คงเดช จาตุรันต์รัศมี ฉากหลังแห่ง ‘เวลา’ สู่การค้นหา ‘ตัวตน’ ผ่าน Snap

เรื่อง : เอกลักษณ์ มุสิกะนันทน์
ภาพ : อิศเรศน์ ช่อไสว

ทุกยุคสมัยของภาพยนตร์ตั้งแต่มนุษย์เริ่มรู้จักถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ลงแผ่นฟิล์ม พบว่าเนื้อหาสาระที่มีอยู่ในนั้นไม่มากก็น้อยมักมีกลิ่นอายความเป็นไปทางสังคม เหตุการณ์สำคัญ หรือสิ่งที่ผู้สร้าง / ผู้กำกับอยากบันทึกเอาไว้เพื่อเติมเต็มบรรยากาศ นอกเหนือไปจากเพียงใส่ความรู้สึก หรือจินตนาการส่วนตัว

Snap หนังรักโรแมนติกได้รับการกล่าวขานมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ก็เช่นกัน แม้โดยรวมพูดถึงการตามหาความทรงจำของสองชีวิตขณะเดินผ่านประตูกาลเวลาอย่างไม่ตั้งใจ ผลคือพวกเขาได้สำรวจความรู้สึกตน มีสิ่งใดยังหลงเหลือ หรือเลือนหายไปจากใจบ้าง แต่อย่างไรก็ตามฉากหลังในการดำเนินเรื่องกลับเกาะเกี่ยวความเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองไทย ตัวการสร้างความเคลือบแคลงในความสัมพันธ์ ซึ่งสิ่งนี้คือเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ในการถ่ายทอดความคิดของผู้กำกับ ‘คงเดช จาตุรันต์รัศมี’

จากร่างทรงผู้โหยหาอดีต สู่การสำรวจความคิดวันวานผ่าน Snap
“อันที่จริงคือเราไม่ได้ทำหนังโรแมนติกมาสักระยะ ถ้าเป็นของตัวเองก็คงเป็น เฉิ่ม (2548) กับ กอด (2551) หลังจากนั้นมีเขียนให้คนอื่นบ้างอย่าง แฮปปี้เบิร์ธเดย์ (2551) ประมาณนี้ พอหลังจากเรื่อง ตั้งวง (2556) ก็เริ่มเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา อาจเพราะช่วงอายุจึงมีสิ่งที่เราอยากสำรวจอดีต ความทรงจำ ซึ่ง Snap ว่าด้วยเรื่องการคิดถึง พอตอนเขียนก็ไหลมาเองอัตโนมัติ มันอยู่ในรูปทรงหนังโรแมนติก

ตรงนี้มันมีสิ่งที่อยู่ในตัวของผมเอง และอีกหลายๆ คนนะ จริงๆ หนังที่ทำทุกเรื่องมีร่างทรงของเรานิดๆ หน่อยๆ อย่างใน ตั้งวง เด็กๆ ในนั้นก็เป็นตัวแทนความคิดของเราอยู่บ้าง Snap ก็เช่นกัน แต่ตัวหลักเป็นผู้หญิงที่เดินเรื่อง ตอนแรกไม่ได้คิดนะ ว่าจะเป็นร่างทรงของเรา แต่ทำไปทำมา เออ… มันใช่นะ (หัวเราะ) ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ตาม

“ในแง่หนึ่งผมเชื่อว่าอายุขนาดนี้แล้ว เมื่อเราใช้ชีวิตมากขึ้นจะค้นพบว่าเรามีอดีต คนในความทรงจำนั้นๆ ซึ่งอาจไม่ใช่ที่อยู่ในปัจจุบัน ทั้งในแง่ความรัก มิตรภาพ เพื่อนสนิทเคยซี้กันมากพอถึงวันหนึ่งก็อาจแยกย้ายไปตามเงื่อนไขของชีวิต ไม่ได้เจอเหมือนก่อน หนังก็เช่นกัน เหมือนตั้งคำถามสำรวจว่าการคิดถึงใครบางคนที่เคยอยู่ในชีวิตเรา แต่เดี๋ยวนี้อาจไม่ได้เจอกันแล้ว หรือเวลากลับมาเจอกันไม่มีเรื่องให้คุยมากมายเหมือนเมื่อก่อน เพราะแต่ละคนมีชีวิตของตัวเอง
วิธีย้อนอดีตต่างไปตามยุคสมัย
“พอเขียนไปเรื่อยๆ พบว่าความทรงจำเหล่านี้มันคือความรู้สึกโหยหาอดีต มันแปรสภาพไปเหมือนกันนะระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องมือบันทึกความทรงจำต่างจากเมื่อก่อน ใช้กล้องถ่ายภาพเป็นฟิล์ม ต้องล้าง ล้างแล้วเอาไปอัด มันต้องใช้เวลา แล้วก็ดูเก่าด้วยเวลาที่ผ่านไป แต่เดี๋ยวนี้ถ่ายเสร็จแค่เอามาใส่ฟิลเตอร์ แต่งภาพเก่าทันทีทั้งที่ถ่ายเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วเอง คือมันปรุงแต่งได้ง่าย กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้นเหมือนบะหมี่ อีกอย่างคนยุคนี้เขาก็โตมาในยุคใหม่จึงอยากสำรวจความรู้สึกว่าต่างกันแค่ไหน คนในอดีตของเขา เพลงในวันวานของเขา ยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”

ฉากหลังพาดผ่านความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
“หนังว่าเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่จริงๆ ถ้าใครดูผลงานของผมจะสังเกตได้ว่าใส่มาเรื่อยๆ ตั้งวง ก็เต็มเหนี่ยวหน่อย รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มีผลต่อชีวิตเรา ต่อให้ยังเป็นหนุ่มสาววัยรุ่น เปิดหน้าฟีดบนโลกโซเชียล มันไม่ได้มีแค่เรื่องความรักการงานแล้ว มีเรื่องการเมืองเข้ามาด้วย ผมว่ามันส่งผลต่อวิธีคิด ต่อทางเลือกแต่ละคน ส่งผลต่อความสัมพันธ์ มิตรภาพ บางทีเห็นคนทะเลาะกันด้วยเรื่องเหล่านี้ รู้สึกว่าราคาแพงเกินไปหรือเปล่า ที่ความสัมพันธ์ต้องมาจบด้วยเรื่องแบบนี้

“ผมคิดว่ามันน่าจะบันทึกเอาไว้ เพราะเวลาทำหนังรักหรือโรแมนติกจะไม่ใช่ที่พาฝันสุดๆ ไม่ต้องคิดกันเรื่องอาชีพปากท้อง อะไรอย่างนี้ สำหรับหนังของผมจะดูจริง แต่ Snap ไม่ได้จริงขนาดตั้งวง ซึ่งทำให้เราเข้าใจตัวละครว่าทำไมเขาถึงเลือกแบบนี้ เพราะอะไร คือสามารถสะท้อนตัวเองได้ ว่าเป็นเราเราอาจเลือกแบบนี้ แต่ละคนเงื่อนไขชีวิตไม่เหมือนกัน ไม่ได้มีแต่ความโรแมนติกเท่านั้นในชีวิต อยากทำหนังรักโรแมนติกที่เมื่อคนดูเสร็จแล้ว ได้กลับมาสำรวจตัวเองด้วย

ความหมายของ Snap
“ความหมายจริงๆ ถ้าไปเปิดดิกชันนารีจะมีในแง่ความหมายของการหักเป๊าะ หรือสิ้นสุดทันทีทันใด คือมีความหมายมากกว่าที่เราเข้าใจแค่ Snap Shot อย่างเดียว ลึกซึ้ง ไม่ได้หวาน ดูเข้าท่าดี ในที่สุดด้วยพล็อตซึ่งไม่ได้ยาก มีหญิงสาวคนหนึ่ง (ผึ้ง รับบทโดย อิ้งค์ – วรันธร เปานิล) กลับไปงานแต่งของเพื่อนแล้วเจอผู้ชายที่เคยมีอดีตด้วยกัน (บอย รับบทโดย โทนี่ รากแก่น) แต่ว่าจริงๆ สิ่งที่มันสำคัญสำหรับหนังเรื่องนี้คือรายละเอียด เวลากลับไปเจอคนในอดีตแล้วเรารู้สึกอย่างไร เวลากลับไปในสถานที่ที่มีความทรงจำรู้สึกอย่างไร เวลาแบบนั้นมันเป็นทริปแค่ 4 วัน เพื่อนแต่งงานเสร็จก็ต้องกลับกรุงเทพแล้ว แต่ว่าตรงนั้นพิเศษมาก มีความรู้สึกที่ยังค้างคา เราจะเคลียร์ยังไงเมื่อมีชีวิตจริงรออยู่

“เวลาเป็นทริปแบบนี้ทุกคนก็อยากไขว่คว้าเอาไว้ หรือเวลาเลี้ยงรุ่น กลับไปเจอเพื่อนฝูงเราจะพูดถึงแต่อดีต เปิดเพลงที่ตอนนั้นฟังด้วยกันถ้ามีแฟนอะไรแบบนี้ ทุกคนน่าจะเคยมีประสบการณ์ตรง”

กว่าจะเป็น Snap
โอ้โฮ… ไม่เคยมีเรื่องไหนต่ำกว่าปีเลยครับ (หัวเราะ) แล้วก็ใช้ระยะเวลาเขียนบทเยอะ น่าจะเกินครึ่งปี คือเป็นการทำไปแล้วขัดเกลาไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบมาก ตอนเขียนก็เรื่องตั้งวงยังไม่เข้าเลย จากนั้นรอให้เวลามันบ่ม เมื่อโอเคจึงเริ่มทำ ซึ่งระหว่างขั้นตอนโปรดักชั่นก็ยังมีการตบให้เข้ารูปใช้เวลาประมาณหนึ่ง รวมๆ เกือบ 2 ปี”

ความกลมกล่อมของบทบาท
“พอเป็นหนังโรแมนติก หน้าตาก็ต้องดีหน่อย จะไปเอาเด็กหน้ามันๆ แบบพวกตั้งวงมาเล่นไม่ได้ วิธีคนละแบบกัน จึงวางตั้งแต่ต้นว่าต้องเป็นนักแสดงหนุ่มหน้าตาดี ช่วงเขียนก็นึกถึง โทนี่ เป็นคนแรกเลย อาจเพราะเห็นเขาทำงานมาพอสมควร ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ อย่างตอนเล่นเรื่อง Big Boy ก็เข้าไปช่วยเขียนบท ช่วงเข้ามาใหม่ๆ จะดูเงียบๆ เก็บความรู้สึกหน่อย มองว่าหมอนี่เท่หวะ คล้ายกับตัวละครที่กำลังเขียนอยู่คือมีความ Introvert (ลักษณะมีโลกส่วนตัว) ตัวละครตัวนี้ต่อให้หน้าตาดีแต่ไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนก็ไม่ใช่หล่อแล้วเด่น มีความเป็นช่างๆ ภาพ คือมักเป็นคนที่แฝงตัวเป็นเงา มีความเป็น Observer (คนช่างสังเกต) ไม่ค่อยแสดงตัว แสดงความรู้สึกออกมา แต่สิ่งที่เขากำลังบันทึกอยู่นั้นนั่นแหละคือการแสดงความรู้สึกมาแล้ว กรณีโทนี่มองว่าเหมาะ แต่ทำไมไม่มีใครเอาเขามาเล่นในแบบที่เราคิดเลย นี่จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะใช้บริการ ในที่สุดเวิร์คมากเลยนะ โทนี เขาเล่นมาหลายเรื่อง แต่เล่นหนังเรานี่เท่สุดๆ แล้ว (หัวเราะ)

“ส่วน น้องอิงค์ เป็นนักแสดงหน้าใหม่ คิดแต่แรกว่าอยากได้ที่ไม่ต้องสวยอย่างเป็นดาราเลย แต่ต้องมีเสน่ห์โดยธรรมชาติ ตรงนี้ผมคิดว่าตัวละครที่ชื่อผึ้ง มีวิธีคิดอะไรบางอยางที่เป็นคนร่วมสมัย ชอบลง Ig ชอบติดแฮชแท็กนั่นนี่เวิ่นเว้อ แล้วมีชีวิตเหมือนพยายามทำให้ตัวเองอยู่ในฝันตลอดเวลา อย่างการถ่ายรูปประตูเปล่าๆ ดูธรรมดา แต่พอติดแฮชแท็กแล้วประตูนั้นมีความหมายขึ้นมา

“ตอนแคสใช้เวลานานมากเพื่อหาคนที่มีวิธีคิดคล้ายตัวละคร แต่ตอนเจอ น้องอิงค์ เราไปแอบตาม Ig (หัวเราะ) ปรากฏว่าเขามีวิธีคิดคล้ายตัวละครที่เราคิดไว้เลย ตอนแรกดูคลิปที่น้องมาแคสตอนนั้นไม่เวิร์คเลยล่ะ เพราะเขาดูพยายามมากไปหน่อยจนไม่เป็นตัวเอง แต่ทีมแคสบอกมันเวิร์คนะพี่น่าจะชอบ ก็เลยคิดว่างั้นเอามาคุยกัน ได้เห็นเสน่ห์ แม้ไม่ได้เหมือนของที่ใช้ได้ทันทีอย่างโทนี่ แต่เป็นคนที่พร้อมให้เราจัดการ ถ้าเปรียบเป็นกระดาษวาดเขียนก็คือเนื้อดีมาก พร้อมให้เราวาด

ผลตอบรับผ่านเทศกาลหนัง
“เท่าที่ผ่านมาดีมากนะครับ ถึงจะมีเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองแฝงอยู่เป็นแบ็คกราวด์ก็จริง ตอนไปฉายที่โตเกียวคนญี่ปุ่นเขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือเหตุการณ์อะไร แต่กลับเต็มทุกรอบ มีคนร้องไห้ทุกรอบ เราจึงคิดว่าความรู้สึกนี้มันร่วมสมัย ทุกคนเข้าถึงได้จริง พอโตมาไม่ได้เด็กจนเกินไปจะมีความทรงจำอยู่ มีคนที่คิดถึงอยู่ เราดูแลความทรงจำยังไง คนที่เคยอยู่ในชีวิตเราเขาเป็นอย่างไร เราอยากรู้อยู่หรือเปล่า ในที่สุดหนังมันว่าด้วยเรื่องเหล่านี้มากกว่าเหตุการณ์บ้านเมือง ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้สัมผัสคน ครอบคลุมพอ ตอนไปที่ เวิลด์ฟิล์ม (World Film Festival of Bangkok 2015) เต็มทั้งสองรอบก็ดีใจแล้ว เพราะเหนื่อยมาพอควร”

มองปัจจุบันย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น
“มันมีความห่างของวัย มีความเปลี่ยนแปลง จะบอกว่าคนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลยทั้งชีวิตผมว่าคนคนนั้นไม่น่าคบ ย้อนกลับไปหนังเรื่องแรกอย่าง สยิว หรือ เฉิ่ม ซึ่งพอดีที่ผ่านมาได้ไปเวิร์คช้อปหนังสั้นเด็กที่มาเลย์ แล้วเขาให้เอาตัวอย่างหนังเล็กๆ น้อยๆ มานั่งเปิดดู เห็นเลยว่าสมัยก่อนนั้นเราทำไปได้ยังไง ห่ามมาก กล้ามาก เดี๋ยวนี้คงไม่กล้าแล้ว วิธีคิดในการเล่าหนังมันก็ต่างออกไป เป็นเรื่องของวัย และประสบการณ์ ทำให้เราได้มองย้อนกลับไปผ่านหนังของตัวเอง เรารู้สึกได้ว่า แก่ขึ้นแหละ (หัวเราะ) ไม่อยากพูดคำนี้เลย”

วันพรุ่งนี้ของ ‘คงเดช’
“มีแพลนไว้ครับหลังทำ Snap จากการที่นอร์ธสตาร์มาช่วย ก็มีการรับปากไว้ว่าปีหน้าจะทำหนังให้เขาเรื่องหนึ่ง ไม่แน่ใจทันฉายปีหน้าหรือเปล่า แต่มีถ่ายปีหน้า ตอนนี้อยู่ในช่วงทำบท ซึ่งออกดราม่าเล่นกับความรู้สึกรักของคนแบบเข้มข้น”

โอกาสทำหนังเกี่ยวกับแนวดนตรี (ในฐานะเคยเป็นนักร้องนำวง ‘สี่เต่าเธอ’)
ตอนจบ สยิว เรามีโปรเจกต์หนึ่งว่าอยากทำหนังเกี่ยวกับวงดนตรี แต่เป็นวงดนตรีแล้วมีการเมืองนิดนึง (หัวเราะ) สุดท้ายก็พับไป และเลยจุดนั้นไปแล้ว คือตอนนี้วงดนตรีของเราเองอยู่ในจุดที่สบายมากๆ อยากทำก็ทำ ไม่อยากก็ไม่ทำ นี่มีคนมาจ้างเล่นก็ปฏิเสธไปตั้งสี่ห้างาน เพราะคนนั้นยุ่ง คนนี้ป่วย การทำเพลงตอนนี้จึงเหมือนเป็นสนามเด็กเล่น เพราะหลักๆ คือทำหนังเป็นงาน พอไปทำเพลงเหมือนหาเรื่องไปเจอเพื่อน ได้เฮฮากันมากกว่า

ส่วนถ้าถามว่าตอนนี้อยากทำหนังเกี่ยวกับดนตรีไหม ไม่แน่นะ ไม่แน่… (หัวเราะ)

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE