13 ปี ‘สายป่าน’ บนเส้นทางสายมายา : “ถ้ามึงไม่รู้ มึงไม่มีสิทธิ์ไปด่าเขา”
มีนักแสดงไม่กี่คนในประเทศนี้ที่จะมี ‘ลายเซ็น’ เป็นของตนเอง ซึ่ง ‘สายป่าน อภิญญา’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
นับจากวันที่เธอกลายเป็นสาวบ้านแตกติดยาจากหนังเรื่อง ‘พลอย’ ทางเดินของสายป่านก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แม้จะรับบทหลากหลายจากหนัง 25 เรื่อง และละครอีกเกือบ 20 เรื่องตลอด 13 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ต่างรู้กันดีว่า เงาที่เราชื่นชมและคุ้นเคยนั้นคือบทบาทของหญิงกร้านโลก ต่อต้านสังคม และเป็นตัวของตัวเอง มากกว่าความเป็นสาวใสไร้เดียงสาและฟรุ้งฟริ้ง
เธอแสดงเป็นตัวเอง? เธอมีพรสวรรค์? เธอดวงดี? หรือเธอพัฒนาตัวเองไม่เคยหยุด? นี่อาจคือคำตอบที่ตรงที่สุดในรอบ 13 ปีของลายเซ็นที่อ่านออกเสียงว่า ‘สายป่าน’
เห็นว่าตอนนี้เป็นอาจารย์พิเศษสอนด้านการแสดงด้วย เป็นยังไงมายังไงถึงไปเป็นอาจารย์ได้?
ตอนนี้ป่านสอนการแสดงพื้นฐาน รหัสMPV 31 ที่ ม.รังสิต คือจริงๆ ตอนที่เรียนปริญญาตรีป่านเป็นรุ่นพี่ที่เป็นตัวอย่างค่อนข้างดี ตอนจบมาได้เกียรตินิยม แล้วเราไปเรียนอย่างสม่ำเสมอ เราสนิทกับอาจารย์ประจำหลักสูตรประมาณหนึ่งเหมือนกัน จบมาอาจารย์เลยถามว่าสนใจไหมเพราะว่าบุคลากรทางด้านนี้ค่อนข้างน้อยแล้วเด็กภาพยนตร์ที่ ม.รังสิตลงทะเบียนเรียนเยอะมาก เป็นวิชาบังคับด้วยค่ะ สมมุติปีหนึ่งปีนี้มี 700 คนทุกคนก็ต้องเข้าเรียนหมดเลย แล้วมีอาจารย์แค่ 2 ท่าน เราเข้าไปเพิ่ม
สิ่งที่เราสอนสอนจากอะไรบ้าง?
เราสอนจากประสบการณ์ล้วนเลยค่ะ แต่ด้านความรู้เราก็จะสอนพื้นฐานที่มีอยู่ มีพาร์ตที่ใช้ทฤษฎีเรื่องการแสดง ทฤษฎีของอารมณ์ Expression Impression แล้วก็มีวิชาปฏิบัติด้วย ถามว่าแตกต่างจากครูคนอื่นสอนไหม? อันนี้เราไม่แน่ใจ แต่เท่าที่เรียนมามันคือเบสิกจริงๆ มันคือปรับพื้นฐานต้นๆ เลย แต่สำหรับตัวเราแล้วมันอยู่ในAdvance ซึ่งเมื่อเราไปทำBeginning ใหม่อีกรอบหนึ่งกับน้องๆ มันเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะสำหรับป่านการแสดงมันไม่จบไม่สิ้นมันมีการเรียนรู้เพิ่มเติมเรื่อยๆ วิวัฒนาการมันควบคู่ไปกับเทคโนโลยีเลยค่ะ ยิ่งวิวัฒนาการมันพัฒนาไปเรื่อยๆ การแสดงก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เช่นกัน ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นละครเวที แต่เมื่อเราเข้าสู่ยุคดิจิตอล มันมีความกระชับของการถ่ายที่ไม่ใช่ฟิล์มแล้ว การแสดงมันต้องอาศัยความฉับไว วิธีการนี้มาจากประสบการณ์ การทำงานมา 13 ปี เราจะรู้ว่าภาพยนตร์ที่มันถ่ายทำด้วยฟิล์มมันจะมีความช้ายังไง แล้วใช้เทคนิคอะไร มันเป็นการเก็บเกี่ยวกับประสบการณ์ 13 ปีมาสอนน้องๆ ในคลาส อาทิตย์ละ3 ชั่วโมง แบ่งเป็นบรรยาย 1 ชั่วโมง ปฏิบัติ 2 ชั่วโมง
มีคนตั้งข้อสงสัยว่า ตลอดระยะเวลา 13 ปีมานี้บทที่สายป่านรับจะไปทางแรงๆ หนักๆ แบบฟรุ้งฟริ้งนี่จะน้อยมากเพราะอะไร?
เป็นเพราะการเริ่มต้นมากกว่า น่าจะเป็นเรื่องพลอย คาแร็กเตอร์จากเรื่องนั้นทำให้คนติดตา คือ ณ 13 ปีที่แล้วย้อนกลับไป มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหาเด็กผู้หญิงมาเล่นบทนั้นได้ แล้วเราโชคดีมากที่สามารถผ่านการแคสต์หนังเรื่องนั้นแล้วได้เป็นพลอย มันเลยกลายเป็นภาพจำของหลายๆ คนมากกว่า
หลังจากนั้นช่วงแรกๆ มันก็จะมีบทเด็กๆ น่ารักใสๆ ฟรุ้งฟริ้งวัยรุ่นเข้ามาบ้าง แต่คนก็ยังไม่คิดว่าเป็นเรา เขาอาจจะรู้สึกว่ามันธรรมดา มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ มันเกิดความคาดหวังจากคนข้างนอกมากกว่าทั้งที่ตัวเราเองไม่ได้กำหนดความคาดหวังด้านการแสดงขนาดนั้น แค่ว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำ อยากท้าทายกับบทใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ แต่ความคาดหวังทั้งจากคนดู คนทำ คนเขียนบทก็คาดหวังจากตัวป่าน คนเขียนบทเองก็ยังเอาตัวเราเป็น Reference เมื่อเป็นแบบนั้นเขาก็หาคนอื่นมาแทนไม่ได้เพราะเขาเกิดภาพจำไปแล้วตอนเขียนบท แล้วมันก็ยากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเขาดันไปดูงานเก่าเรา จนตอนนี้สเต็ปงานมันก็สูงขึ้นเรื่อย ด้วยวัย 25 เรารู้สึกว่ามันหนักอยู่นะ ที่เราไปสอนน้องๆ เพราะอยากสร้างคนขึ้นมาให้เป็นคนประเภทเดียวกันในการแสดง เผื่อว่าจะได้มีตัวเลือกให้เขา เพราะคิดว่าคนดูก็น่าจะเบื่อเรานะตอนแรกมันอาจจะเซอร์ไพรส์ แต่หลังๆ มามันคือมาตรฐานของสายป่านหรือเปล่าวะ? คือให้ตั้งใจทำสุดๆ หนังสายป่านก็ไม่เซอร์ไพรส์แล้ว ดังนั้นเราต้องสร้างคนใหม่ๆ ขึ้นมามันจะได้มีข้อเปรียบเทียบ
การที่เราเป็น Only one มันทำให้เราไม่มีข้อเปรียบเทียบแล้วเราก็จะไม่รู้จุดด้อยของเราเลย Only one is not the best มันไม่ใช่ดีที่สุดเว้ย แค่เพราะไม่มีข้อเปรียบเทียบ มันทำให้เรากลับมามองตัวเองว่าดีแล้วหรือ? ดีแล้วหรือยัง?
การเป็น The one ในตอนนี้มันเริ่มทำให้เราฝ่อกับการแสดงไหม?
ไม่ฝ่อ แต่มันไม่สนุก มันไม่มีการแข่งขันในทุกอาชีพมันต้องมีการแข่งขัน ไม่ว่าจะทำงานออฟฟิซ ไม่ว่าจะเป็นคนขายของก็ต้องมีคนขายแข่งมันถึงจะพัฒนา แต่เมื่อมีเราคนเดียวจริงๆ มันไม่สนุกเลยล่ะ
คุยกับตัวเองเรื่องนี้บ่อยไหม?
ตอบไปก็ดูห้าวมาก ดูเลี่ยนมาก แต่พูดกับตัวเองบ่อยนะ แล้วคุยกับทุกๆ คน ตอนแรกเราดีใจมากกับการทำงาน 10 ปีที่สะสมมา แต่หลังๆ มันแบบน่าเบื่อ เหงาฉิบหาย
แล้วทำไมไม่ไปโตที่ต่างประเทศ?
มันไม่ง่าย การไประดับสากลได้คือมันต้องไปแล้วต้องพีคเลย คือเราอยู่ในระดับนี้ของประเทศไทยแล้ว (ทำมือยกสูง) ถ้าเราไปเป็นตัวประกอบจะไปทำไมวะ? เราไปในนามของคนไทยนะเว้ย อย่างพี่โทนี่ จา พีคมาก ต้องไปแบบนั้นเลย
เราไม่ได้อีโก้นะแต่ว่าเราค่อนข้างเลือก มันก็มีทีม มีโปรดักชั่นที่เราอยากจะร่วมงานด้วย อย่างตัวเราเคยทำงานชิ้นหนึ่งกับทีมงานเยอรมันแล้วผู้กำกับฯ คนนั้นเขาอารมณ์คล้ายๆ พี่เป็นเอก (เป็นเอก รัตนเรือง) พี่วิศิษฏ์(วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง) แบบนั้นแฮปปี้ อย่างไปเยอรมันตอนนั้นพอหนังเข้าฉายปุ๊บชีวิตเราเปลี่ยนเลย (ภาพยนตร์เรื่อง Same Same But Differentสร้างจากเรื่องจริงของหนุ่มเยอรมันที่หลงรักสาวขายบริการชาวกัมพูชาที่ติดเชื้อ HIVซึ่งรับบทโดยสายป่าน) คนมันรู้จักเราหมด คือเราต้องไปในแบบนั้น แต่ว่าก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองในการลองทำอะไรใหม่ๆ ขออย่างเดียวคือให้มันน่าสนใจจริงๆ มันท้าทาย ถ้ามันไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องของความดัง ก็ขอให้ประสบความสำเร็จในเรื่องบทบาทการแสดง
ไม่มีศิลปินคนไหนอยากวาดรูปเดิมซ้ำกัน 2 รอบ เมื่อมีแรงบันดาลใจใหม่เขาจะวาดรูปใหม่ แต่ไม่มีใครอยากวาดรูปเดิมเพราะมันไม่มีคุณค่า ไม่มาสเตอร์พีซ อย่างแวนโก๊ะก็วาดรูปเดียว ปิกัสโซ่ก็วาดรูปเดียว
บนเส้นทางของคุณซาร่า มาลากุล เลน ที่ออกไปโตที่ฮอลลีวู้ดด้วยการรับบทบาทแรงๆ ก่อน โดยส่วนตัวแล้วสายป่านมองมุมนี้ยังไง ?
โดยส่วนตัวแล้วติดตามแค่งานถ่ายแบบของพี่เขา หนังยังไม่ได้ดู แต่เชื่อว่าเขาก็มีจุดยืนในแบบของเขา ทุกคนบนโลกนี้ไม่มีใครผิดใครถูกเลยในการหาตัวตนหาที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจ มันคืออิสระจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งสิ่งที่พี่ซาร่าทำอยู่ก็คืออาร์ตแขนงหนึ่งเหมือนกัน
แต่ในสังคมไทยอาจจะมองอีกแบบ?
เราต้องเข้าใจก่อนว่าพื้นฐานของเขาไม่ใช่คนที่มีบอดี้ไทย เขาทำอยู่ในไทยมึงซื้อไหมล่ะ นึกออกไหม คนไทยชอบญี่ปุ่นชอบเกาหลี เขาเป็นคนประเภทที่ต้องทำงานต่างประเทศ เราต้องสนับสนุนเขามากกว่าไปวิจารณ์เขา ตัวเองดีหรือยัง คนไทยขาดสติ คือเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ด่านะ คือเราต้องรู้ถึงความเป็นเขาก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์เราต้องรู้ถึงที่มารู้ถึงวิถีชีวิตของเขา ถ้ามึงไม่รู้เรื่องพวกนี้มึงไม่มีสิทธิ์ไปด่าเขาเลย เช่นเดียวกับเวลาคนอื่นมาด่าตัวเองทำไมถึงขึ้น หาว่ารู้จักกูดีพอหรือยัง แล้วคุณล่ะรู้จักเขาดีพอไหมที่ด่าเขา
แล้วเราควรจะไปแนวทางเดียวกันไหมกับคุณซาร่า?
มันยากนะ พี่ซาร่าเขาไม่ได้มีพรสวรรค์อย่างเดียว เขามีดวงด้วย คือต่อให้มีบอดี้ เป็นลูกครึ่งแบบเดียวกับพี่ซาร่าเลยนะ ถ้าไม่มีดวงเขาก็ไปไม่ได้ สมมุติป่านกับพี่เบย์(คนรัก)เราเหมือนกันทุกอย่างเลยแต่เราอยู่คนละทิศ เหนือกับใต้เลย แต่ป่านโชคดีได้รู้จักกับพี่คนหนึ่ง แต่เบย์ไม่มีโอกาสรู้จัก ซึ่งคนคนนั้นอาจมีคนเดียวทั้งที่เรามี 2 คน นึกออกไหม มันเหมือน Mind Map ที่คนคนหนึ่งจะต้องไปเชื่อมโยงกับคนอีกคนหนึ่ง
แสดงว่าเชื่อเรื่อง Destiny?
เชื่อ! เชื่อมาก Destiny มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก พรสวรรค์และดวง ทั้งสองอย่างนี้ที่ทำให้เรามาเป็นอยู่ตรงจุดนี้ Destiny เป็นเรื่องที่สำคัญ โชคชะตากำหนดคนเนี้ยใช่
แล้วเราท้าทายไหม?
ไม่นะ เราปล่อยให้เดินตามทางเลย เพราะเขายังไม่เคยพาไปด้านลบ เป็นทางสว่างตลอดแต่เราไม่ควรนอนตายอยู่บ้านแล้วปล่อยไปตามโชคชะตานะ อันนั้นคือปัญญาอ่อน นั่นคือมึงไม่ต้องเชื่อละ
แต่มันมีบางคนเป็นแบบนั้นจริงๆ?
ติงต๊องมาก คนแม่งจะดีได้มันต้องขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆ อย่าง พรสวรรค์ ความขยัน การพัฒนา เรื่องโชคชะตาเราอาจจะเจอกับมันครั้งเดียวในชีวิตนะ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหยุดอยู่กับที่หรือเดินหน้า ตัวเราเองเป็นคนที่เดินหน้าตลอด จะไม่มีทางย่ำอยู่กับที่เลย เราจะบอกกับทุกคนว่าถ้าหากกำลังเดินไปแล้วมันไม่ดีก็ขอให้หยุดอยู่กับที่ อย่าเดินถอยหลัง แย่ที่สุดคืออยู่กับที่ ดีที่สุดคือเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่เหี้ยที่สุดเลยคือเดินถอยหลัง ถ้าเราไม่เห็นทางเดินข้างหน้าก็อย่าเพิ่งก้าว รอให้มันมั่นคงก่อนแล้วค่อยก้าวไป ก้าวไปเรื่อยๆ อย่าหยุด
ในพันทิปมีคนตั้งกระทู้ว่าทำไมสายป่านไม่ดังเมื่อเทียบกับดารานักแสดงรุ่นเดียวกัน เราอยากจะตอบเขาว่าอะไร ?
ไม่ตอบหรอกค่ะ คนตั้งกระทู้ก็คิดได้แค่นั้นแหละ คือเขาไม่ได้รู้เรื่องระบบภายในของช่อง ของการเซ็นสัญญาการทำงาน แล้วช่อง 3 5 7 เป็นฟรีทีวี แต่หนังเสียตังค์ดู คนที่จะไปดูหนังมันมีน้อยกว่าคนที่รีดผ้าแล้วดูละครทีวีหรือเปล่าวะ?
มีผู้กำกับฯ ท่านไหนที่อยากร่วมงานด้วยอีก?
อยากทำงานกับพี่เป็นเอกซ้ำสองนะ เพราะมันมีความใกล้ที่ห่าง ความใกล้คือความสนิทที่มันมีความห่างคือระยะทางและเวลาที่ค่อนข้างห่างกัน ป่านกับพี่เป็นเอกเปรียบเหมือนระบบสุริยะ ในรอบวงโคจรที่เหมือนจะใกล้แต่แล้วก็เหวี่ยงออกไปในมุมที่ไกล ไม่มีใครต้องรีบนัดเจอกับใคร แต่ถ้าวันหนึ่งจะเจอก็จะเจอกันโดยบังเอิญ เราคลาดกันหลายครั้งมากตามเทศกาลหนังต่างๆ ตอนที่เราไปเทศกาลหนังเบอร์ลินก็เหมือนกัน พี่เป็นเอกไปดูหนังป่านแล้วเขาก็เดินออกมาแล้วเราก็เข้าไป Q & A แต่เราส่งข้อความคุยกันนะ มันคือความใกล้ เราเหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกัน ที่อยู่ใกล้กันจะผลักกัน แล้วคือ 13 ปีเราทำงานครั้งแรกกับเขารอบเดียว ถามว่าติดใจวิธีคิดเรื่องอะไรของพี่เป็นเอก? คงไม่ใช่เรื่องวิธีคิดนะ แต่เป็นเรื่องที่เขาสนุก มันโคตรเลย แค่พูดก็สนุกแล้ว
เหมือนโค้ชทีมฟุตบอลที่ค่อยต่อเติมศักยภาพเราอะไรทำนองนั้นไหม?
ไม่เหมือน เหมือนคนขายเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็งแถวบ้าน ไปนั่งเมื่อไหร่ก็ได้ อยากเจอเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างที่บอกเราเหมือนวงโคจรที่คลาดกัน แต่เวลาเจอเขามันก็อบอุ่นเหมือนไปนั่งร้านกาแฟโบราณหรือร้านขายเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็ง
แล้วกับนักแสดงด้วยกันอยากปะทะบทกับใคร?
ใครก็ได้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องสนุกถ้าได้เจอคนใหม่ๆ ส่วนคนที่เจอแล้วคิดว่าเขาเกิดมาเป็นนักแสดงก็คือเบสท์ณัฐสิทธิ์ (ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์) เราเจอกันในหนังอวสานโลกสวย เขาเล่นเป็นโอตาคุโรคจิต แล้วเราเล่นเป็นเกรซแม่งเข้าขากันมากกลายเป็นคนเลวเป็นฆาตกรที่แบบ…สนุกค่ะ มันไปไกลแบบที่คนในกองควบคุมไม่ได้อ่ะ เฮ้ย! มึงจับมือกูมาถึงจุดนี้ได้ยังไง มันพูดต่อหน้าน้ำลายกระเด็นใส่จมูกกันได้ ดีอ่ะ!
อยากฝากอะไรถึงแฟนคลับสายป่าน ?
ไม่อยากฝากอะไรเลยค่ะ แค่อยู่มาด้วยกันทุกวันนี้มันก็ดีที่สุดแล้วในชีวิต ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยมีมีตแอนด์กรี๊ด ไม่มีอะไรเลย แต่ว่ามันมีการต้อนรับที่เรารู้สึกได้ จำนวนฟอลโลว์ก็ไม่ได้เยอะเลย 4 แสนนิดๆ แต่คนพวกนี้เขาเลือกเราเพราะเขาชอบเราจริงๆ คือคนคุณภาพที่เราเก็บไว้ได้ เราสามารถคุยกับเขาอย่างที่เป็นตัวตนเราเลย ลงรูปอะไรก็ได้ ลงรูปเรากับแฟนทุเรศๆ ก็ได้ ลงรูปเพื่อนก็ได้ เขาคือคนคุณภาพ 4 แสนคนสำหรับเรา เขาให้เราเป็นคนที่ใช่กับเขาก่อน นึกออกไหม? เขาให้โอกาสเราก่อนในการเปิดเผยและไม่เขินอายในการเป็นตัวเอง จนกระทั่งมันเยอะมากขนาดนี้ เรามั่นใจว่าเมื่อเราลงรูปอะไรไปเราไม่จำเป็นต้องคิดเยอะ ไม่ต้องสร้างภาพ
คือทุกวันนี้เราเห็นการสร้างภาพในไอจีในเฟซเยอะ มันคือการแอ๊บ การแต่ง ความเฟก ความหลอกลวง ส่วนเราจะลงรูปอะไรก็ได้ ไม่มีว่าจะลงรูปหน้าสดใสสวัสดีค่ะไม่มี คุณดูไปเลยวิวทิวทัศน์ พาโนราม่า ห่าเหวอะไรไม่รู้ แต่ก็มีคนมากดไลค์ คุณนึกออกป่ะ มีคนมาชอบ ชอบในที่ที่เราไป ชอบในกิจกรรมที่เราทำ อันนี้คือของจริงที่สุดแล้ว มันมีคุณค่ามากเลยนะในการเป็นตัวของตัวเอง เราถึงได้บอกว่าการที่เราเข้มแข็งหรือไม่เข้มแข็งนั้น มันมีคนรอบข้างซัพพอร์ตให้ แต่จุดยืนเราต้องมองให้ชัดว่าปลายนิ้วโป้งตีนเรายืนอยู่จุดไหน ลองก้มลงไปมอง แล้วยืนให้มั่นอย่าเซอย่าล้ม ก่อนก้าวต้องหาจุดที่มั่นคงเหมือนที่ที่เรายืนอยู่ ถ้าก้าวไปแล้วล้มอย่าเสี่ยง ถ้าวันนั้นคุณล้ม คุณไม่มีใครก็ยังมีคนที่บ้าน หรืออย่างน้อยก็เหลือตัวเอง
มีวันหนึ่งเราคิดว่าทำไมเหลือเงินแค่นี้เอง แต่ออกไปนอกบ้านเจอขอทานนอนบนลังกระดาษ เรามองตรงไปที่เขาแล้วรู้สึกว่าเออ! เรากลับมาบ้านยังมีห้อง มีที่นอน มีแอร์ให้เปิดนอนสบายๆ นะ ถ้าคิดว่าลำบากไม่เหลือใคร ให้มองคนที่แย่กว่าเรา
เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์