อาจจะดูว่าเป็นเทพด้านนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ ที่ผสานเรื่องราวยุทธจักรและการต่อสู้เข้าด้วยกันได้อย่างแนบเนียน แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้งานเขียนของนักเขียนเรืองนามแห่งเกาะฮ่องกง คงประจักษ์ชัดกันเป็นอย่างดีว่า เสน่ห์อย่างหนึ่งในนิยายของหวงอี้ซึ่งต่อเติมสีสันให้บทประพันธ์ของเขาได้เป็นอย่างดี ก็คือ ฉากรักอีโรติก หรือเลิฟซีน
หลังว่างเว้นจากการเขียนนวนิยายเรื่องใหม่ไปถึง 5 ปี ตอนนี้ งานเขียนเล่มใหม่ของหวงอี้กำลังถูกส่งออกจากเกาะฮ่องกง โลดแล่นสู่ยุทธจักรนักอ่าน ภายใต้ชื่อ “เหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ” ซึ่งความน่าสนใจของยุทธนิยายชิ้นนี้ ตามที่หวงอี้กล่าวเกริ่นไว้ ก็คือ มันเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่าง “เจาะเวลาหาจิ๋นซี” และ “มังกรคู่สู้สิบทิศ”
ถ้อยคำนี้มีความหมาย ชนิดที่ต้องไล่เรียงบทสนทนาด้านล่างลงไปเรื่อยๆ เท่านั้น ถึงจะเข้าใจได้แจ่มชัด ผ่านปากคำของ น.นพรัตน์ ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งการแปล ซึ่งถ่ายทอดนวนิยายกำลังภายในสู่ภาษาไทยให้นักอ่านบ้านเราได้สัมผัสกัน
ราคะ คือ ธรรมชาติของปุถุชน แล้วจะแปลกอันใด หากคนเขียนนิยายจะใส่ “เรื่องราวของคน” หลากหลายด้านลงไปในเนื้องานของตนเอง ไม่เว้นแม้กระทั่ง…เรื่องเพศ…
ย้อนรอยหวงอี้
ก่อนจรดปลายปากกาเรตเอ็กซ์
ฟังว่า บุรุษนักเขียนนามอุโฆษผู้นี้ ริเริ่มกระบวนท่าการเขียนนิยายยุทธจักรเมื่อราวๆ ปี 1987 ทว่าตอนนั้นยังไม่มีแรงมุ่งมั่นบนเส้นทางสายนักเขียนอาชีพ ทางหนึ่งทำงานประจำไป ทางหนึ่งก็เขียนหนังสือแบบซ้อมมือเล่นๆ ไป กระนั้นก็ดี หวงอี้ยุคนั้นก็ยังมีงานเขียนออกมาถึง 2 เล่ม กล่าวคือ “ขุนศึกสะท้านปฐพี” กับ “เทพทลายนภา” เรื่องแรกเป็นนวนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ ส่วนอีกเรื่องเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ล้วนๆ จากคำบอกเล่าของ น.นพรัตน์ ทราบว่าทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้ข้องแวะกับเรตเอ็กซ์เรตอาร์อะไรเลย หากเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
“เทพทลายนภา กล่าวถึงนักสู้คนหนึ่งที่ค้นพบสุดยอดวิชาแล้วก็หลีกเร้นกายออกไปนอกโลกเลย ส่วนขุนศึกสะท้านปฐพีเป็นเหตุการณ์อิงประวัติศาสตร์ก่อนยุคเจาะเวลาหาจิ๋นซี ซึ่งก็คือยุคเลียดก๊ก และมีตัวละครสำคัญคือ ซุนวู หมายความว่า พระเอกของเรื่องไปสวมรอยเป็นซุนวู หวงอี้ดึงเอาชื่อของบุคคลในประวัติศาสตร์มาสร้างเป็นตัวละครของเขาในเรื่องนี้”
เมื่อประลองฝีมือด้วยนิยายสองเรื่องแบบไม่คิดหวังว่าจะจริงจังกับเส้นทางสายนักเขียน แต่ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ หวงอี้จึงผละจากงานประจำเข้าสังกัดสำนักพิมพ์ซึ่งตีพิมพ์งานเขียนสองเรื่องแรกของเขา จากนั้นจึงเริ่มต้นเขียนขึ้นอีกชุด คือชุดผจญภัยข้ามขอบฟ้า ก่อนจะให้กำเนิดนิยายเรื่องสำคัญอย่าง “เทพมารสะท้านภพ” ซึ่งเป็นเรื่องที่จบในตอน ตัวละครในเทพมารสะท้านภพ นามว่า “ล่างฟานหวิน” ค่อนข้างสูงวัย และเพราะเหตุว่าเรื่องนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในตอนนั้น จึงทำให้มีการเขียนภาคต่อมา มันคือช่วงเวลาที่หวงอี้เริ่มต้นวิถีแห่งนักเขียนอาชีพ เขาตั้งสำนักพิมพ์ของตัวเองในช่วงปี 1992 ซึ่งเขากำลังเขียนเรื่องเทพมารสะท้านภพ พอขึ้นเล่มสองและจบตัวละครล่างฟานหวินแล้ว เขาก็สร้างตัวละครใหม่ขึ้นมาชื่อว่า “หานป๋อ” อันเป็นที่มาของฉากวาบหวิวที่ทำให้คนอ่านสยิวไปตามกัน
“ตอนนั้นต้องเข้าใจว่า หวงอี้เองก็ต้องการเรียกแขก” น.นพรัตน์ ว่าพลางจิบชาไปพลาง “ก็เลยใส่เรื่องเซ็กซ์เข้าไป แต่การเขียนของเขาก็ไม่ได้เป็นเรื่องหยาบโลนอะไรนะ ก็มีเหตุผลประกอบ อย่างเช่น วิชาที่หานป๋อฝึกนั้น หากว่าได้ไปร่วมอภิรมย์กับเพศตรงข้าม จะทำให้มีพลังฝีมือเพิ่มขึ้น นี่คือเหตุผล และหวงอี้ได้ค้นพบว่าประชาชนต้อนรับดี หลังจากนั้นประมาณปีสองปี เขาจึงเริ่มเขียนเจาะเวลาหาจิ๋นซีควบคู่กันไป ดังนั้น ก็เท่ากับว่า ระหว่างที่เขาเขียนเทพมารสะท้านภพ เขาก็เขียนเจาะเวลาหาจิ๋นซี เดือนหนึ่งก็ออกสองเล่ม ช่วงนั้นแหละครับที่เป็นช่วงที่เขาใส่เรตเอ็กซ์เข้าไปมากหน่อย”
ปลดกระดุม ‘เจาะเวลาหาจิ๋นซี’
เจาะเวลาหาอีโรติก
ขณะสนทนาพูดคุย น.นพรัตน์ ใช้สำนวน “เรตเอ็กซ์” อยู่หลายครั้งกับยุทธนิยายชื่อดังอย่าง “เจาะเวลาหาจิ๋นซี” จนผู้น้อยอย่างเราเกิดจิตสงสัยใคร่รู้ว่ามัน “เอ็กซ์” ถึงเพียงไหน?
“จริงๆ ก็ยอมรับว่า เจาะเวลาหาจิ๋นซี เล่ม 1 ถึงเล่ม 3 หวงอี้ใส่ฉากเรตเอ็กซ์เข้าไปเยอะเลยล่ะ” ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งวงการนิยายกำลังภายใน ให้ข้อมูล “แต่ถ้าคิดตามเหตุผลประกอบซึ่งคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ให้ไว้ ผมว่าน่าฟัง เพราะถ้าเราดูที่ยุคสมัย ตอนนั้นมันคือยุคเลียดก๊ก แล้วยุคนั้น รัฐฉินของจิ๋นซีตั้งอยู่ที่ชายแดนตะวันตก มันคล้ายๆ กับยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน”
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งรัฐเจ้ารัฐฉานอะไรก็ตามที่อยู่ทางฝั่งชายทะเลตะวันออกของประเทศจีนตอนนี้ พวกเชื้อพระวงศ์หรือคุณชายต่างๆ ก็มีการชุบเลี้ยงนางสนมและพวกนางระบำ ฉะนั้นจึงเห็นว่า การยกนางระบำให้กับคนที่ชอบพอกัน หรือว่ายกให้เพื่อหวังผลทางการเมือง มันเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่ตัวละครเอก เมื่อเข้ามาอยู่ในรัฐฉิน ก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่า สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนมีเหตุผลประกอบ
“ทีนี้ หลังจากที่เขาเขียนเจาะเวลาหาจิ๋นซี เราต้องยอมรับข้อหนึ่งว่า ความคิดของหวงอี้ที่นำปัจจุบันย้อนไปอดีต เป็นความคิดที่แปลกใหม่ เขาเคยให้สัมภาษณ์ตอนที่ไปไต้หวันครั้งหนึ่งว่าเขาก็ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือฝรั่งนั่นแหละ แต่ว่าเขาก็สอดใส่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เข้าไป เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็ทำให้เขาชื่อเสียงโด่งดังมาก ผมเข้าใจว่ามันมีทั้งเสียงชมและเสียงด่านั่นแหละ เพราะว่าใส่ฉากเซ็กซ์เข้าไปเยอะ ทีนี้ พอหวงอี้มาเขียนเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศ ซึ่งเขียนต่อจากเจาะเวลาหาจิ๋นซี แกก็กลับมาทบทวนว่าควรจะเขียนฉากเรตเอ็กซ์เข้าไปอีกดีหรือเปล่า สุดท้ายก็สรุปว่า ตัดทิ้งไปหมดเลย ไม่มีฉากอีโรติกเลย”
อย่างน้อยหนึ่งหน หวงอี้เคยให้สัมภาษณ์ว่า มังกรคู่สู้สิบทิศเหมือนกับการรับประทานอาหารเจ ดังนั้น เมื่อทางไต้หวันมาขอซื้อลิขสิทธิ์เจาะเวลาหาจิ๋นซีไปพิมพ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ทีวีบีนำไปสร้างเป็นละคร หวงอี้จึงกลับมาทบทวนว่าจะแก้ไขปรับปรุงใหม่ โดยตัดทอนฉากเรตเอ็กซ์ทิ้งไปในฉบับไต้หวัน รวมทั้งฉบับปรับปรุงใหม่ที่เขาพิมพ์ที่ฮ่องกง ก็เลยเกิดมีสองเวอร์ชันขึ้นมา
มีข้อมูลที่น่าสนใจมากว่า คนที่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่นั้น ได้อ่านนิยายของหวงอี้ล่าช้ากว่าคนประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยเรา นับสิบปี เนื่องจากว่าเพิ่งมีการซื้อขายลิขสิทธิ์กัน ก็เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 หรือราวปี 2000 เศษๆ นี้เอง
“เมื่อหวงอี้ได้ขายลิขสิทธิ์ให้กับสำนักพิมพ์ในจีนแผ่นดินใหญ่ หวงอี้ก็เลยนำเอาฉบับที่ตัดเรตเอ็กซ์ทิ้ง ไปพิมพ์ขายในจีนแผ่นดินใหญ่ จนมีหลายคนบ่นว่า มันเทียบกับฉบับเก่าซึ่งพิมพ์ที่ฮ่องกงไม่ได้ รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย” ซึ่ง…ฉากอีโรติกยังไม่ถูกตัดตอน
เปลือย…3 นิยายยุทธจักร
จัดหนักฉากเลิฟ
สนทนากันมาถึงขั้นนี้ หลายคนคงอยากรับทราบให้แจ้งชัด ว่าถ้าจะวัดความเจนจัดในการใส่ฉากสังวาสลงไปในงานเขียนของหวงอี้นั้น แท้ที่จริงแล้ว มันมากน้อยแค่ไหนอย่างไร “เล่าฮู”*** ผู้เป็นสะพานภาษานำพานิยายของหวงอี้สู่การรับรู้ของคนไทย กล่าวว่า นักเขียนชาวฮ่องกงผู้นี้ได้เขียนนิยายที่มีฉากอีโรติกไว้ทั้งหมด 3 เรื่องด้วยกัน
“หนึ่งคือ เจาะเวลาหาจิ๋นซี หนึ่งคือเทพมารสะท้านภพ และอีกหนึ่งคือ ปรมาจารย์กระบี่ เรื่องสุดท้ายนี้ ผมยังไม่ได้แปล เรียนตามตรงนะครับว่าผมเคยคุยกับหวงอี้ว่าจะขอแปลเรื่องนี้ได้หรือเปล่า เขาก็บอกว่าถ้าคุณแปล คุณก็ช่วยตัดให้หน่อย หมายถึงตัดฉากเอ็กซ์ทิ้งให้หน่อย ตอนนี้ต้องทำความเข้าใจอย่างหนึ่งว่าหวงอี้แกมีชื่อเสียงแล้ว แกก็เขิน จนถึงตอนนี้ก็เลยยังไม่มีข้อสรุปว่าจะแปลหรือเปล่า”
กามคุณมักบังเกิดด้วยการกระตุ้นเร้า คำถามสำคัญก็คือ แล้วฉากรักในนิยายของหวงอี้มีความหวามไหวถึงเพียงไหน มันมีพลังเพียงพอปลุกเร้าราคะวาบหวิวของผู้คนได้หรือเปล่า? เราถาม น.นพรัตน์
“ถ้าโดยส่วนตัวผม อายุเลขหกแล้ว มันไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะ (หัวเราะ) คือผมว่าขึ้นอยู่กับแต่ละคนมากกว่า ว่าจะจินตนาการต่ออย่างไร มันไม่ได้เห็นภาพ อย่างน้อยๆ คุณไปจินตนาการเอา ผมว่ามันลดกิเลสตัณหาเยอะนะ มันคงไม่ถึงกับดูแล้วเกิดอารมณ์ มันก็เป็นเพียงแค่ความสนุกสนานบันเทิงอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง
“ก็อย่างที่หวงอี้พูดนั่นแหละครับ เซ็กซ์คือการแสดงออกตามธรรมชาติของมนุษย์ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรต้องปกปิด และจากการสัมผัสกับชีวิตของหวงอี้ เห็นว่า ในชีวิตเขาก็มีผู้หญิงคนเดียว คือภรรยาของเขา ไม่มีข่าวอื้อฉาวอะไรเลย ตรงกันข้ามกับโก้วเล้ง อย่างสมัยโน้นก็มีข่าวมาตลอด มีผู้หญิงหนีตาม อะไรทำนองนั้น ก็เกิดเรื่องเกิดราวฟ้องร้องกัน ก่อนโก้วเล้งจะแต่งงาน”
เมื่อตรองตามความจริงข้อนี้ “จอมยุทธ์หวงอี้” ไม่น่าจะมีความซุกซนในเรื่องอย่างว่าแต่อย่างใด แต่เหตุไฉน ในนิยายจึงดูมีความซุกซนถึงเพียงนั้น?
“เหตุผลแรก ผมคิดว่าเป็นเรื่องของการตลาด คือเพื่อการขาย แล้วอีกอย่างถ้าฟังตามที่เขาให้สัมภาษณ์ก็จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิด แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเราไปอ่านสำนวนของเขาจริงๆ จะพบว่าเขาก็ไม่ได้บรรยายแบบเรตเอ็กซ์นัก เขาก็บรรยายในแบบของรัก และบรรยายได้อย่างสละสลวย อย่างในเรื่องเทพมารสะท้านภพ ผมจำได้อย่างแม่นยำในฉากหนึ่ง เป็นฉากเอ็กซ์ที่โรแมนติกที่สุดเท่าที่ผมเคยแปลมา”
สะพานภาษาแห่งแวดวงยุทธจักร ยกตัวอย่างหนึ่งฉากในนิยายเรื่องดังกล่าวให้ฟังว่า เมื่อนางเอกซึ่งฝึกวิชาประเภทกึ่งๆ เซียนมา ได้พบเจอกับพระเอกซึ่งได้แก่หานป๋อ “จิตแห่งเซียนก็หวั่นไหว” นำไปสู่การร่วมรักบนหอสูง ผ่านการบรรยายที่ไม่หยาบโลน แต่ “เป็นบทพิศวาสที่โรแมนติกมา” ในมุมมองของ น.นพรัตน์
“ผมคิดของผมแบบนั้น และหลายเสียงที่ได้อ่าน เขาก็เห็นด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า การใช้ภาษาของหวงอี้เกี่ยวกับฉากพิศวาสนี่ เขาใช้ได้อย่างสละสลวย ไม่โจ๋งครึ่มเกินไป และผมที่ถ่ายทอดหรือแปลออกมา ก็ไม่ได้หยาบโลนอะไร แต่ก็เคยเสียวๆ อยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน ตอนที่รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นมาบริหารประเทศ กลัวว่าเขาจะปราบหนังสือพวกนี้ ซึ่งถ้าปราบจริง เทพมารสะท้านภพต้องโดนด้วยอย่างแน่นอน แต่ก็รอดมาได้”
คลี่ปีก ‘เหยี่ยวมารฯ’
หรือ ‘วิจิตรกามา’ จะหวนมาอีกหน?
จากวงในของคอนิยายยุทธจักรเกี่ยวกับบทประพันธ์ชิ้นล่าสุดของหวงอี้ แว่วๆ มาว่า ลีลาแห่งฉากรักในเรื่อง “เหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ” นั้น มิใช่ย่อย ในฐานะผู้แปล น.นพรัตน์ ยกชาขึ้นจิบเบาๆ ท่าทีครุ่นคิด ก่อนกล่าว
“ผมคิดว่ามันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมอีกเหมือนกัน เหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ เป็นเรื่องของบูเช็กเทียน ซึ่งว่ากันตามจริง ชื่อนิยายในภาษาจีนของเรื่องนี้ คือชื่อของบูเช็กเทียน แล้วพระเอกบังเอิญว่าไปฝึกวิชาที่บูเช็กเทียนอยากได้ ก็เลยจับตัวพระเอกมากักไว้ในวังแล้วบังคับให้พระเอกเขียนคัมภีร์วิชาที่บูเช็กเทียนต้องการแต่หาไม่ได้ วันละบท และสำหรับบูเช็กเทียน เราก็จะรู้อยู่แล้วว่าพระนางจะมีบุรุษรับใช้จำนวนมากหลังจากขึ้นครองราชย์ แต่นางกำนัลไม่มี ดังนั้น พอดึงตัวพระเอกเข้ามาด้วยจุดประสงค์ที่ว่า ก็เลยหยิบยื่นนางกำนัลให้พระเอก
“ในบรรดานางกำนัลทั้งหมด ผมคิดว่าคนอ่านน่าจะชอบนางกำนัลที่ชื่อว่า “เหรินหยา” เหมือนๆ กัน เพราะวิธีบรรยายของหวงอี้ ทำให้ภาพของนางกำนัลคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่เหลวแหลกอะไรเลย แต่บรรยายอย่างบริสุทธิ์ และพอพระเอกเห็น ก็รู้สึกชอบพอขึ้นมา บูเช็กเทียนก็เลยยกนางกำนัลคนนี้และนางกำนัลอีกชุดหนึ่งให้พระเอก มันก็เลยมีความเป็นไปได้ว่า มันต้องมีฉากเอ็กซ์แน่ๆ แต่หวงอี้ก็อธิบายให้ฟังว่า เหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ เป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างเจาะเวลาหาจิ๋นซีกับมังกรคู่สู้สิบทิศ ซึ่งมังกรคู่ฯ ถูกติว่าเหมือนรับประทานอาหารเจ ส่วนเจาะเวลาฯ ก็มีฉากเซ็กซ์มากไป แต่เหยี่ยวมารฯ เป็นการพบกันครึ่งทาง”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าคิดมากที่สุด กลับกลายเป็นว่า ในนิยายเรื่อง “เหยี่ยวมารฯ” หวงอี้ดูจะแสดงให้เห็นถึง “ความเข้าอกเข้าใจ” หรือ “ด้านที่สว่างไสวของเซ็กซ์” อย่างเด่นชัด เซ็กซ์ที่งดงามย่อมก่อให้เกิดพลังงานบางอย่าง
“ตัวละครเอกของเรื่องนี้ฝึกวิชามาร (จิตแห่งธรรมปลูกฝังมาร) ถ้าต้องการให้วิชามารมีความรุดหน้า ก็ต้องหาทางลัด ซึ่งก็คือหาความสุขจากเพศตรงข้าม ซึ่งในหนังสือกำลังภายในทั่วไปที่เราเคยอ่าน มันจะมี “การดูดพลัง” คือดูดพลังจากฝ่ายตรงข้ามจนต้องอับเฉาโรยราไป แต่ในเรื่องเหยี่ยวมารฯ เขาอธิบายว่ามันเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย คือมีทั้งให้และรับ นี่คือความหมายของเซ็กซ์ในเรื่องเหยี่ยวมารฯ ดังนั้นก็ถือเป็นการสมประโยชน์ แล้วอาศัยการสัมผัสทางเพศแบบนี้หล่อเลี้ยงมารให้เติบโตแข็งกล้า แต่ขณะเดียวกัน ส่วนลึกๆ ของวิชานี้มันจะมี “จิตแห่งธรรม” เคลือบแฝงอยู่ เพราะฉะนั้น มันก็เท่ากับเป็นการฝึกจิตแห่งธรรมให้กล้าแข็งขึ้นเพื่อควบคุมวิชามาร”
น.นพรัตน์ ให้ความเห็นว่า เมื่อตัวละครถูกปูทางไว้แบบนี้ มันจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะต้องมีฉากอีโรติกแทรกแซมเข้ามาด้วย แต่สิ่งที่นักแปลรุ่นใหญ่ผู้นี้ ขบคิดไม่ได้ อธิบายไม่ถูกในตอนนี้ก็คือ ถ้าพระเอกในเหยี่ยวมารฯ อย่าง “หลงอิง” ได้ไปพบกับบูเช็กเทียนแล้วจะมีอะไรกันหรือเปล่า เรื่องนั้นสุดแสนจะคาดเดาได้ คงมีเพียงวันเวลาและปลายปากกาของหวงอี้เท่านั้น ที่จะคลี่คลายปริศนาข้อนี้
สกัดเปลือก เลือกแก่น
คุณค่าแท้แห่งนิยายหวงอี้
ไม่ว่าจะหวิว ไม่ว่าจะหวาม สักปานใด แต่สำหรับคอนิยายกำลังภายในซึ่งเป็นแฟนเดนตายของหวงอี้ตัวจริง คงมินำพาต่อ “เรื่องอย่างว่า” แต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เนื้อหาสาระอันกว้างขวางลึกล้ำ “ดุจดั่งทะเลสาบเยี่ยหยาหู” นั้น มีพร้อมให้ผู้คนเสพรับอย่างเต็มที่
“มีคนบอกว่า หนังสือของหวงอี้ครอบคลุมหลายด้าน หวงอี้เองก็บอกว่า เนื่องจากเขาอ่านนิยายกำลังภายในมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ระหว่างที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยก็กราบอาจารย์อินเดียคนหนึ่งฝึกโยคะ ทานเจ ครึ่งปี แล้วจากนั้นเขาก็กราบอาจารย์คนอื่นๆ อีกไปเรื่อย ก็มีทั้งวิชาสอนเป่าขลุ่ย สอนวาดรูป หวงอี้มีอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นนักวาดภาพชื่อดัง”
หวงอี้นั้นศึกษารอบด้าน เพราะฉะนั้น หนังสือของเขาจะมีทั้งแนววิทยาศาสตร์ หลักพุทธศาสนา โหราพยากรณ์ แล้วก็วิชาฮวงจุ้ย นอกจากนั้นเขายังศึกษาวิชานรลักษณ์ แล้วปัจจุบัน เขาก็ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวิชาเกี่ยวกับธรรมชาติ
“เพราะฉะนั้น พอศึกษาอะไรมา เขาก็มักจะสอดแทรกเข้าไปในงานเขียนของตัวเอง อย่างเช่น ดูง่ายๆ เขาเลื่อมใสหลักวิชาของม่อจื๊อ ซึ่งเป็นนักปราชญ์ในยุคสมัยเลียดก๊ก ม่อจื๊อนี่จัดกองกำลังของตัวเองทำสงครามเพื่อยุติสงคราม เพราะฉะนั้น เขาก็เอาหลักปรัชญานี้มาใช้ในเจาะเวลาหาจิ๋นซี เซี่ยงเส้าหลงไปฝึกวิชาพวกนี้ ก็เพื่อต้องการยุติสงครามด้วยการทำสงคราม ผมว่ามันก็เป็นปรัชญาอันหนึ่งซึ่งน่าศึกษา แม้กระทั่งตอนนี้ ผมว่าก็ยังใช้ได้นะปรัชญาของม่อจื๊อ”
ดังนั้น ถ้าดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว อ่านหนังสือก็คือการเรียนรู้โลก สำรวจชีวิตได้ด้วยทางหนึ่ง ซึ่งสำหรับหวงอี้ น.นพรัตน์ สรุปรวบยอดสั้นๆ ว่า เวลาเราอ่านงานเขียนของเขา “เรามักจะได้อะไรบางอย่างกลับมาเสมอ”
*** เล่าฮู คือ คำเรียกผู้อาวุโส