12 Track แหวกชีวิต 'แดน-วรเวช'


Introduce

เรามาตกลงกันก่อน
สมมติว่าวันนี้คุณตื่นสาย แดดเช้าส่องผ่านหยาดน้ำค้างสะท้อนใบหูกวางต้นใหญ่หน้าบ้าน คุณหาววอดแล้วบิดขี้เกียจบนเตียงอุ่น ใช่แล้ว คุณนึก วันนี้วันหยุดปลายสัปดาห์ คุณลุกจากเตียงไปที่หน้าต่างไม้ที่ติดสวนหลังบ้าน ท้องฟ้าครามสดใส อากาศปรอดโปร่ง ลมหนาวพัดม่านที่หน้าต่างปลิ้วเป็นสาย คุณรู้สึกถึงไอเย็นที่พัดต้องโพรงจมูก คุณยิ้มแล้วเดินไปหยิบเสื้อไหมพรมมาสวม กรุ่นไข่เจียวและข้าวหอมมะลิในหม้อที่แม่เพิ่งหุงเสร็จโชยมา คุณเดินเข้าไปในห้องครัว เสียงคนช้อนดังกรุ้งกริ้งในแก้วกาแฟ เติมน้ำตาลน้อยหน่อยดีกว่า เพราะช่วงนี้คนรักชอบแซวบ่อยๆ ว่า เจ้าหมูอ้วน
ตามทันไหม ต่อนะ ตอนนี้คุณกำลังอารมณ์ดี เสียงดนตรีเบาๆ สานทำนองหวานดังขึ้นในใจ คุณนึกถึงใครบางคน คนสำคัญในช่วงชีวิตที่ผ่านมา คุณหยิบกล่องลังใบเก่าใต้เตียงนอน ปัดฝุ่นคลุ้งนิดหน่อย ในกล่องใบนั้นล้วนแต่เก็บความทรงจำดีๆ ไทม์แคปซูลมีบางสิ่งที่คุณคิดถึง เพลงรักเพลงหนึ่ง
คุณหยิบวัตถุอย่างหนึ่งขึ้นมา กล่องพลาสติกใสใหญ่เท่าฝ่ามือ คลับคล้ายคับคลา บลิมันออกมา ปรากฏม้วนตลับเทปเพลงเก่า โชคดีที่เครื่องเล่นยังมีช่องให้ยัดมันเข้าไปได้ คุณกรอไปต้นม้วน กดเล่นเพลง รอฟังเสียงจากลำโพง หันกลับดูที่ภาชนะบรรจุ น่าเสียดาย ปกหายไปไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ บนตลับเทปมีอักขระสามตัวเด่นชัด
D2B

บอยแบรนด์เสียงใส เต้นกระจาย หนุ่มหน้ามนสามคนที่สาวเคยกรี๊ด หนุ่มเทียมฝันถึง และหนุ่มแท้หมั่นใส้ นับนิ้วได้ 10 ปีแล้วที่เราได้พบกับสมาชิกวงนี้ แม้หนึ่งในนั้นต้องหยุดหายใจไปถาวรเพราะอุบัติเหตุเหนือคาดหมาย ยังเหลือสองหนุ่มที่ยังได้เห็นได้ยินและเติบโตมาพร้อมกับเรา โดยเฉพาะ แดน ดีทูบี หรือชื่อตามใบขับขี่ วรเวช ดานุวงศ์ ที่มีผลงานมากมาย หลากหลายในวงการบันเทิง มาดลุคหนุ่มชิลล์มีสไตล์ยังคงภาพลักษณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่ภายในเปลี่ยนแปลงแน่นอน ลองฟังดู

Track # 1 ที่ผ่านมาเรียกว่าอะไร

“มันจะเป็นโชครึเปล่า ไม่รู้นะ ผมเข้าวงการตั้งแต่อายุ 17 ประกวดร้องเพลง แล้วก็ได้รางวัลมา ผมรู้สึกว่าตัวเองทำมันได้ดี เราเลือกเองทุกอย่าง แล้วได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวอีกทีนึง ทุกสิ่งในชีวิตมันเกิดจากการที่เราคิดขึ้นมาว่า เราอยากจะทำ อยากจะเป็น คุยกับที่บ้านเราก็ได้รับแรงสนับสนุนที่ดีมาตลอด ลูกอยากจะทำอะไรก็ทำถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือว่าเดือดร้อนใคร บางทีก็เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ผมว่าคนที่ควรจะเชื่อเรา สร้างแรงให้เราก่อนก็คือคนในครอบครัว อย่างผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ยิ่งสมัยก่อนเปอร์เซนต์ที่จะได้ทำงานเพลงหรืออะไรอย่างนี้มันแทบไม่มีเลยอยู่แล้วคนแถวบ้านไม่มีใครเชื่ออยู่แล้วว่าจะทำได้ มันจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจชั้นดี แต่สิ่งที่จะมาสู้กับมันได้ก็คือความเชื่อของคนในครอบครัวเรา ที่เชื่อในตัวเราว่าเฮ้ย ทำได้ทำไปเหอะลูกเต็มที่ แค่นี้แหละผมพอแล้ว และก็เป็นแบบนี้มาตลอด งานแต่ละชิ้น จะทำหนัง ทำละคร มันเกิดจากความเชื่อของคนในบ้านว่า ลูกทำได้ ลูกทำไปเถอะ
การตื่นตัวของเด็กต่างจังหวัดกับเพลงมันเหมือนกับเด็กในกรุงเทพเนี่ยแหละครับ ก็เป็นกลุ่มๆ ไปเพียงแต่ว่าสิ่งที่จะทำมันอาจจะน้อยกว่ากรุงเทพ กรุงเทพมันยังมีห้างให้เดิน มีโรงหนังเจ๋งๆ ให้ดู มีสวน ร้านอาหาร มีไรมากมายที่ไปทำ แต่ว่าบ้านผมสุพรรณฯ มันจะมีไม่กี่อย่างหรอก เรียนหนังสือเสร็จ เตะฟุตบอล ใครไม่เตะบอลก็ซ้อมดนตรี ไม่มีไรทำก็อยู่ตรงนั้น เสียแต่ว่าขาหัก ไม่งั้นติดชีมชาติไปแล้ว (หัวเราะ) ห้างก็ไม่มีให้เดิน ไม่ก็ขับมอไซต์เลย ชีวิตเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ตอนอยู่บ้านนอก เปลี่ยนเลยล่ะ เข้ามาเรียนกรุงเทพ”

Track # 2 ซ่าส์…(สั่นๆ)

“ผมมาเรียนกรุงเทพก็ใช้ชีวิตปกติแล้วก็เดินนู้นเดินนี้ เดินห้างก็เจอคนเข้ามาพูดคุย ทำให้ผมรู้ว่าก็มีการประกวด เลยประกวดดูสนุกๆ ภาพลักษณ์ที่ออกมาจากตอนเป็นเด็กอายุ18 มาเป็นD2B มันไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลย จะต้องเป็นเพลงแนวนี้ แทบไม่ค่อยรู้จักคำว่าบอยแบรนด์ว่ามันต้องทำยังไง อ่อ เห็นพี่บิ๊ก พี่บีม รู้แค่ว่าต้องร้องเพลงกับพี่ๆ อีกสองคน หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูเบลอๆ ไปหมดเหมือนผมไม่ต้องคิดอะไรมีคนจูงมือไปตลอด ในตอนนั้นมันก็รู้สึกสนุกดีนะ เพราะเราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวงการเลยว่ามันต้องทำอะไรบ้าง เบลอมาก แต่รู้อย่างเดียวว่ามันลอยๆ เหมือนตัวลอยได้
วันนี้ วันพรุ่งนี้ วันต่อไป บริษัทจะให้ทำอะไรต่อไป ใครจะมารับที่บ้าน รถตู้จะมารับกี่โมง รู้แค่นี้ แต่ร้องเพลงอะไร นอนโรงแรมไหน ตอนนั้นคือเราไม่รู้เรื่องจริงๆ พอเราไม่รู้เรื่องจริงๆเราก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความรู้ใดๆ ออกไป มันคือการเก็บเกี่ยวมากกว่า ตอนนั้นแค่คิดว่า เรื่องบางเรื่องถ้าเราไม่รู้เราก็ควรอยู่เฉยๆ ซึ่งวันนั้นผมก็ทำตัวอย่างนั้นจริงๆ ผมก็อยู่เฉยๆ โดยที่ผมไม่ได้แสดงว่าผมอยากรู้ หรืออยากได้อะไร สิ่งที่ผมไม่ชอบผมก็แค่บอกเค้าว่า ดูสีเยอะจังเลย เท่านั้นเอง” (หัวเราะ)

Track # 3 นายเจ็บ ฉันเจ็บ

“ตอนหลังที่เกิดเรื่อง คิดว่ากลับไปเรียนหนังสือดีกว่า พี่บีมก็เหมือนกันกลับไปเรียน ผมว่าแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง ทำให้เราได้คิดว่าชีวิตมันไม่แน่นอน เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง วันนั้นยังมีโปรเจ็คอะไรหลายๆ อย่างที่จะต้องทำ แล้วก็นิ่ง หยุดลงทุกอย่าง เหตุการณ์ครั้งนั้น มันทำให้ผมโตขึ้น การถอยออกมาอยู่กับตัวเองมามองผู้คน มันเหมือนหลุดอกมาจากโลกลอยๆ นั้นคือโลกอะไรก็ไม่รู้และเข้าสู่โลกความจริง คนเราอยู่ได้ด้วยอะไร สุดท้ายคนเราอยู่ได้ด้วยสติ อยู่ได้ด้วยตัวเองเป็นหลักก่อน
คือเราจะยึดคนอื่นไว้ตลอดชีวิตไม่ได้ มันต้องเริ่มที่ตัวเรา สุดท้ายมันก็กลับมาเหมือนเดิมมันก็กลับมาวันที่ตอนที่อายุ14 15 16 ก่อนที่จะเข้าวงการตอนที่เราเริ่มต้นมันมากจากตัวเองก่อนอยากทำอะไรอยากเป็นอะไร อยากอยู่ตรงไหนทุกอย่างมันกลับมา กลับมาเป็นความเป็นตัวเองมุมมองความคิดมันกลับคืนมาหลังจากที่ปล่อยสมองให้โล่งไม่คิดอะไรมาหลายปี”

Track # 4 ทำตัวดีๆนะ

“ก่อนที่เข้าไปอยู่โซนี่ ก็มีการพูดคุยกันอยู่หลายๆ ที่ แล้วเราก็เลือกที่เรารู้สึกว่าน่าจะเป็นแนวทางในการทำงานของเราไม่เกี่ยวกับเรื่องตัวเงินใดๆ ทั้งสิ้นแน่นอนครับ ไม่มีเงื่อนไขอะไรมากมาย แต่เค้าดูแลผมในเรื่องเพลงอย่างเดียว นอกนั้นผมต้องดูแลตัวเอง เรื่องของการแสดงจะไปทำเบื้องหลัง ทำเบื้องหน้าอย่างอื่นก็เป็นสิทธิ์ของเรา
เมื่อก่อนผมเป็นคนคิดนอกกรอบ แต่เดี๋ยวนี้หลุดออกมาน้อยมาก คือผมจะไม่หลุดกรอบมากเพราะว่าผมเชื่อว่าสุดท้ายมาตรฐานใดๆ ที่ถูกสร้างไว้ คำว่ามาตรฐานมันก็คือมาตรฐาน เราแค่แล๊บมากกว่า คือไม่ได้กระเจิงออกแต่ว่ามีกรอบแต่แล๊บๆออกมา มันทิ่มๆ ออกมาในบางส่วนที่เราขยายแล้วมันจะมันส์ขึ้น โดยเฉพาะงานบันเทิงของผม คือผมทำงานให้คนมีความสุข วงการบันเทิงคือทำให้คนรู้สึกบันเทิง ถ้าเราหลุดกรอบมาก เราไม่รู้ว่าการนอกกรอบมันจะทำให้คนงงหรือป่าว เหมือนหนังอินดี้บางเรื่องที่มันนอกกรอบสุดๆ มันก็อาจจะสร้างความสุขให้คนน้อยกลุ่มลงแค่ส่วนหนึ่งในความคิดของผม จริงๆ ผมเป็นคนค่อนข้างMASSนะ แต่ว่าแค่เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทำอะไรที่มันเดิมๆ เกินไป อยากแตกต่างบ้างเท่านั้นเอง”

Track # 5 ใช่มาก..อารมณ์นี้

“ผมไม่ชอบทำงานประจำเอามากๆ มันทำให้ผมหมดไฟ ไฟเรามอด เพราะฉะนั้นอัลบั้มผมจะไม่บอกหรอกว่าจะเปลี่ยนแนวไปตลอดทุกๆ อัลบั้มแต่ผมแค่จะไม่ทำอะไรที่ติดๆ กัน เช่น เมื่อผมทำอัลบั้มแล้วก็ต้องเว้นวรรคไปทำละคร เล่นละครเสร็จก็ต้องเว้นไปเล่นหนัง เล่นหนังผมขอรูเล็กๆ ในการกำกับมิวสิควิดีโอ ผมขอรูเล็กๆ ในการเขียนหนังสือ ผมขออีกรูในการทำรายการ คือมันทำให้ชีวิตรู้สึกว่าเรากำหนดมันด้วยตัวเอง เมื่อเรามีไฟพอที่จะทำอะไรและเราก็ทำมันให้เต็มที่และดีที่สุด เพราะยังไงผมก็เชื่อว่าคนที่ทำงานโดยที่ไม่มีไฟ งานชิ้นนั้นมันจะออกมาไม่สุด จากร้อยจะเหลือสักหกสิบ และเราเองที่จะเป็นคนเสียใจกับงานเรา มันทำร้ายตัวเอง ถ้าวันไหนผมรู้สึกนิ่งกับสิ่งนี้ ผมจะพักไว้ก่อน ไปทำอย่างอื่นก่อนแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ ทำอะไรไม่เต็มที่มันไม่ดีทั้งกับตัวเรา ซึ่งเราก็ไม่ซื่อสัตย์กับชิ้นงานของเราเอง ไม่ซื่อสัตย์กับแฟนๆ ของเรามันก็ไม่ดีกับแฟนที่เค้าตั้งใจเต็มที่ที่จะสนับสนุนเรา ดูเรา รวมไปถึงนายทุนที่ลงทุนในเรื่องเพลง เรื่องของหนัง ละคร
วงการบันเทิงถ้าเรารู้จักใช้มันให้ถูกต้อง มันเป็นที่ๆ เราจะทำให้ประเทศนี้มีความสุข มีควาสงบ ไปในทิศทางที่ดีได้ทั้งในวงการเพลง ละคร หนัง แม้แต่รายการทีวี เพราะมันสามารถบอกทุกอย่างได้ ชี้นำทุกอย่างได้ เขียนงานเพลงมุมมองดีๆ มันก็ทำให้คนมีกำลังใจ เหมือนกับช่วงน้ำท่วมจะชอบทำเอ็มวีหรือว่าแต่งเพลงมาก็ยังคงทำอยู่ นั้นหมายความว่ามันก็คงจะต้องช่วยสร้างกำลังใจให้กับใครบ้างคนได้
พอมันเป็นสิ่งดีๆ แล้วเนี่ย ผมรู้สึกว่า ผมอยู่ตรงนี้แหละดีที่สุดแล้ว เราทำเองและพอกระแสตอบรับมันดีเห็นเค้ายิ้มเห็นเค้ามีความสุข มีคนหัวเราะในโรงหนังเราก็มีความสุขกลับคืนมา มันได้แชร์กันครึ่งต่อครึ่ง เพราะฉะนั้นงานผมแต่ละอย่าง ถ้าไปดูย้อนหลัง หรือว่าดูต่อจากนี้ไปนิดนึง ผมพยายามจะถ่ายทอดไปทางด้านบวกซะเยอะ ไม่ค่อยทำได้ลบ ถ้าด้านลบแสดงว่ามันต้องสอดแทรกอะไรบางอย่างทีอยากจะบอกผู้คน”

Track # 6 ตามหาหัวใจ

“ผมชอบทุกอย่าง ผมเป็นคนชอบคิด พอคิดแล้วได้ทำมันก็สนุก ทำละครมันก็สนุกดี ทำหนังก็สนุกดี ทำเพลงก็สนุก แต่อย่างที่บอกแหละ ผมทำต่อกันไม่ได้ ทำอัลบั้มแล้วผมก็ควรจะเว้นไปทำอย่างอื่น สิ่งที่เป็นตัวไดเร็กเราให้ทำคือ ความมันส์ ความท้าทาย การแข่งกับตัวเอง ทำได้ป่าววะ อยากเห็นรอยยิ้มคน อยากเห็นการตอบรับของคนว่าเพลงที่เราทำนั้นมันโอเคไม๊ ผมเป็นคนไม่ได้เล่นเกมส์ ผมไม่ใช่เด็กเล่นเกมส์ในเครื่องเอ็กซ์บอกซ์หรือเพลย์สเตชั่น3 แต่เกมส์ของผมมันคืออันนี้ครับ การผ่านด่านมิชชั่นต่างๆ ของตัวเอง มันจะค่อยๆ ตั้งแต่ละคำถามแต่ละเป้าหมาย แต่ละด่านให้ตัวเองว่า เช่น วันนึงอยากเป็นนักบอลแล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อที่จะเป็นนักบอลให้ได้เพื่อจะติดทีมชาติ แล้วมันก็ประสบอุบัติเหตุที่ขา ที่ไม่สามารถแตะบอลได้อีกนั้นหมายความว่า เกมส์โอเวอร์เราต้องเปลี่ยนเกมส์เล่น
เป้าหมายต่อไปคืออยากเป็นนักร้อง ผมก็ทำทุกวิถีทางผ่านด่านนู้นผ่านด่านนี้ก็เคลียร์ไปหนึ่งมิชชั่น สำหรับเกมส์บันเทิงนี้ เป็นนักร้องก็อยากแต่งเพลง การแต่งเพลงก็มีอุปสรรคมากมายคือคำว่าแดนเนี่ย สิ่งที่ได้มาไม่เคยมีอันไหนได้มาง่ายๆ มันคือการขอร้องเค้า เชื่อผมเถอะ ผมทำได้ ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อหรอกครับ พอไม่เชื่อก็แหกคอกไป ไม่ให้ทำก็ทำ งานบางงานก็ไม่ออกชื่อ เพลงโฆษณาสมัยก่อนผมแต่งเพลงก็ไม่ใช้ชื่อตัวเอง ผมแค่ผมรู้สึกว่าผมอยากทำ พอออกทีวีได้ เค้าก็ซื้อคนอื่นก็ซื้อ ก็มีบางคนที่ไม่เชื่อว่าผมทำได้ แล้วมันก็ผ่านไป แต่งเพลงเสร็จอยากเป็นโปรดิวเซอร์ ก็ผ่านด่าน ทุกอย่างมันเคลีย์ มันก็เหมือนกับไปเรื่อยๆ ตอนนี้มันก็ใกล้จะถึงบอสแล้ว ตอนนี้กำลังจะทำหนังครับ ถ่ายเดือนกุมภาพันธ์นี้ครับมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยหนังเกี่ยวกับโรแมนติกคอมมาดี้”

*โชคร้ายที่เส้นเสียงในเทปเกิดอาการไม่ค่อยดี ยืดๆ ย้วยๆ คุณพลาดโอกาสฟังอีกหลายเพลงในอัลบั้ม คุณเอาเทปไปชุบน้ำ ใส่ตู้เย็น เป่าพัดลม ทุกวิธีการที่นึกออก คุณลุ้นอยู่ว่าจะฟังได้เหมือนเดิมไหม เปิดมาดูอีกที เพลงหายไปเยอะ

Track # 11 ต่อหน้าฉัน…(เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร)

“ผมได้ผ่านการสำรวจมาแล้วว่าคนเรามีอยู่สองประเภทคือ คนที่นั่งอยู่เฉยๆ ก็มีคนบอกวว่าคุณอยากทำงานนี้ไม๊ ลองดูทำดูกับคนประเภทหนึ่งที่เดินเข้าไปแล้วบอกว่า พี่ครับผมขอทำงานชิ้นนี้ได้ไม๊ เฮ้ยคุณจะทำได้หรอ ทำได้จริงป่าว อย่าเพิ่งเลย ทำอันเก่าไปก่อน ซึ่งผมเป็นประเภทหลัง ไม่เคยมีชิ้นไหนที่เดินเข้าไปแล้วว่า เอ้อ เอาดิ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีครับ มันทำให้ตัวเราแข็งแกร่ง แล้วมันทำให้เรามีกระบวนการคิดเยอะ หมายถึงว่า ถ้าคนที่ทำอะไรแล้วมันได้มาง่ายๆ หรือว่าอยู่เฉยๆ แล้วคนอื่นมาทำให้ เค้าจะไม่คิดใดๆ เลยไม่ได้มีเวลาทบทวนชิ้นงานของตัวเอง สมมุติว่า คุณอยากทำรายการรายการหนึ่งมากก็ต้องเอาไปเสนอผู้ใหญ่ทางช่อง ถ้าคุณเป็นคนที่ได้อะไรมาง่ายๆ คุณก็จะติดนิสัย ทำมันเหอะทำมั่วๆ แล้วเดี๋ยวไปยื่นเอง นี้ครับงานผมอยากได้รายการเวลาประมาณนี้ แล้วรายการคุณเป็นแบบไหนคือเราไม่ได้เตรียมถามใดๆ ว่าจะตอบแบบไหน หรือรายการคุณดีจริงหรือเปล่า
แต่ของผมมันโชคดีตรงที่พออยากจะทำรายการชิ้นหนึ่งก็ต้องมาทบทวนว่ารายการเราดียังไงวะ เพื่อไปตอบคำได้ว่า มันดียังไง หรือมันมีข้อดีตรงไหน บางอันผมคิดมาสนุกๆ พอผมมานั่งทบทวน รายการโคตรห่วยเลย ถ้าวันนึงผมจะเป็นหัวหน้าคน ผมก็จะเข้าใจลูกน้องมากๆ คนในบริษัทไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกแต่เป็นคนที่ตั้งใจ ขยัน มีความสุขที่จะทำในชิ้นงาน มีไอเดียมาเสนอ ต่อให้เป็นไอเดียแบบงงๆ คือคิดได้ยังไงวะเนี่ย มันเชยมาก แต่ผมชอบนะ คิดมาเหอะ เพราะว่าผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมสามารถดึงมุมอะไรหรือคำพูดอะไรบางอย่างของคน ผมเชื่อว่าทุกคนอะจะมีไอเดียหลุดออกมาจากคำพูดหรือแนวความคิดเหล่านั้น บางทีเราจะไม่ได้จากโต๊ะทำงานโต๊ะประชุมแต่เราจะได้จากการนั่งกินข้าว คือประชุมเสร็จไม่ได้อะไรจากคนนี้เลย ไปกินข้าวกับมันพอกินข้าวแล้วมันเล่าเรื่องมันไปเที่ยวผับเมื่อคืน ผมได้จากมันอันนี้ผมเองก็จะไม่ว่าใครห่วยแตก คุณแม่งแย่ว่ะ คือรู้กันคนละเรื่อง ผมเองก็ไม่ชอบให้ใครมาว่า ว่าผมห่วย เพื่อนผมห่วย พ่อแม่ผมไม่ดีหรืออะไรก็ตามเราก็จะไม่ชอบ และผมก็เชื่อว่าคนที่เก่งที่สุดในประเทศหรือในโลกเค้าก็ไม่รู้ทุกเรื่องผมว่าบิวแกทเองก็ไม่สามารถสร้างตึก ไม่สามารถก่ออิฐได้หรอก”

Track # 12 ไม่มีเธอวันนั้น…ไม่มีฉันวันนี้

“พยายามทำตัวเองให้มีเวลาพักเยอะขึ้น ปีที่แล้วเวลาพักผ่อนมันอาจไม่ค่อยมี แต่ปีนี้ตั้งใจว่าจะเลือกทำงานเป็นจ๊อบๆ ไม่ทำงานทีละหลายๆ อย่างรวมกัน ทำงานนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเริ่มทำงานอีกชิ้นหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในสังกัดของ Sony Music ทำงานมาประมาณ 3 ปี ได้แล้วตั้งแต่ตอนเป็นอัลบั้มเดี่ยว เป็นอัลบั้มที่แตกต่างจาก D2B คือค่อยๆ คิด รวบรวมสมาธิตัวเอง เราอยากร้องเพลงแนวไหนชอบเพลงอะไรค่อยๆ เริ่มทำไป ไม่มีกรอบของแนวเพลง คือเพลงนี้อยากทำแบบนี้ก็ทำ อยากทำแบบไหนก็ทำ ไม่ได้วางโครงที่ชัดเจน แค่อยากทำในสิ่งที่อยากทำให้สุดก่อน ทำแล้วทำอีก จนได้อันนี้แหละ สนุกดี คิดนะว่ามันอาจจะยากไปจากแฟนกลุ่มเดิมรึป่าว แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้ยากจนเค้าฟังไม่ได้
ก้าวเดินไปเรื่อย ในวงการผมไม่ได้อยู่ในที่เดิมๆ เช่นแนวเพลงผมก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ งานผมก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เล่นหนัง เล่นละคร ละครก็มีแนวนู้นแนวนี้ หนังก็เปลี่ยนแนวไป กลับไปทำงานเบื้องหลังบ้าง ทำเอ็มวี ทำละครบ้าง มันมีการก้าวเดินเพราะฉะนั้นกลุ่มของคนที่ตามงานก็จะเปลี่ยนไปตามชิ้นงาน เช่นคนที่ชอบ D2B วันนึงที่แนวเพลงผมเปลี่ยนหรือลุคอะไรบางอย่างเปลี่ยน แต่เค้าก็อาจจะยังชอบศิลปินที่เป็นบอยแบนด์อยู่ เค้าก็อาจเลือกไปชอบอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเป็นบอยแบนด์ ของผมก็พอทำออกมาอีกแนวนึง ก็จะมีบางกลุ่มที่จะรู้สึกโอเค ที่เห็นชัดๆ คงจะเป็นผู้ชายเยอะขึ้น บางคนก็อาจจะชอบเราจากงานละคร พอชอบละครก็ตามเพลงด้วย คนชอบดูเราจากการเล่นหนังเรื่องนี้ก็ตามเพลงมาฟัง อยู่เบื้องหน้า เบื้องหลัง สลับกันไป
เพราะว่าผมเองก็ลองหาตัวเองมาเรื่อยๆ คนเราไม่เจอกับตัวเองทีเดียวหรอก มันถึงมีการเปลี่ยนงานเรื่อยๆ ไง จนวันนึงเจองานที่มันใช่สุด เฮ้ย อันนี้แม่งอยู่แล้วมีความสุข นั่งเฉยๆแล้วก็คิดออก ถ้าวันนึงเราคิดอะไรไม่ออกเราอยากจะนั่งเล่นแต่เฟสบุ๊ค เมื่อไหร่จะห้าโมงเย็น อยากจะออกแล้วว่ะไม่ไหวแล้ว นั้นแสดงว่าไม่ใช่งานของคุณ คุณเตรียมย้ายงานได้เลย ไปหางานอื่นทำเหอะ งานที่คุณทำแล้วเวิร์ค คือมันต้องอยากตื่นออกไปทำงานทุกเช้า อยากคิด หมดเวลางาน นั่งกินข้าวอยู่ๆ ก็คิดออกต้องหยิบสมุดออกมาจดไอ้นี้แหละผมว่าคือคุณ”

Outro

เส้นเสียงหมุนไปจนสุดม้วน ปุ่มบนเครื่องเล่นเด้งขึ้นมา ตลับเทปดีดตัวอัตโนมัติ คุณหยิบมันมาใส่ไว้ในภาชนะเดิม กล่องลังยัดแน่นที่ใต้เตียง คุณหยิบรีโมทขึ้นมา กดไปช่องฟรีทีวี แดน D2B กับ แดน วรเวช ในปัจจุบันหน้าตาไม่เปลี่ยนไปจากเดิมนัก แต่ภายในเปลี่ยนไปอย่างมากแน่นอน


No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE