“เราไม่ได้เลือกจะอยู่ในความมืดแต่เราดันดีดตัวออกมาไม่ได้ มันก็เลยจมอยู่กับสิ่งนั้นนาน เท่านั้นเอง” เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร
แม้เจ้าตัวจะออกปากถ่อมตนว่าไม่ใช่ผู้เจนจบเรื่องราว “โศกนาฏกรรม” ชีวิตหรือความรัก เขาเพียงเล่ามันออกมาจากความรู้สึกเท่านั้น แต่ “อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร” หรือ “เล็ก-Greasy cafe” กลับได้รับการยอมรับและกล่าวขวัญจากเหล่าคนฟังเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาคือ “กวี” ผู้สันสร้างเรื่องราวภายใต้เสียงเพลง ได้คม-ลึกทุกห้วงอณูห้องหัวใจโดยแท้จริง…
ในความคิดของคนจำนวนหนึ่ง “เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร” ไม่ใช่เพียงศิลปินหรือนักร้อง แต่ “เขา” เป็นดังมวลสารที่ขับกล่อมลมหายใจเข้า-ออกร่วมกัน และกุมมือนั่งเคียงข้างด้วยทำนองแห่งบทกวีบาทนี้
เรื่องเล่าจากคนคนหนึ่ง
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ฟังบทเพลง “กรีซซี่ คาเฟ่” สิ่งที่จะรับรู้ได้ในทันที คือในทุกท่วงทำนองทุกอักขระประโยค “คำ” แต่ละ “คำ” ล้วนมีนัยและแง่มุมปรัชญาชีวิตลอยล่องอยู่ในนภากาศใต้บทกวีเพลงอยู่เสมอ
“ไม่หรอก เราว่า มันเป็นเพราะเราผ่านเรื่องนี้มาแล้ว แล้วเรามาเล่า เผอิญคนที่รู้สึกแบบนั้นเพราะว่า เรื่องนี้มันพึ่งเกิดกับเขา พอเขามาได้ยินเราพูด เขาอาจจะได้รับคำตอบในมุมแบบของเรา”
“เราแค่ตั้งคำถามกับตัวเอง” เล็กเปรย ก่อนบอกต่อว่า ทั้งหมดทั้งมวลของเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงแห่ง “กวี” ที่ใครยกย่องนั้น เป็นเพียงการตั้งคำถามกับตัวเองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และเขาเพียงเล่ามันออกมาจากความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์เท่านั้น
“ก่อนอื่นเลย ถ้าเกิดว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่เราสงสัยเกิดขึ้น เราก็แค่ตั้งคำถามกับตัวเอง เราไม่ได้ตั้งคำถามกับสังคม มันคือการตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นหรือที่คิดมันจริงหรือเปล่า แล้วเราก็เล่าออกมาจากความรู้สึก”
“ในความรู้สึกของเรา เราว่าคนเราควรซื่อสัตย์ในสิ่งที่ทำ อย่างเราเป็นคนเขียนเพลง เรื่องที่จะเล่ามันก็ต้องเป็นสิ่งที่เรารู้สึกก่อน ไม่อย่างนั้นจะร้องอย่างไร ถ้าขณะร้องแล้วเรารู้สึกแสดงว่าตอนที่เขียนเราก็รู้สึก เจ็บเราก็รู้สึกว่าเจ็บจริงๆ พอเรารู้สึกเราก็อธิบายให้มันออกมาได้ว่าเราเจ็บมากขนาดไหนในตอนนั้น คนจะดูรู้ว่าเราพูดความจริง เราเจอมาจริง” เล็ก ยกตัวอย่างให้ฟังอีกว่า
“อย่างเพลง 'อาณาเขต' มันไม่ได้เป็นการตั้งคำถามกับสังคมแบบว่า สังคมตอบเราหน่อย ว่ามันเป็นอย่างไร แต่นั้นคือสิ่งที่เรารู้สึก คนเราในตอนนี้มีเพื่อนในชีวิตจริงน้อยลง แต่มีเพื่อนในโซเชียลเน็ตเวิร์ค เยอะมากขึ้น ซึ่งมันเป็นความจริงที่จับต้องได้หรือ
“สมมุติว่ามีคนมาคอมเม้นท์ว่า 'โครตคิดถึงเลย' มันจริงเหรอ หรือมันเป็นแค่บางสิ่งที่กลายเป็นมารยาททางสังคมไปแล้ว หรือคนเรามีเวลาว่างน้อยลงจริงหรือไม่ ชีวิตยุ่งกันมากขนาดนั้นเลย เจอหน้ากันก็ไม่ได้คุย ต่างคนต่างจ้องตรงหน้ามือถือ สังคมเราเป็นอย่างนั้นแล้วเหรอ”
ท่ามกลางมนต์ที่เพลงดังกังวาน นอกจากแง่คิดมุมมองที่เล็ดลอดผ่านความรู้สึกชายผู้ชื่อเล็กแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถ “รับรู้” ได้ คือบทเพลงเหล่านี้ล้วนทำหน้าที่ราวสัมผัสที่ปลอบโยนชำระล้างใจ “คนฟัง” อยู่ข้างๆ ทั้ง สุข-เศร้า-เหงา-รัก แก่ทุกผู้ทุกนาม ที่ย่างเข้ามาในโลกใบนี้
“มันเป็นความบังเอิญว่าเรื่องเหล่านั้นมันดันเกิดขึ้นกับเรา แล้วเราก็ค่อยๆ เราออกมาทีละเรื่องๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องทำเพลงแบบนี้ เราแค่มีเรื่องที่จะเล่าในใจประมาณหนึ่ง แล้วเราก็ค่อยๆ เล่าออกมา ซึ่งมันแค่มาในช่วงเวลาที่มันอาจจะบังเอิญพอดีกับใครเท่านั้นเอง”
“สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องเล่าของคนคน หนึ่ง” เล็กกล่าว ก่อนบอกว่า “มันเป็นการอัปเดตเรื่องราวในชีวิตเรา อย่างเนื้อหาในแต่ละอัลบัมก็เกิดขึ้นตามประสบการณ์ที่พบเจอ อาจจะเจอเรื่องที่เราโอ้ว! มีความสุขมาก โอ้ว! เราได้รับแรงบันดาลใจจากคนโน้นคนนี้ แล้วเราก็ทำเพลงออกมาถ่ายทอดออกมาอย่างซื่อสัตย์ที่สุด”
ดนตรีที่ถูกเพรียกหาจากความรู้สึก
หากเปรียบเทียบว่า “บทเพลง” คือประหนึ่งสัญลักษณ์แห่งเรื่องราวที่ฉาบฉายตัวตนของผู้เรียบเรียง “ชีวิตตัวตนจริงๆ เป็นเหมือนอย่างบทเพลงหรือไม่” เราถาม
“เราว่าทุกๆ คนก็มีทั้งสองด้าน แล้วแต่ว่าช่วงเวลาไหนจะมาก่อนมาหลัง เราไม่ได้มองชีวิตเป็นด้านเดียวเสมออย่างนั้น เรามองเป็นเรื่องปกติมาก มีสุข มีเศร้า มีสมหวังก็มีผิดหวัง” เล็กเผย ก่อนเสริมว่า มันเป็นเรื่องไม่คาดคิดที่ตัวเขาเองแทบไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องของคนๆ หนึ่งจะสามารถตรงและแชร์ความรู้สึกกับใครอีกหลายคนได้มากมายขนาดนี้ จนทำให้พลอยคิดไปว่า เขาคือผู้โหยหาความโศกาเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ
“เราไม่ได้เลือก ใครมันอยากจะเลือกให้ชีวิตที่ไม่มีความสุขล่ะ” ศิลปินหนุ่มกล่าวยอมรับก่อนบอกว่า แต่เรื่องบางเรื่องที่เราได้ยินหรือพบเจอมามันดันฝังใจ สะเทือนใจ อย่างที่บอกเราจมแล้วจมนาน ก็เลยเลือกที่จะเล่า
“เราไม่ได้เลือกว่าจะอยู่ แต่เราดันดีดตัวไม่ได้ มันก็เลยจมนาน เราดีใจนะ เรามีความสุขมากเวลาที่ใครเจอความทุกข์ เพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่งเขาหายแล้ว เก่งมากเลย รอดมาได้อย่างไร เราไม่เก่งขนาดนั้น เราก็เลยจมอยู่อย่างนั้น ดิ่งลงไปอยู่นั่นแหละ ลึกๆ ลงไปเรื่อยๆ
“แต่พยายามมองให้เป็นข้อดี ก็คือเราได้เห็นรายละเอียดต่างๆ ขณะช่วงตอนที่เราค่อยๆ จมเราก็ค่อยๆ เห็นความเจ็บปวด เห็นอะไรต่างๆ ซึ่งเราไม่ได้ชอบ เราไม่ได้มีความสุข เพียงแต่ว่าเราทำอะไรกับมันไม่ได้”
ไม่ต่างไปจาก “ความรัก” นอกฉันทลักษณ์แห่งบทกวี ที่เจ้าตัวเปิดเผยว่า “มีความสุขสมหวังเป็นอย่างดี”
“ตอนนี้ดีเลย แต่มันก็มีปัญหาบ้างเป็นเรื่องปกติ คนสองคนต่อให้มาจากพ่อแม่ท้องเดียวกัน อาจมีความคิด มุมมอง ในแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน ยิ่งคนที่ต่างที่มาก็เป็นธรรมดาที่จะย่อมมีความแตกต่างกัน ฉะนั้นการปรับจูนเป็นสิ่งสำคัญ แล้วก็ใหญ่มากด้วย
“เราสามารถยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้หรือเปล่า มันไม่ใช่การที่เราเปลี่ยนให้เป็นในสิ่งที่เราชอบ คือถ้าคนเรามันมาได้คนละครึ่งทางจะเจ๋งมาก เขาก็พยายามทำในสิ่งที่เราไม่ชอบน้อยลง น้อยลงนะแต่ไม่ต้องเลิกทำ หรือพยายามเข้าใจสิ่งต่างๆ ในตัวเราให้มากขึ้น”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องยาก” เจ้าตัวเอ่ยปาก แต่ตัวเขาเองนั้นก็พยายามปรับพยายามจูนแก้ไขในส่วนตรงนี้เหมือนกัน เพราะแม้จะมีประสบการณ์กับเหตุการณ์ในทำนองคลองธรรมเดียวกัน แต่รายละเอียดของเรื่องราวในแต่ละครั้งย่อมไม่เหมือนกัน นั่นเองที่ทำให้การเดินทางไม่มีจุดสิ้นสุด
“เราว่ารักใครก็รักให้มากที่สุด เท่าที่เราจะรักเขาได้ พยายามเข้าใจเยอะๆ เรารู้ว่ามันอาจจะทำความเข้าใจได้ยาก แต่ว่าพยายามเหอะ”
” 'ความรัก' มันไม่วันเรียนจบ ไม่ได้มีมหาลัยเปิดสอนหลักสูตร เรายังต้องเรียนรู้อยู่เลย แล้วเราไม่สามารถเรียนจบได้ภายใน 20 ปี ต่อให้ 50 ปียังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ เพราะมันอาจจะมีเรื่องเกิดขึ้นเหตุการณ์คล้ายๆ เดิม แต่ดีเทลต่างกัน ความรู้สึกที่ได้รับก็จะต่างกัน
“ต่อให้คนเราเจอความรักที่ไม่ดีมากี่ครั้ง บอกกับตัวเองว่าเข็ดแล้ว ไม่ขอมีรักครั้งใหม่แล้ว วันหนึ่งถ้าไปเจอคนที่ใช่จริงๆ ยกการ์ดสูงแค่ไหนก็ไม่รอด เราก็จะร่วงหล่นลงไปในรักครั้งใหม่แทบจะทุกครั้ง มันอาจจะไม่ใช่กับทุกคน แต่เราเชื่อว่าหลายคนเป็น”
เสียงครวญและคราบน้ำตาใต้บทบรรเลง
“มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเล่นคอนเสิร์ตอยู่ แล้วระหว่างนั้นมีคนร้องไห้ เราเกือบเล่นต่อไม่ได้เลย” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับใครบางคนและอีกหลายคน เช่นเดียวกับในทุกครั้งที่ชื่อ “กรีซซี่ คาเฟ่” ปรากฏขึ้นบนแผ่นโปสเตอร์งาน แม้จะเป็นเพียงการร่วมขึ้นแสดงเล็กๆ แต่ทว่าเขามักจะสร้างปรากฏการณ์ “โศก-สุข” ในทุกครั้งที่เอื้อนเอ่ยกลางฝูงชน
และนั่นกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับคอนเสิร์ต “อันเทิล ทูมอร์โรว์ (until tomorrow)” ในวันที่ 1 ธันวาคม ณ สนามกีฬาจรัญบุรพรัตน์
“เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก” เล็กแซมยิ้ม ก่อนจะบอกว่า ครั้งนี้จะไม่ใช่การร้องเล่นอย่างเดียว แต่จะมีกิจกรรมพิเศษให้ได้ร่วมสร้างประสบการณ์บางอย่างด้วยกัน เช่นเดียวกับชื่อการแสดงสดครั้งนี้
” 'until tomorrow' คอนเสิร์ตเป็นอย่างไรบ้าง” เราถาม
“จริงๆ ในตอนแรกอยากจัดที่ต่างจังหวัด แต่รู้สึกว่า คนต้องเดินทางกันไกลมาก เราอยากจัดในป่า มีภูเขา มีทะเลสาบ แต่ว่าคนจะต้องเดินทางไกล ก็เลยเลือกเอาสถานที่แบบอย่างน้อยๆ ขอให้เป็นพื้นหญ้า”
นอกเหนื่อจากบรรยากาศที่เรียบง่าย สบายๆ ตามสไตล์เจ้าของบทเพลงที่เรารับรู้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว “ความพิเศษ” ที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ เล็กยืนยันว่า “ถ้าไม่มีอะไรพิเศษจริงๆ เราก็ไม่รู้จะทำมันทำไม” ก่อนจะแย้มบอก “หนึ่งในกิจกรรมพิเศษ” ให้ฟังคร่าวๆ ว่า
“เราจะไปนั่งฟังเสียงป่ากัน เราจะหยุดภาพสังคมเมืองแล้วมาฟังเสียงธรรมชาติ” เล็กเผย ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า “เพราะเรารู้สึกว่า คนทุกวันนี้ไม่ค่อยมีเวลาอย่างนั้น ถ้ามีก็ต้องเดินทางไกลข้ามจังหวัดเพื่อฟังเสียงเหล่านี้ เราอยากให้มันเกิดขึ้นที่นี่ ให้ทุกอย่างที่มันรีบร้อนนิ่งลงบ้าง มีเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง ถามตอบอะไรก็ได้ อาจจะเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นตอนนั้น”
ลองสัมผัสโลกใบนี้ของเขาดู แล้วคุณจะรู้ถึงการเดินทางก่อนถึงวันพรุ่งนี้มันเป็นอย่างไร
เครดิตภาพเปิด : ปัญญพัฒน์ เข็มราช