ในที่สุดก็จบลงไปเสียที สำหรับมหกรรมกีฬาชื่อก้องของโลก อย่าง “ฟุตบอลโลก” หรือ FIFA World Cup 2014 ณ ประเทศบราซิล ซี่งอย่างที่ทราบกันว่า ขุนพล “อินทรีเหล็ก” ทีมชาติเยอรมัน สามารถเอาชนะ “ฟ้าขาว” ทีมชาติอาร์เจนตินา ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ด้วยสกอร์ 1-0 จากฝีเกือกของ Mario Gotze คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 4 อย่างน่าประทับใจ
และนอกจากสถิติ 171 ประตูจาก 64 เกม พร้อมกับยอดผู้ชมทั้งหมด 3,429,873 ราย (ยอดผู้ชมเฉลี่ยอยู่ที่ 53,592 คนต่อเกม) แล้ว แน่นอนว่า ศึกฟุตบอลโลกเวอร์ชันแซมบ้าในครั้งนี้ ก็มีการบันทึกเรื่องราวต่างๆ เพื่อนอกจากเป็นความทรงจำแล้ว ยังเอาไว้หวนคำนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดระยะเวลา 1 เดือนของ “FIFA World Cup” 2014 ครั้งนี้ ส่วนจะมีเหตุการณ์ใดบ้างนั้น เรามาย้อนเวลาไปพร้อมๆ กันครับ
แจ้งเกิดที่สุด
โดยปกติแล้วในทุกทัวร์นาเมนต์มักจะมีนักเตะแจ้งเกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งใน “ฟุตบอลโลก 2014” นี้ ก็มีบรรดานักเตะหลายคนที่พร้อมใจกันแจ้งเกิด แต่ที่เด่นที่สุดของงาน ก็คงจะต้องเป็นในรายของ James Rodriguez กองกลางตัวจี๊ดของทีมชาติโคลัมเบียจาก AS Monaco ที่กลายเป็นสตาร์ที่เด่นสุด เพราะเป็นกำลังสำคัญให้ทีมได้ทะยานเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แถมยังสามารถโชว์ฟอร์มได้สุดยอดด้วยการทำสกอร์ถึง 6 ประตู ซึ่งมันก็เพียงพอแล้วที่จะได้รางวัล Golden Boot หลังจากจบรายการนี้แต่เพียงผู้เดียว
สะเทือนใจที่สุด
เหตุการณ์ที่นับว่าเป็นที่สะเทือนใจที่สุดของทัวร์นาเมนต์ ย่อมหนีไม่พ้น การถูกทำฟาวล์ของ Neymar ศูนย์หน้าจอมเทคนิคของชาติเจ้าภาพ บราซิล ที่โดน Juan Camilo Zuniga กองกลางของโคลัมเบีย ใช้เข่าอัดกระแทกเข้าที่กลางหลัง ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่ทั้งคู่พบกัน จน Neymar ได้รับบาดเจ็บกระดูกสันหลังร้าว และหมดสิทธิช่วยทีมในเกมที่เหลือ ซึ่งจากการตรวจสอบภายหลัง พบว่า หากแผลดังกล่าวอยู่สูงกว่าจุดที่เป็นประมาณ 2 เซนติเมตร ศูนย์หน้าจาก Barcelona คงจะต้องกลายเป็นอัมพาตและนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว…
ทะเล่อทะล่าที่สุด
ในเกมสุดท้ายของกลุ่ม G ระหว่าง เยอรมัน กับสหรัฐอเมริกา นั้น ถ้าไม่นับผลชัยชนะ 1-0 ของทัพอินทรีเหล็ก มันอาจจะกลายเป็นเกมที่เงียบเหงาที่สุดอีกเกมหนึ่งไปแล้วก็ได้ หาก Jermaine Jones มิดฟิลด์ตัวรับของทัพลุงแซม ไม่ทำเกมนี้กลายเป็นที่กล่าวขานอีกเกมหนึ่ง เพราะกองกลางเชื้อสายเยอรมันรายนี้ กระทำการดังต่อไปนี้ : วิ่งชนผู้ตัดสิน, วิ่งชนเพื่อนร่วมทีมกันเอง, ลื่นล้มในจังหวะลุ้นทำประตู และพยายามจะเล่นนอกเกม อีก ซึ่งหลังจากจบเกมแล้ว เราอยากจะมอบ “ปี๊บ” ให้ซะจริงๆ…
แท็กติกที่ได้ผลที่สุด
ถือว่าเป็นแท็กติกที่เสี่ยง แต่ “ชาญฉลาด” มาก สำหรับ Louis Van Gaal เฮดโค้ชของทีมชาติฮอลแลนด์ ที่ตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้รักษาประตูจาก Jesper Cillessen มาเป็น Tim Crul เพื่อเอาไว้ดวลจุดโทษโดยเฉพาะ ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่พบกับคอสตาริกา ซึ่งมือกาววัย 26 จาก Newcastle United ก็ตอบแทนความไว้วางใจ ด้วยการสวมบทฮีโร่ เซฟ 2 จุดโทษจาก Bryan Ruiz และ Micheal Umana 2 นักเตะคอสตาริกา ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จอีกด้วย
เซอร์ไพรส์ที่สุด
ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้น หลายๆ ฝ่ายต่างหมายหัว ทีม ”กล้วยหอม” คอสตาริกา ว่าจะต้องเป็นทีมแจกแต้ม สำหรับกลุ่มดี ที่มี 3 ทีมอดีตแชมป์โลก อย่าง อังกฤษ อิตาลี และอุรุกวัย เป็นแน่ แต่กลับกลายเป็นว่า ตัวแทนจากโซนคอนคาเคฟ กลายสภาพมาเป็น “กล้วยหอมจอมซน” ของทัวร์นาเมนต์ ด้วยการพลิกล็อกเอาชนะทั้งอุรุกวัย 3-1 และอิตาลี 1-0 ก่อนที่จะยันเสมออังกฤษ 0-0 คว้าแชมป์กลุ่มไปหน้าตาเฉย ซึ่งลูกทีมของ Jorge Luis Pinto ก็ต่อยอดตำนานพลิกล็อกด้วยการล้มทีมชาติกรีซในรอบสอง ด้วยลูกจุดโทษสกอร์ 5-3 (สกอร์ 90 นาที 1-1) ก่อนที่จะพ่ายทีมชาติฮอลแลนด์ ด้วยลูกจุดโทษ 3-4 (สกอร์ 90 นาที 1-1) ตกรอบไปอย่างน่าประทับใจคนทั้งโลก สำหรับทีมนี้
ตื่นเต้นที่สุด
อาจจะถือได้ว่าเป็นเกมที่ระทึกขวัญสั่นประสาทแฟนบอลทั่วโลกและตื่นเต้นที่สุดก็ว่าได้ สำหรับคู่ของ ทีมชาติฮอลแลนด์ กับทีมชาติเม็กซิโก ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่รูปเกม กลายเป็นทัพจังโก้ที่เล่นดีกว่าทัพอัศวินสีส้ม อย่างเห็นได้ชัด จนสามารถทำประตูขึ้นนำไปก่อน จาก Giovani Dos Santos ในนาทีที่ 48 ซึ่งเม็กซิโกกำลังจะได้เข้ารอบอยู่แล้ว ถ้าไม่โดน “ความแสบ” ของทีมชาติฮอลแลนด์ จาก 2 ประตูท้ายเกม จาก Wesley Sneijder ในนาทีที่ 88 และลูกจุดโทษของ Klass-Jan Huntelaar ในนาทีสุดท้ายของเกม ปล่อยให้ทีมชาติเม็กซิโกตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นสมัยที่ 6 ติดต่อกันอย่างปวดร้าว
รุนแรงที่สุด
เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็น “ความรุนแรง” ที่สุดแล้วในการแข่งขันสำหรับกรณีของ Luis Suarez ศูนย์หน้าทักษะเจ๋งของทีม “จอมโหด” อุรุกวัย ที่กระทำการอื้อฉาวให้กับตนเองและทัวร์นาเมนต์ จากจังหวะที่ไป “งับไหล่” ของ Giorgio Chielini เซ็นเตอร์แบ็กชาวอิตาเลียน ในเกมที่อุรุกวัยเฉือนชนะไปอย่างหวุดหวิด 1-0 ซึ่งจะเรียกว่าได้ว่า “หาเรื่องใส่ตัว” ก็ไม่ผิดนัก เพราะในที่สุด ว่าที่ศูนย์หน้าของ Barcelona ก็ต้องถูกห้ามแข่งเป็นเวลา 4 เดือน 9 เกม จากการกระทำในครั้งนี้เป็นการตอบแทน
เหนียวที่สุด
หากจะให้พูดถึงผู้รักษาประตูที่ “โชว์ฟอร์มเหนียว” ที่สุดของรายการนี้ แน่นอนว่าต้องมีมือเฝ้าเสาหลายราย สร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลก็หลายเกม แต่ Guillermo Ochoa ผู้รักษาประตูหมายเลข 13 ของเม็กซิโก ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เด่นที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ เพราะพี่แกโชว์ฟอร์มเหนียวหนึบอย่างสุดยอดในเกมที่พบกับเจ้าภาพ บราซิล ทั้งจังหวะเซฟหลายครั้งหลายครา จนสามารถยันสกอร์ไว้ที่ 0-0 หลังจากจบเกม ซึ่งแมตช์ดังกล่าวก็กลายเป็นเกมแจ้งเกิดของมือโกล์วัย 28 ปี และบรรดาทีมต่างๆ ในยุโรป ก็สนใจอยากได้ตัวเขามาร่วมงานในขณะนี้ด้วย
สถิติที่สุด
พากเพียรทำประตูเก็บสถิติเรื่อยมาตลอด 3 ครั้งการแข่งขัน ในที่สุดวันของ Miroslav Klose ศูนย์หน้าตัวเก๋าวัย 36 ของทีมชาติเยอรมัน ก็มาถึง เมื่อเขากด 2 ประตูจากในเกมรอบแรกที่เสมอกับกานา 2-2 และเกมรอบรองชนะเลิศที่ชนะบราซิล 7-1 ซึ่งทำให้ยอดรวมของ Klose เพิ่มเป็น 16 ประตู จนสามารถทำลายสถิติของ Ronaldo อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล ที่เป็นเจ้าของสถิติผู้ที่ยิงประตูเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกเดิมที่ 15 ประตู ไว้เป็นเบื้องหลังแทน
ยับเยินที่สุด
นี่คือเกมที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดของทัวร์นาเมนต์แล้ว สำหรับการแข่งขันรอบรองชนะเลิศระหว่างเจ้าภาพ บราซิล กับ ทีมชาติเยอรมัน ซึ่งก่อนเกม ก็นับว่าน่าดูอยู่แล้ว เพราะทั้งสองทีมขึ้นชื่อด้วย “ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ” อยู่ แต่พอจบเกม เรียกได้ว่ากลายเป็นเกมช็อกโลกไปเลย เมื่อขุนพลอินทรีเหล็ก ไล่ถล่มชาติเจ้าภาพอย่างไม่เกรงใจแฟนบอลเจ้าถิ่นในสนาม ด้วยสกอร์ 7-1 โดยครึ่งแรก เยอรมันนำไปก่อน 5-0 ซึ่งเกมนี้ ถือว่าเป็นการปราชัยที่ย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ของบราซิล และเป็นการแพ้ในบ้านของทัพแซมบ้าในเกมระดับชาติที่ยับเยินในรอบ 38 ปีของทีมอีกด้วย
อัปเดตหลากหลายเรื่องราวข่าวสาร สาระบันเทิงได้ที่แฟนเพจ mars magazine