‘โก๋เอ็ม Buddha Bless’ : สันดานคนมันวัดได้จากการกระทำ


หากวัดกันแค่ ‘ภาพลักษณ์ภายนอก’ ชายหน้าขรึม ผมเกรียน หน้าไทย และร่างกายเต็มไปด้วยลอยสัก คือ ดีหนึ่งประเภทหนึ่งของ ‘แบดบอย’ แต่ถ้าหากคุณได้รู้จักพูดคุยกับหนึ่งในสมาชิกวงฮิปฮอปทรีโอ้ชื่อดังคนนี้แล้วล่ะจะเข้าใจว่า จินตนาการเชิงลบที่มโนเองนั้น มันหาใช่เรื่องจริงไม่

‘โก๋เอ็ม’ หรือ ‘กิตติพงษ์ คำศาสตร์' แห่งวง ‘Buddha Bless’ ศิลปินสุดเฟี้ยวในสังกัดก้านคอคลับ คือหนึ่งจิตอาสาที่ทุ่มเททั้งร่างกาย เวลา และทุนทรัพย์ เพื่อช่วยเหลือสัตว์จรจัดทั้งหลายอย่างเต็มกำลัง

โก๋เอ็มเป็นที่รู้จักอย่างดีของกลุ่มคนรักสัตว์และผู้ร่วมกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสัตว์ต่างๆ ผ่านรายการ ‘หมากาพย์ หมาจร’ ที่สะท้อนให้เห็นชีวิตของสุนัขในมุมมองคนส่วนใหญ่ไม่เคยทราบมาก่อน รวมไปถึงการเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในกิจกรรมมากมาย รวมไปถึงการลุกขึ้นมาพูดถึงเรื่องของสิทธิสัตว์และอุตสาหกรรมสัตว์อย่างจริงจัง นอกจากผลงานเพลงแล้ว เขายังสร้างสรรค์งานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวถึงสัตว์ในหลากหลายแง่มุม

หลายเรื่องราวจากจุดเริ่มต้นในความสนใจเรื่องของศิลปะ พัฒนาสู่อาชีพ จนได้เข้าสู่เส้นทางสายศิลปินนักร้อง และจุดเปลี่ยนในชีวิตที่สะกิดต่อมความคิดให้เขาลุกขึ้นมา ‘แบ่งปันความรู้สึกดีๆ สู่เพื่อนร่วมโลก’ บอกเล่าผ่านเสียงอันเข้มแข็งและจริงจังของ ‘โก๋เอ็ม Buddha Bless’

– หลายท่านชินตากับบทบาทศิลปินนักร้อง อาจเพิ่งทราบว่าโก๋ทำงานด้านศิลปะด้วย
ใช่ครับ คนส่วนใหญ่จะรู้จักผมในวงการเพลงมากกว่า แต่เพลงก็เป็นงานศิลปะอีกแขนงหนึ่ง ที่ผมทำควบคู่กันไป ถ้าจะให้ย้อนไปถึงชีวิตที่ผูกพันกับศิลปะ ผมโชคดีที่รู้ตัวเองเร็วว่ารักงานศิลปะ เลยเริ่มทำงานด้านนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เคยเรียนโรงเรียนศิลปะด้วยแต่ไม่จบ (หัวเราะ) เพราะไปเรียนจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราไม่อินกับศิลปะที่เขาสอน รู้สึกมันอึดอัดมากเลยออกมา แต่ก็ไปสมัครเรียนที่วิทยาลัยช่างศิลปอีก เพราะว่ารู้สึกว่าตัวเองจะไปอยู่สถานศึกษาอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับศิลปะไม่ได้ มาที่นี่ผมก็ได้รู้จักกับศิลปะอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเห็นแค่ผ่านสื่อนิตยสารเท่านั้น นั่นคือ ‘กราฟฟิตี้’ หรือ ‘สตรีทอาร์ต’ ก็เริ่มฝึกด้วยตัวเองมาเรื่อยๆ ยุคนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือสื่อใดๆ นอกจากลองผิดลองถูกเอง
จนพอเริ่มมีทักษะสักหน่อยก็เริ่มรับงาน เริ่มทำงานได้ รู้ตัวอีกทีมันก็กลายเป็นอาชีพแล้ว ก็เลยเลิกเรียนเลย เพราะรู้สึกว่าที่เรียนก็ไม่ใช่ เราหาเงินเองได้แล้วออกมาทำแนวที่เราชอบแบบชัดเจนเลยดีกว่า ก็เลยเริ่มรับเพนต์ ทำแอร์บรัช ทำอะไรที่เกี่ยวกับการพ่นๆ สี ซึ่งเราชอบมาก ก็ยึดเส้นทางศิลปะเป็นอาชีพตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
 
– ตัดสินใจออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำงานศิลปะ พ่อแม่รับได้หรือ?  
ตอนนั้นก็พยายามบอกพ่อแม่ บอกคนอื่นๆ นะว่าเราจะเดินสายนี้ ก็ไม่มีใครเข้าใจเลย คือการพ่นสีมันดูเป็นภาพลบของวงการศิลปะ ในยุคนั้นคนจะยอมรับในการใช้พู่กันมากกว่า ส่วนการใช้กระป๋องสเปรย์มันอยู่นอกกระแส ดูอันเดอร์กราวด์ ภาพลักษณ์มันทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ แต่ตอนนั้นเราก็บอกกับตัวเองว่าต้องพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น เริ่มที่ครอบครัวก่อนให้เขาเห็นว่าเราทำงานจากตรงนี้แล้วได้เงินนะ แล้วพิสูจน์ให้คนอื่นๆ ได้เห็นว่าสีสเปรย์สามารถนำมาสร้างสรรค์เป็นงานได้ เราก็ตะเวนพ่นแถบๆ บ้านแถวปากน้ำจนทั่วไปหมด ในซอยบ้านนี่ผมจัดการเรียบร้อย จนคนแถวนั้นทราบกันหมดว่าผมนี่คือไอ้เด็กมือบอน ที่ชอบมาพ่นกำแพง นั่นคือก้าวแรกของการเริ่มทำงานศิลปะ (หัวเราะ)
 
– งานแบบฉบับของโก๋เอ็มเป็นอย่างไร
ผมพยายามคิดลายเซ็นของผมอยู่นานมากๆ หลายปีเลยทีเดียว คือ ผมจะไม่อยากเซ็นชื่อในงานตัวเอง เพราะว่าผมอยากให้คนได้เองว่านี่คืองานผม อีกอย่างผมเป็นคนขี้เบื่อ ผมเคยคิดอยู่ยุคหนึ่งว่า ผมจะสร้างคาแรคเตอร์ให้งานของผม หรือสร้างฟอนท์ตัวหนังสือสักฟอนท์ที่จะให้คนเห็นบ่อยๆ แล้วจำมันได้ว่านี่คืองานของเรา แต่ผมเบื่อกับการวาดอะไรเดิมๆ ผมเลยขยันที่จะวาดอะไรใหม่ๆ วาดฟอนท์ วาดตัวหนังสือ วาดภาพอะไรใหม่ๆ มันบวกกับตอนที่เราได้งานด้วยแหละ ในงานจะมีโจทย์ให้เขียนตัวหนังสือแบบนั้นแบบนี้ มีคำที่เขาให้มา บวกกับคาแรคเตอร์ต่างๆ ก็ต้องทำตามโจทย์ ฉะนั้นตอนทำงานจะเหมือนเราได้ฝึกฝน เพราะเราต้องตีโจทย์และได้พัฒนาลายเซ็นของเราไปได้เรื่อยๆ จนถึงจุดๆ หนึ่งที่เริ่มมีคนจำได้ว่าอันนี้เราทำ มันไม่ใช่แค่เรื่องของลวดลาย มันอยู่ที่เทสต์ในการการเลือกใช้สีด้วย พอเริ่มทำบ่อยๆ เริ่มทำหลายๆ ปีเข้า มันก็เริ่มจะอยู่มือ เหมือนนักวาดการ์ตูนที่พอเขาวาดเรื่องนี้จนคนติดแล้วไปวาดเรื่องใหม่คนก็ทราบเลยว่าเป็นผลงานของคนนี้โดยที่ไม่ต้องบอกว่าเป็นคนเขียนคนเดียวกัน มันเกิดจากการทำบ่อยๆ ซ้ำๆ มันจะออกมาเอง
 
– งานประเภทไหนบ้างที่เขาจะจ้างโก๋ไปพ่น
แรกๆ จะเป็นร้านทั่วไป ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านขายของ แล้วพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากในเขตปากน้ำแถวบ้าน ก็เริ่มเข้าเมืองมาอ่อนนุช สุขุมวิท ก็เริ่มเป็นงานที่กว้างขึ้นเป็นงานในวงการสื่อ เช่น นิตยสาร มิวสิควิดีโอ สื่อโฆษณา คือช่วงนั้นกราฟฟิตี้ถือเป็นของใหม่ คนทำได้มีน้อยคน ผมจึงได้มีโอกาสเป็นตัวเลือกที่เขาจะดึงมาร่วมงาน ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการทำงานสายนี้
จนวันหนึ่งงานศิลปะแนวนี้ก็เริ่มมีอยู่ในทุกสื่อ เสื้อผ้า แฟชั่น อาร์ตเวิร์ค มันแทรกซึมเข้าไปหมด จึงได้มีโอกาสเข้าไปรู้จักกับคนที่ทำงานในวงการต่างๆ ก็มีการบอกต่อไปเรื่อยๆ อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนยุคแรกๆ ของการทำงานตรงนี้ แล้วแวดวงมันแคบ รู้จักกันหมด เราได้งานมาก็บอกเพื่อน เพื่อนได้งานมาก็บอกเรา เป็นสังคมช่วยเหลือกัน ทำด้วยกัน ช่วยกันทำ

– ศิลปะนำพามาสู่เส้นทางศิลปิน  
ใช่ครับ ผมเริ่มต้นในงานศิลปะก่อนแล้วเพลงค่อยตามมาทีหลัง ตัวผมเองก็เป็นคนชอบร้องเพลง ชอบแต่งเพลง ชอบทำเพลงอยู่แล้ว และศิลปะทำให้ผมมีโอกาสได้ทำงานเพลง เพราะกราฟฟิตี้มันมีรากเหง้ามาจากกลุ่มฮิปฮอป เป็นแวดวงเดียวกัน รสนิยม การฟังเพลง การแต่งตัวอะไรแบบนั้นจะออกไปในทางนั้น เราเลยได้รู้จักกับกลุ่มเพื่อนที่ทำเพลงด้วย คือเจอกันตั้งแต่เริ่มทำงานตอนเด็กๆ แล้วก็มาเริ่มทำเพลง ได้มารู้จักกับก้านคอฯ ได้รู้จักกับเพื่อนๆ ในวง โดยมีศิลปะเป็นกาวเชื่อมสัมพันธ์
 
– ความสนุกของงานศิลปะกับการร้องเพลงแตกต่างกันไหม
สำหรับการร้องเพลงผมจะสนุกกับการเพอร์ฟอร์แมนซ์มากกว่า คือการแต่งเพลงมันเป็นการช่วยๆ กัน ผมอาจจะไม่ได้เป็นคนที่แต่งเพลงเก่งอะไรมาก แต่เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตผมจะใส่เต็มมากๆ เพราะผมเป็นคนที่ชอบเต้นมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยจะสนุกในทุกๆ ครั้งที่ได้ร้องได้เต้น ซึ่งมันจะต้องเจอผู้คนมากมาย ส่วนการทำงานศิลปะผมจะต้องอยู่กับตัวเองคนเดียว มันยากตรงต้องต่อสู้กับจินตนาการตัวเราเองว่าอยากจะดีไซน์อะไรสักอย่าง มันต้องคิดหลายตลบมากๆ ความสุขที่ได้ทำมันอาจจะไม่แตกต่างกันมาก แต่กระบวนการการทำงานนั่นแหละที่จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
 
– การบอกต่อเพื่อให้คนเสพระหว่างงานศิลปะกับดนตรีแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร
การนำเสนอจริงๆ อาจจะคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่างานเพลงอาจจะเข้าถึงคนได้ง่ายกว่า เพราะมันเป็นภาษา มันตรงไปตรงมามากกว่า แต่อย่างงานศิลปะของผม ผมพยายามจะใช้เทคนิคและแนวทางของการทำงานที่มันดูง่าย ซึ่งว่าไปก็เหมือนการคิดงานเพลงแหละครับ ตือ ผมพยายามจะพูดให้เป็นเรื่องทั่วไป เป็นภาษาง่ายๆ ที่ไม่กระดาก ไม่มีคำหยาบ ไม่ไปด่าไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ กู มึง แม่ง เหมือนเพลงอันเดอร์กราวด์ เพราะแบบนั้นก็อาจจะฟังยากในคนหมู่มาก ส่วนศิลปะ ผมเคยอยู่ในยุคที่ทำงานดาร์กและตามใจตัวเองมากๆ มันก็มีคนชอบนะ ตัวผมเองก็ชอบ แต่อย่างที่บอกคือผมเป็นคนขี้เบื่อ ผมเลยพยายามทำผลงานออกมาให้คนหมู่มากชอบด้วย ก็เหมือนเป็นการทดลองอย่างหนึ่ง การทำงานศิลปะมันเป็นการทดลองตลอดเวลา ทดลองอะไรแปลกๆ ทดลองแนวทางใหม่ๆ แต่ว่าจุดประสงค์ จุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายมันคือจุดๆ เดียวกัน คือต้องการสื่อสารให้คนได้รับรู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องเรียกความสนใจคนได้ เหมือนเพลงเวลาขึ้นไปแสดงบนเวทีผมก็ร้องเต้นเต็มที่เลยเพื่อส่งต่อไปถึงกลุ่มผู้คนให้เขาสนใจสามารถยืนดูได้ยาวๆ งานศิลปะก็เช่นกัน ผมไม่อยากให้คนได้แค่เห็นแล้วมองผ่าน ทำอย่างไรก็ได้ให้เขาต้องหยุดดู ซึ่งมันก็คล้ายๆ กันทั้งสองแขนง

– พูดถึงการใช้ศิลปะเพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิสัตว์สักหน่อย  
แต่ก่อนทำงานศิลปะพอมันเริ่มจากกราฟฟิตี้ ในหัวผมเลยกลวงมากเลย ผมไม่รู้จะวาดรูปหรือสื่ออะไรได้มากมายเท่าไรนัก เพราะกราฟฟิตี้มันจะสื่ออะไรตรงๆ เป็นตัวหนังสือหรือเป็นคำ หรือถ้ามีโจทย์มาว่าวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองก็สะท้อนออกมาจากนั้น แต่เกี่ยวกับเรื่องของสัตว์หรือสิทธิสัตว์ตอนนี้ผมอินมากๆ ด้วยผมเป็นคนชอบเขียนเกี่ยวกับสัตว์อยู่แล้ว เพราะชอบเลี้ยงสัตว์ ที่ผ่านมาพอได้อยู่ในวงการได้ร้องเพลงผมก็นำเงินที่ได้ไปช่วยสัตว์ค่อนข้างเยอะ หมาแมวจรจัดนี่เยอะมาก
คือเราเลี้ยงแล้วเราก็อิน แต่ก่อนก็เฉยๆ ไม่ได้อะไรมาก แต่พอเริ่มผูกผันก็อินขึ้นเรื่อยๆ เริ่มให้อาหาร เริ่มรักษา เริ่มทำหมัน อะไรที่เป็นปัญหาสังคมเกี่ยวกับสัตว์ ผมก็จะเข้าไปดู เริ่มต้นจากแถวบ้านก่อนเช่นกัน จนมาดูในอินเทอร์เน็ตก็มีเพื่อนกลุ่มอาสาสมัครที่เขาช่วยเหลือสัตว์เช่นกัน ก็มีพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน พอมีโซเชียลเราก็จะเห็นการแชร์ภาพของปัญหาสัตว์ต่างๆ หมาแมวถูกทิ้ง ถูกทารุณกรรม ถูกทำร้าย เหล่านี้เป็นข้อมูลในการทำให้เราสื่อสารออกมาผ่านผลงานศิลปะ
 
– เห็นว่าตอนนี้ตัวโก๋เองทุ่มสุดตัวจนถึงขนาดเลิกกินเนื้อสัตว์แล้ว
คือเริ่มจากที่กล่าวไปคือผมได้เริ่มไปช่วยเหลือสัตว์มากๆ เข้า กอปรกับแต่ก่อนจะมีข่าวประเภทกินหมากินแมวเราก็ไม่เห็นด้วย แต่พอย้อนลึกลงไป ‘เฮ้ย เราก็ยังกินหมูอยู่นี่หว่า’ คือมีคนย้อนผมมาว่า ‘เอ็งไปช่วยหมู แต่ทำไมยังกินหมูอยู่ นั่นก็สัตว์เหมือนกัน’ เราก็มานั่งคิด เออ เขาก็พูดถูก เราก็เลยพยายามลดละเลิกเนื้อสัตว์ ตอนนี้ก็ประมาณเกือบ 2 ปีแล้ว แรกๆ ก็มีกินไก่อยู่บ้าง แต่มาตอนหลังเริ่มเลี้ยงไก่ก็เลยไม่กินไปด้วย คือลดละเลิกจนตอนนี้ไม่กินก็อยู่ได้ ไปร้านตามสั่งก็คือเอาเต้าหู้แทนเนื้อสัตว์เลย ก็แต่บางทีไปงานก็มีพลาดบ้าง เจ้าภาพเขาจัดไว้ให้ก็พยายามคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่ถ้าเลือกได้ก็จะไม่กิน ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเลือกได้แล้ว เพราะจะเปิดร้านอาหารมังสวิรัติแล้วตั้งใจว่าจะกินอย่างจริงจังเลย
จากจุดนั้นก็มาเป็นเรื่องของอุตสาหกรรมสัตว์อีก เพราะผมตามเพจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสัตว์อยู่เยอะ กระบวนการการฆ่าสำหรับผมมันดูโหดร้ายรุนแรงเกินไป ยิ่งเราลงลึกไปเรื่อยๆ ก็รับรู้ว่าพวกวัวหรือหมูเขาก็มีสัญชาตญาณ มีการรับรู้ มีรู้ความรู้สึก ที่ไม่ต่างจากหมาหรือแมวเลย พอตามเพจเห็นการฆ่าแล้วก็สงสารไม่กล้าที่จะกิน แต่ผมก็ไม่ได้ไปว่าคนอื่นๆ ที่เขากินนะ บางคนชอบคิดว่าผมโลกสวย ผมก็ไม่ได้ว่าไร ใครใคร่จะกินก็เชิญ แค่ผมกับแฟนผมไม่กินเท่านั้นเอง อีกอย่างผมชอบกินโปรตีนเกษตรด้วยผมก็เลยอยู่ของผมได้
 
– ต่อสู้กับคำกระแหนะกระแหนเหน็บแนมเรื่องนี้อย่างไร เพราะว่าภาพลักษณ์แบดบอยอย่างเรามันดูตรงข้ามกับสิ่งที่ทำเหลือเกิน
หน้าตาบุคลิกแบบผม เรื่องภาพลักษณ์ผมโดนมาตลอด แต่เพื่อนๆ ผมหลายๆ คน ลุคแรงกว่าผมเยอะ แบบแบดบอยมากๆ แต่รักสัตว์แบบสุดโต่งก็มี สักเต็มตัวแต่เลี้ยงแมวอย่างกับลูก ผมก็อยากจะบอกกับสังคมว่ามันดูคนกันที่ภายนอกไม่ได้หรอก บางคนไม่มีรอยสัก หน้าตาดูดีสะอาดสะอ้าน แต่ทำตัวแบบว่าแย่มากๆ สันดานคนมันวัดได้จากการกระทำมากกว่า แต่ว่าสังคมปัจจุบันก็เปิดกว้างขึ้นมาก คนที่มองแคบแค่ภายนอกจะกลายเป็นคนกลุ่มน้อยไปแล้ว แค่พวกรุ่นเก่าล้าหลัง ซึ่งเราก็ห้ามไม่ได้ก็ปล่อยเขาไป ไม่อธิบายไม่พูดคุยใดๆ ทั้งสิ้น รู้สึกขี้เกียจจะคุยกับคนพวกนี้ ปล่อยๆ เขาไป
ภาพจาก : www.facebook.com/goh.m.family
– มีการช่วยเหลือสัตว์มาไว้ที่บ้านมากมาย จนถึงขั้นต้องหาบ้านใหม่เพื่อรองรับเลยหรือ? 
คือจริงๆ ผมอยู่หมู่บ้านจัดสรรทั่วไปแล้วหมาแมวมันก็เยอะขึ้นทั้งจากที่ผมเลี้ยงเองและที่ช่วยเหลือมา จนเริ่มมีปัญหา ก็ไม่ถึงขั้นเพื่อนบ้านมาต่อว่านะ แต่ผมก็เดาเองว่าคนบ้านใกล้เรือนเคียงละแวกนั้นเขาก็คงเริ่มเครียด คือที่บ้านเรามีเสียงสัตว์เยอะ ทั้งหมา แมว ไก่ ตอนนี้เอาหมูป่ามาเพิ่มอีก ร้องกรี๊ดๆ ทั้งวัน (หัวเราะ) ก็คิดว่าพื้นที่นี้คงไม่พอแล้ว บวกกับผมมีความฝันอยู่ว่าอยากจะมีที่ที่ปลีกวิเวก ออกจากเมืองไปอยู่ต่างจังหวะ และให้ผมมีที่เยอะๆ ให้พอเลี้ยงสัตว์ได้ตามใจ ผมก็จะทำแกลเลอรี่ส่วนตัวที่นั่นด้วย คือพอถึงจุดหนึ่งผมก็อาจไม่อยากออกมาแสดงงานข้างนอกแล้ว อาจจะเก็บไว้ดูคนเดียว (หัวเราะ) ก็คือทำเป็นแกลเลอรี่ ใครแวะมาก็มาดูกันได้ แต่หลักๆ ก็คือเลี้ยงสัตว์ เพราะฉะนั้นผมก็เลยหาที่หาทางที่จะมาเลี้ยง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะมีเงินนะ (หัวเราะ) แต่แบบว่าพยายามขับรถเสาะหาที่ที่มันถูกๆ ที่ที่ตัวเองพอจะมีปัญญาไหว จนมาได้ที่ที่ราชบุรี เลยเป็นที่มาของ ‘บ้านไร่ลุงเอ็ม’ นี่แหละครับ
 
– ใครเคยบอกไหมว่าแบบนี้เรียกว่า สุดโต่ง
โดนสิครับ เพื่อนผมนี่แหละเตือนประจำว่าผมขาดสติแล้วนะในเรื่องของการทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือสัตว์ เพราะว่าผมเริ่มเป็นหนี้ ผมรูดบัตรกระจุยเลย เวลาเจอหมาเจอสัตว์ผมก็ช่วยไว้ก่อน เอาเข้าโรงพยาบาลเลย ตรงไหนขอความช่วยเหลือมาผมก็รับหมด ทำหมันหมาแมว 40-50 ตัว บางตัวประสบอุบัติเหตุหนักๆ รักษาทีหลายๆ เดือน มันเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น ก็เลยเกิดเป็นภาวะหนี้มาช่วงหนึ่ง
จนผมมาหาทางออกได้ก็เพราะงานศิลปะ พูดเลยว่าศิลปะช่วยผมได้หลายอย่าง ผมลองเขียนรูปแล้วขายได้ ก็นึกได้ว่า ‘เฮ้ย มันไม่ต้องมาเกี่ยวกับเงินที่เราร้องเพลงแล้วนี่หว่า’ มันเหมือนผมใช้แค่แรงไม่ต้องลงทุน อาจมีแค่ค่าสีนิดหน่อยแต่ว่า ใช้แรงและทุ่มเทกับมัน
คนเขาคงเห็นความตั้งใจของผมว่าผมจริงจัง ก็เลยเริ่มทำผลงานก็มีทั้งภาพ งานพ่น งานดีไซน์ของ ดีไซน์แพ็คเกจ ทำผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อขาย  เป็นแบรนด์ของผมชื่อ โก๋เอ็ม แฟมิลี่ (Goh-m Family) เป็นกระเป๋า แก้ว พวงกุญแจ ของกระจุกกระจิก แล้วนำเงินมาเปิดบัญชีไว้เป็นเงินหมุนเวียนสำหรับช่วยเหลือสัตว์ เหมือนต่อยอดเงิน ในงานดีไซน์ทั้งหมดเป็นการออกแบบของผมเอง ฉะนั้นของทุกอย่างผมจึงถือว่าเป็นงานศิลปะ และเวลาวาดรูปผมก็จะใช้ ‘Goh-m Family’ เพราะว่าผมจะนำเรื่องราวจากลูกๆ ของผมนี่แหละมาออกแบบคาแรคเตอร์แล้วก็ทำงานด้วยชื่อนี้มาตลอด เหมือนเอาสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในตัวมาแบ่งปันให้เพื่อนร่วมโลก

– ได้ข่าวมาว่าจะมีงานใหญ่ในเร็วๆ นี้ เป็นการแสดงงานศิลปะเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิสัตว์? 
งานครั้งนี้ก็ใช้ชื่อ Goh-m Family เช่นกันครับ เป็นงานแสดงภาพเขียนและประติมากรรมของผม คือหลังจากที่ผมแสดงไปเมื่อต้นปี 2558 ก็รู้สึกว่าอยากทำอีก เหมือนแบบมันมีเรื่องราวในหัวเยอะ จริงๆ งานหลายตัวก็เสร็จตั้งแต่ตอนที่เราโชว์ครั้งก่อนแล้ว ระหว่างที่ทำงานในหัวมันคิดล่วงหน้าไปแล้ว วางแผนต่างๆ ไปก่อนแล้วว่าโปรเจ็คท์ต่อไปผมจะทำให้ออกมาในรูปแบบไหน ภาพทั้งหมดมันมีในหัวแล้ว พอได้กระบวนการทั้งหมดก็เริ่มลงมีสเก็ตไว้ ที่เหลือก็แค่การลงมือทำ
บวกกับเรื่องของสิทธิสัตว์ ตอนนี้บ้านเราเพิ่งจะมี พรบ.คุ้มครองสัตว์ ผมก็เข้มข้นมากในเรื่องของการตามติดอุตสาหกรรมสัตว์ในบ้านเรา ผมชอบดูเพจ ติดตาม และแชร์มากมาย บางคนก็บอกผมบ้าแชร์แต่เรื่องการฆ่า แต่ผมชอบที่จะดู ดูความเจ็บปวดของพวกเขาบ่อยๆ เหมือนพวกโรคจิต แต่มันจะสร้างเป็นแรงบันดาลใจอย่างดีในการทำงานของผม ขั้นตอนการฆ่ามันโหดร้ายกว่าที่คุณคิดมาก ผมก็อยากจะแชร์ให้ทุกคนได้เห็น แต่ว่าคนไม่ชอบเปิดดู ผมก็เลยนำมาถ่ายทอดแสดงในรูปแบบงานศิลปะ มันก็จะเป็นการบอกเล่าแบบอ้อมๆ ผมจะไม่พูดตรงๆ เพราะการพูดตรงๆ ผมว่ามันง่ายไป ก็พยายามทำเป็นเรื่องราว ให้มันสามารถสื่อให้คนรู้ได้ โดยเน้นเรื่องของอุตสาหกรรมสัตว์เป็นหลัก
เช่นภาพหนึ่งที่ชื่อว่า ‘นักเก็ต’ ผมก็จะวาดเป็นรูปลูกไก่โดนปั่น แต่ ผมจะทำให้ทุกอย่างมันเป็นยาหวานทานง่าย เพราะว่าผมจะเล่นเรื่องราวของป็อบอาร์ต ผมเคยทำดาร์กมากๆ เป็นขาวดำแบบโหดๆ แต่คนเขาก็ไม่ค่อยจะใคร่อยากดูนัก มันดาร์กไปคนเขาก็เหมือนจะตั้งกำแพงกับงานของเรา และไม่เปิดใจรับเรื่องที่เราต้องการสื่อ ผมอยากให้เด็ก เยาวชน หรือคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้ทางด้านศิลปะมาสนใจงานของผมผ่านสีสันที่คัลเลอร์ฟูล แต่พอดูแล้วจะทราบทันทีว่าผมต้องการสื่อถึงอะไร มันมีหลากหลายเรื่องราวในนั้น เช่น เป็นกองลูกหมูสีสันสดใสน่ารัก แต่จริงๆ มันคือตลกร้ายที่สะท้อนถึงเรื่องของอุตสาหกรรมสัตว์ มีการจัดวางเป็นเรื่องราวของมันเป็นเหมือนฉากในหนังที่ผมคิดไว้ สัตว์นั่งอยู่บนชิงช้าท่ามกลางฝนที่กำลังตก สะท้อนถึงความโดดเดี่ยว แล้วสัตว์แต่ละตัวผมเป็นคนช่วยมา มีเรื่องราวทั้งหมด เป็นความขมขื่น คือ ในจุดๆ หนึ่งสัตว์จะดูเคว้งคว้าง ต้องทนท่ามกลางฝนตามลำพัง คือคนจะเสพง่าย ได้รู้เรื่องราวง่ายๆ ผมจะไม่ค่อยอธิบายเรื่องงานศิลปะของผมให้คนอื่นฟังหรอก แต่ถ้ามีคนถามมาผมก็พูดได้ว่าเป็นแนวทางประมาณแบบนี้
อย่างที่บอกว่าผมวาดรูปเพื่อไปช่วยเหลือสัตว์ ฉะนั้นจากนี้ผมก็จะวาดอีก ถ้าผมยังไม่ตายก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ และเผอิญโชคดีมากๆ ที่ได้สปอนเซอร์ใจดีคือทางศูนย์การค้าเกษร พลาซ่า เขาชอบงานของผม ผมก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่มีผู้ใหญ่ใจดีที่ให้คุณค่ากับงานศิลปะและเห็นถึงความตั้งใจของเรา ก็ให้ทุนมาทำงานศิลปะ ให้สถานที่ในการจัดแสดง ดูแลรองรับเราทุกอย่างๆ ถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ ครั้งที่เราเคยทำมา เป็นงานที่จัดในห้างหรูกลางเมือง คนเยอะแยะมากมาย แล้วการเชิญแขกต่างๆ มันดูยิ่งใหญ่มากๆ ผมก็เลยตั้งใจจะลุยแบบสุดพลัง ถึงจะเหนื่อยแต่ก็มันดี โดยงานจะมีพิธีเปิดวันที่ 21 มกราคม 2559 เวลา 18.00 น. และแสดงเรื่อยไปจนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ ศูนย์การค้าเกษร แยกราชประสงค์
ภาพจาก : www.instagram.com/goh_m_buddha_bless
– คิดว่างานนี้จะให้อะไรกับสังคมบ้าง
ถ้าในเรื่องของศิลปะผมก็อาจเป็นแค่จุดเล็กๆ ในสังคมและคนทำงานศิลปะที่อยากจะให้วงการศิลปะมันคึกครื้น ผมก็ถือเป็นหน้าใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ก็ทำงานเพนท์มาน้อย แต่วันนี้มีโอกาสได้ทำแล้วก็อยากให้มันต่อยอดให้กับวงการศิลปะได้ตื่นตัว ก็คาดหวังให้คนที่มางานจะได้อะไรบางอย่างที่ผมต้องการจะสื่อ ด้วยที่ผมไม่จำเป็นต้องไปเล่าอะไรมากมาย อยากให้เขาดูผลงานแล้วซึมซับกันไปเอง มันเป็นโจทย์ของผมเองด้วยแหละ ตั้งแต่ที่ผมทำงานมา การที่ไม่ต้องบรรยายหรืออธิบายเกี่ยวกับตัวงานแล้วคนดูรู้สึกไปได้กับผลงาน ผมถือว่าตอบโจทย์แล้ว เขาดูแล้วเกิดความรู้สึก เราเองก็โอเค ส่วนเรื่องของสิทธิสัตว์ก็แล้วแต่คนเขาจะคิด

– คาดหวังกับงานนี้แค่ไหน
คือแรกๆ ผมคาดหวังอยากให้คนมาเยอะๆ ในการแสดงงานของผม คนเยอะๆ มันดูสวย ถ่ายภาพออกมาแล้วดูดี แต่มาตอนหลังผมช่างมันแล้ว ใครมาหรือไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับคนที่มา ถ้าผมลงไปไหว้ทีละคนได้ผมจะทำจริงๆ เพราะเขาต้องสละเวลาอันมีค่าของเขามา มันเป็นวันธรรมดาที่ต้องฝ่ารถติดมาที่เกษรฯ คนที่มางานนี้ คือคนที่อยากดูงานศิลปะจริงๆ สำหรับผมงานศิลปะมันมีคุณค่ามาก มันอยู่ในทุกยุคทุกสมัย แล้วมันมีราคา ฉะนั้น คนที่ให้ค่ากับงานศิลปะขนาดที่มาดูงานของผม ซึ่งไม่ใช่คนดังอะไร ผมแทบอยากจะกราบเท้าขอบคุณเลย ถึงจะเป็นคนจำนวนน้อยที่มาดู แต่ผมจะถือว่าเป็นคนคุณภาพที่ตั้งใจมาดูงานศิลปะจริงๆ การเล่นคอนเสิร์ตมันเป็นที่สนใจอยู่แล้วด้วยแสง สี เสียง แต่การดูงานศิลปะในบ้านเราบางงานคนน้อยมากๆ ผมก็อยากจะขอบคุณทุกท่านที่มาในงานล่วงหน้าเลย ขอบคุณมากๆ จากใจจริงๆ เลยครับ เพราะผมทำงานนี้อย่างเต็มที่มากๆ การเพนท์การลงสีมันไม่ยากหรอกครับ แต่กระบวนการการสร้าง การที่ต้องต่อสู้กับจินตนาการตัวเองนี่แหละที่มันคือความยาก ผมเลิกดูงานศิลปะมานานมากแล้ว และผมก็ไม่มีไอดอลด้วย เพราะผมไม่อยากได้ภาพจำมาจากศิลปินท่านไหนสักคนเลย ผมก็ไม่ใช่ศิลปินนะ ผมพยายามบอกตัวเองว่าผมเป็นแค่ช่างรับเหมาคนหนึ่ง ผมทำงานด้วยความลำบาก ด้วยความเหนื่อย ฉะนั้น ช่างรับเหมาคนนี้กำลังจะแสดงภาพเขียน มันทำด้วยความเต็มที่มาก จนมันเสร็จ ถ้าใครมาก็ขอขอบพระคุณมากๆ

– สังคมไทยปัจจุบันมองเรื่องของสิทธิสัตว์มากน้อยแค่ไหน 
น้อยมากๆ น้อยมากจนน่าตกใจ เพราะว่าราชการหรือหน่วยงานที่น่าจะรู้ข้อกฎหมายเยอะกว่าผม เขายังทำผิดเรื่องสัตว์อยู่เลย มีระบบการดูแลและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสัตว์แบบผิดๆ อยู่เลย วางยาบ้างล่ะ สั่งเทศบาลมาจับบ้างล่ะ ซึ่งๆ จริงๆ มันมีวิธีแก้ปัญหาที่ถูกกว่านั้น เช่น ถ้ามันเยอะก็จับทำหมันสิ ดูแลให้มันอยู่ในจำนวนที่ดูแลได้ ไม่ปล่อยปะละเลย คือถ้าเราร่วมแรงร่วมใจกันคนละไม้คนละมือปัญหามันจะไม่บานปลายขนาดนี้หรอก มันเป็นอะไรที่น่าตกใจที่คนบ้านเมืองเรายังคิดแบบนี้ อย่างในยุโรป คนรักสัตว์มากๆ นะ ฝรั่งเขามีอารยะธรรมในเรื่องของสิทธิสัตว์ที่ดีกว่าเรามากๆ เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่าบ้านเรา คนสำคัญๆ ในโลก เช่น ท่านมหาตมา คานธี ยังกล่าวไว้ในทำนองที่ว่า จะดูคุณค่าจิตใจคนของประชากรในประเทศนั้นๆ ไม่ต้องดูอะไรยาก ให้ดูว่าประชาชนประเทศนั้นๆ เขาปฏิบัติกับสัตว์เลี้ยงอย่างไรเท่านั้นเอง ผมก็ว่าจริง ถ้ามันยังดูป่าเถื่อนอยู่ จิตใจก็ยังคงไม่ถูกยกระดับ แต่ปัจจุบันก็เริ่มดีขึ้นนะ คือ พอระบบโซเชียลมันเข้าไปถึง มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆขึ้นมาคนเริ่มอินมากขึ้น มีจิตใจบอบบางลงมีเมตตา มากขึ้น ก็ถือว่าดีมากๆ ก็ขอให้ทุกคนช่วยๆ กัน ราชการก็ควรขยับตัวหน่อย พอมีกฎหมายแล้วก็ต้องบังคับใช้ด้วยเพื่อเป็นตัวขู่
 
– มองการสนับสนุนของภาครัฐต่อเรื่องนี้อย่างไร
ก็ไม่ค่อยชัดเจนนะ เหมือนมีเป็นแคมเปญออกมาบ้างเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ต่อเนื่อง มีมาแล้วก็จบไป เป็นช่วงๆ แล้วก็หายไป ผมว่าถ้ามีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามมันจะจุดติดและมีประโยชน์ ถ้ามาแบบขาดๆ หายๆ ผมว่ามันสิ้นเปลืองเปล่าๆ 

– ฝากถึงผู้คนทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิสัตว์สักหน่อย
ผมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญนะ อย่างถ้าคูณรู้จักกับคนที่วางยาหมา ผมถามว่าคุณรับได้ไหม? ต่อให้หล่อสวยแค่ไหนผมก็รับไม่ได้ ผมว่ามันดูโหดร้าย แล้วสัตว์ถ้าได้ผู้พันได้เรียนรู้ อย่างเช่นหมาแมวเนี่ย เขารู้เขาสัมผัสได้นะ อย่างผมเองก็ยอมรับว่าไม่ได้เลี้ยงดีเด่อะไร แต่ผมก็รู้สึกว่าผมสัมผัสอะไรหลายๆ อย่างได้ ว่าความรักของสัตว์มันมีอยู่จริง เขาซื่อสัตย์จริงๆ เจ้านายจะทิ้ง จะตี หรือทำร้ายอะไรเขาก็ยังรัก สุดท้ายความบอบบางของเขาก็ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ควรจะไปรังแก หรือทำอะไรที่มันเกินเลย และหากคุณทำอะไรที่มันเกินเลยแล้ว ต้องได้รับโทษ ต้องมีกฎหมายที่มันคุ้มครองสิทธิสัตว์ตั้งนานแล้ว ขนาดคนยังมีเลย ทำไมสัตว์ถึงไม่มีล่ะ เราไม่ควรแยกกันเพราะเขาก็เจ็บปวดและทรมานเป็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้กฎหมายมีแล้วจะทำอะไรก็คิดกันดีๆ ฝ่กเอาไว้ว่าสัตว์มันก็มีหัวจิตหัวใจ ถ้าไม่ชอบก็เฉยๆ ไปซะ ไม่ต้องถึงกับแสดงออกว่าไม่ชอบมาก หรือถึงขนาดไปทำร้ายมัน ก็อย่างที่ท่านมหาตมา คานธี ท่านกล่าวแหละครับ ‘จะดูจิตใจคนว่ายกระดับหรือยัง ก็ดูจากการกระทำกับสัตว์นี่แหละ’
 
 
Facebook : www.facebook.com/goh.m.family
Instagram : goh_m_buddha_bless

เรื่อง : อิทธิพล เนียมสวัสดิ์
ภาพ : พานุวัฒน์ เงินพจน์

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE