BIG BOOK
by : เชาวเรส บุณยพานิช
เครื่องฉายหมุนฟิล์ม 35 มม. ไม่เร่งร้อน หนังม้วนสุดท้ายยกขึ้นมาเตรียมไว้เพื่อรอต่อก่อนที่ม้วนที่กำลังฉายอยู่จะหมด หนามเตยพาฟิล์มมาจากโรล ป้อนมารอที่ประตูฟิล์มเลื่อนภาพมาดึงไปทีละเฟรม อัตราเฉลี่ย 24 ภาพต่อวินาที
ไอ้หนุ่มหน้าเป็นปาดยิ้มหนึ่งที พลางหันไปหมุนโรล ในหัวกำลังคิดว่าจะให้นางเอกเป็นลูคีเมีย หรือให้อัมพาตกินทั้งตัวดี แล้วจะให้ผู้ร้ายใส่จีสตริงสีอะไรถึงจะเหมาะ เราส่งเสียงเพื่อกำจัดความคิดเพี้ยนๆ ในหัวเขา
เริ่มกันได้แล้วเหอะ
ไม่ใช่หมอน หากเป็นหนังสือเล่มโตหนา 600 กว่าหน้า เต๋อหยิบมาปาดคราบที่คาดว่าจะเป็นน้ำลายบูดเนียนๆ ชื่อเรื่อง “ปั้นหนังเป็นตัว” จากต้นฉบับ Which Lie Did I Tell? ของ วิลเลี่ยม โกลด์แมน นักเขียนบทและผู้กำกับระดับโลก ที่นำประสบการณ์ต่างๆ อันเป็นบทเรียนอย่างดีเยี่ยมให้แก่ผู้ที่รักหนังมาแชร์กัน แปลโดย ไบโอสโคป
“หลายครั้งที่มันยาก แล้วเราก็สะเปะสะปะ หมายถึงว่า บทเราไม่รู้จะคิดอะไร จนผมได้อ่านหนังสือเนี่ย ทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีการคิดที่เป็นระบบ ช่วยให้งานของเราง่ายขึ้น สร้างแรงบันดาลใจให้สร้างผลงานดีๆ อย่างที่เขาเคยทำ การเขียนบทมันก็มีหลายวิธี สไตล์แตกต่างกัน ผมรู้สึกว่าที่ทำอยู่มันเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วสบายใจ วิธีเขียนบทของผมก็ไม่ได้มาจากในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด ไม่ได้ก๊อปออกมาทำขนาดนั้นนะ แต่ว่าเหมือนบางครั้งบางตัวอย่าง บางธีม บางอันที่เขาคิดขึ้นมา มันทำให้เราแบบ อืม โรแมนติกดี แล้วเราก็เกิดแรงบันดาลใจที่อยากทำให้ได้แบบนั้นบ้าง”
“ความรักในภาพยนตร์เป็นแรงบันดาลใจของผมในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านไหนก็ตาม บังเอิญจับพลัดจับผลู ได้ไปเริ่มงานเขียนบท แล้วพอเขียนบทปั๊บ มันเป็นสิ่งที่ผมสนุกกับมัน ผมเลยเริ่มเขียนบท ทั้งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเขียนบทเลยในตอนแรก คนที่สอนผม คือ พี่เก้ง-จิระ มะลิกุล แล้วจนวันนึง เริ่มพัฒนาขึ้นมา ผมก็ยังรู้สึกว่าความคิดผมมันสะเปะสะปะ โกลด์แมนเป็นผู้ชี้นำ ชี้ทางให้ผมทำในสิ่งที่ผมหาเลี้ยงชีพ”
จอผ้าใบปรากฏภาพ – ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหญิงสาวถึงมาเที่ยวคนเดียว เธอตอบง่ายๆ เที่ยวคนเดียวไม่ต้องเกรงใจใคร อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องทะเลาะกับใคร อาจเพราะคะนอง ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ งั้นเรามาเที่ยวด้วยกันมั้ย ถ้าเธอไม่ชอบเที่ยวกับคนรู้จัก เราก็ไม่ต้องรู้จักกัน เขายิ้มร่า เราจะเป็นแค่คนแปลกหน้าสองคนที่ไปเที่ยวด้วยกัน
“พูดตามตรง ผมไม่ได้มีความคิดที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้เลยตั้งแต่แรก เพราะว่าหนึ่งผมไม่ได้อินอะไรกับหนังสือเกาหลี และสอง ผมมีความเข้าใจว่ามันคือหนังสือท่องเที่ยว แบบท่องเที้ยวท่องเที่ยวอะครับ ซึ่งผมไม่ค่อยชอบ จนกระทั่งวันนึง พี่โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับกวนมึนโฮเนี่ย เขาแนะนำให้ผมอ่าน บอกอยากเขียนบทหนัง แล้วอยากชวนผมไปเขียนด้วย หนังสือเล่มนี้ต้องอ่านเลย สองเงาในเกาหลี เขาตั้งใจเอามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนัง พอผมอ่านไปปั๊บ ผมไม่รู้สึกถึงความเป็นหนังสือท่องเที่ยวเลย แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือ ผมอยากไปมากอ่ะ เกาหลี อยากไปเจอสิ่งเหล่านี้ที่เขาเจอในหนังสือ อ่านไปจบรู้สึกยิ้ม ยิ้มกับตอนจบของเรื่อง มันไม่ได้ฟีลกู้ดแบบที่โอ้ยแฮปปี้แอนดิ้ง เรามีความสุขอะไรแบบนี้ มันฟีลกู้ดแบบอารมณ์ดีในใจ ผมว่าผมอ่านแล้วเคยมีความรู้สึกเหมือนตัวละคร และผมรู้ว่าเขามีความสุขยังไง เขายิ้มยังไง”
จอผ้าใบปรากฏภาพ – โอภาส ตำรวจสุดซื่อไฟแรง แห่งหน่วยเอเอสไอ ปฏิบัติภารกิจเกิดพลาดท่าล้มหัวฟาดกับศาลเจ้าที่สุดเฮี้ยน หลังจากนั้นหมวดก็สัมผัสกับเรื่องประหลาด ทั้งมองเห็นวิญญาณ คุยกับกุมารทอง และนอนข้างๆ ผีแม่ม่าย ความกลัวจึงผุดขึ้นสมองพร้อมกับเสียงร้องแต๋วแตกยิ่งกว่ากระจั๊วบินมาเกาะคอ
“ชอบอ่านงานของ อรสม สุทธิสาคร เขาจะเขียนหนังสือเป็นอารมณ์แบบสารคดีเกี่ยวกับด้านมืด ปัญหาสังคมทุกอย่างที่เกิดขึ้น สิ่งที่เลวร้ายที่เขียนทั้งหมดก็มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด คนนั้น คนนี้ก็จะมีแง่มุมต่างๆ มาเล่าให้ฟัง สังคมไทยมันมีความรุนแรงซ่อนอยู่ แล้วมันก็มากระตุ้นให้เราอยากทำอะไรให้ดีขึ้น วัยรุ่นพันธุ์เอ็กซ์ อาชญากรเด็ก สนิมดอกไม้ และอีกหลายเล่มที่กล่าวถึงเรื่องน่ากลัวทั้งนั้น ยาเสพติด การค้าประเวณี มันรุนแรงมาก บางคนโดนหลอกมาขายตัว บางคนก็เป็นเด็กจรจัดที่ถูกลักพาตัวมา ถ้าสมมติเราไปนั่งดูหนัง เราก็รู้สึกร้องไห้ รู้สึกเสียใจไปกับตัวละครนั้น อันนี้คือความเศร้าของหนัง ถ้าเราดูหนังมันจบไป เรามาเจอดารา ดาราเขาไม่ได้เศร้า แต่ในหนังสือนั้นทั้งหมดมันคือความจริง เจ็บจริง”
“การอ่านมันคือการต่อยอดประสบการณ์ในชีวิต โลกใบนี้มันคือโรงเรียน แต่คุณครูก็จะสอนในสิ่งที่อยู่ในหนังสือ แล้วตัวอักษรทั้งหมดมันจะบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละยุค เราอ่านหนังสือเก่าเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว เราก็จะได้ความคิดของคนในยุคนั้นมา ซึ่งล้าสมัยไปแล้ว มันอาจไม่ดีก็ได้ เมื่อเรารู้ว่ามันไม่ดีเราก็เกิดความคิดที่อยากจะปรับปรุงให้มันดีขึ้น ต่อยอดประสบการณ์ ต่อยอดความคิดของเราไปเรื่อยๆ ยิ่งอ่านเยอะมันก็ยิ่งดี”
จอดับ มหรสพจบลง ทุกอย่างเงียบงัน แต่พลังงานพวกความคิดสร้างสรรค์ยังหมุนไปตามโรล หนามเตยโดนกระตุกอีกครั้ง ไม่ใช่ที่เครื่องฉาย แต่เป็นในหัวของใครบางคน
ATM ผลงานล่าสุดของ “เต๋อ”
กวน มึ นโฮ เขาและเธอ คนสองคนที่ไม่รู้จัก แต่รักกัน
หมวดโอภาส กับปฎิบัติเรียกเสียงฮาพร้อมความพิลึก และ บรื๋อของสารพัดคดี