสำหรับเขา มันก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ละครเรื่องหนึ่งดำเนินเรื่องไปข้างหน้าได้มากกว่าพระเอกนางเอกเสียอีก และยิ่งเป็นตัวประกอบแบบกัญจน์ ภักดีวิจิตร ที่มักมีคาแร็กเตอร์สุดคัลต์อย่างการมีอาวุธคู่ใจเป็นแคน ที่สามารถยิงกระสุนออกมาใส่ฝั่งผู้ร้ายได้ด้วยแล้ว กลับน่าสนใจยิ่งกว่าพระเอกนางเอกตามขนบเป็นไหนๆ
“บทเรามันสำคัญนะ ถ้าไม่มีเราก็ไม่สนุกดิ (หัวเราะ) คือบทบาทของเราส่วนใหญ่มันคือตัวเสริมตัวหนึ่งของเรื่อง เป็นตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมา เพื่อที่บางครั้งจะทำให้มันกลายเป็นตัวดำเนินเรื่องด้วย มันก็เป็นตัวเดินเรื่องตัวหนึ่ง ซึ่งอาจจะฉีกคาแร็กเตอร์ไปจากคนอื่น อย่างเรื่องเสาร์ ๕ พระเอกนางเอกเขามีกันห้าคู่ เราก็โผล่ขึ้นมาเดี่ยวๆ คนเดียว มาเป่าแคน เป็นแคนปืนอยู่ในป่า ซึ่งเรารู้สึกอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันนั่นแหละว่า ละครของพ่อ ถ้าไม่มีเรามันก็จะแปลกๆ”
และหากให้เขามองวงการละครไทยในปัจจุบัน และนำมาเปรียบเทียบกับละครของคุณพ่อของเขา ด้วยความคาดหวังที่จะได้เห็นมุมมองการกำกับใหม่ๆ ที่แปลกตาไปจากการปิ้งไก่, เดินป่า, ล่องแพ และต้มกาแฟ เขาก็ได้แสดงความคิดเห็นออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ละครไทยตอนนี้มุมภาพสวยเยอะนะ ดูอินเตอร์ขึ้นเยอะ ด้วยระบบใหม่ หรือด้วยอะไรหลายๆ อย่าง เราว่าถ้าไปฉายเกาหลี ไปฉายที่จีน หรือญี่ปุ่นตอนนี้ก็ไม่อายเขาแล้ว แต่ถ้าจะให้คุณพ่อเขาไปปรับให้เป็นแบบนั้น เราว่าคงยาก เพราะว่าเขามาแนวนี้ ถึงใช้ทฤษฎีภาพชัดขึ้น คมขึ้น แสงสวยขึ้น แต่เขาก็จะมาเป็นแนวเขา สโลแกนเขายังเป็นแบบนี้อยู่ แล้วยังมีคนชอบอยู่นะ คงเปลี่ยนยาก ต่อไปก็คงต้องเป็นเรา หรือน้องชายที่จะทำอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา”
กัญจน์ไม่ใช่คน ‘ปิ้งไก่’
แต่เป็นคน ‘เลี้ยงไก่’ ต่างหากล่ะ!
เห็นปิ้งไก่กันจนชินตา แต่ใครจะรู้ว่า ในชีวิตจริง กัญจน์คือคนที่ชอบเลี้ยงไก่เป็นชีวิตจิตใจ!
แต่อย่าเพิ่งคิดไปว่า ไก่ที่ท่านได้เห็นในละคร คือไก่ที่มาจากฟาร์มไก่ซึ่งมีชื่อว่า ‘ฉกัญจน์’ ของชายหนุ่มคนนี้ จนคิดว่าเขาเลี้ยงไก่เพื่อเอาไว้เข้าฉากไปเสียก่อน
เพราะไก่ที่กัญจน์หลงใหลจนถึงขั้นคลั่งไคล้นั้น นั่นก็คือ ‘ไก่ชน’ ที่อย่างไรก็คงเอามาปิ้งไม่อร่อยแน่ๆ — แต่หากจะว่ากันในแง่ธุรกิจแล้ว กลับเป็นธุรกิจที่สามารถทำรายได้ให้กับเขาชนิดที่เรียกว่าอาจไม่ต้องแสดงละครไปอีกหลายปีเลยก็เป็นได้ และเมื่อเขาเริ่มอธิบายถึงธุรกิจใหม่ที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างมากนี้ให้เราฟัง มันก็ทำให้เราอยากเปลี่ยนจากการ ‘กินไก่’ ในชีวิตประจำวัน หันมา ‘เลี้ยงไก่’ เป็นเพื่อนกัญจน์กันเลยทีเดียว
“ลึกๆ แล้วไก่ชนมีอะไรมากกว่าการตีกัน คือตอนแรกเราก็ไม่ชอบนะ แต่พอหันมาศึกษา ก็พบว่าไก่มันมีหลายสายพันธุ์ มีพม่า มีเวียดนาม มีไก่ไทย มีไก่ญี่ปุ่น มีไต้หวัน แล้วไก่ชนมันก็มีมูลค่าสูง เพราะพวกเศรษฐี คนรวยๆ เขาก็หันมาชนกัน ดาราก็มีมาเล่นไก่ชน มันก็เลยเป็นกระแส ในวงการไก่ชนเขาก็จะรู้กันว่าฟาร์มไหนดัง ฟาร์มไหนมาแรง อย่างของเรานี่ติด 1 ใน 5 เลยนะ ไก่ในสุ่มมีประมาณ 50 ตัว เดือนหนึ่งก็ขายได้ประมาณ 20 ตัว”
ได้รู้แบบนี้แล้ว ต่อไปคงไม่มีใครค่อนขอดแล้วว่า กัญจน์ ภักดีวิจิตร เอาแต่ปิ้งไก่อยู่ในละคร — แต่คงเปลี่ยนมาเป็น กัญจน์ ภักดีวิจิตร เอาแต่เลี้ยงไก่จนไม่มีเวลาไปเดินป่า ล่องแพ และต้มกาแฟกับคนอื่นๆ เสียแล้วกระมัง!
…………………………………………………………………………….
บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร mars ฉบับเดือนสิงหาคม 2557
เรื่อง : ฆนาธร ขาวสนิท
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์
อัปเดตหลากหลายเรื่องราวข่าวสาร สาระบันเทิงได้ที่แฟนเพจ mars magazine