เมื่อโลกเปลี่ยนทุกอย่างต้องหมุนตาม ไม่สามารถยึดมั่นเพียงความเร็วแบที่เคยเป็นได้ ดังนั้น Bugatti จึงจำเป็นต้องสร้างความแปลกใหม่ด้วย Bugatti Mistral roadster สำหรับ Mistral มีส่วนร่วมการดีไซน์อย่างมากกับ Chiron หากมองเผินๆทั้งสองรุ่นมีความเหมือนที่ค่อนข้างคล้ายกันมาก แต่สำหรับ Bugatti เขามีความกระตือรือร้นที่จะชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้สร้างรถขึ้นมาง่ายๆ เหมือนกับเอาเลื่อยตัดเหล็กขึ้นไปบนหลังคาเท่านั้น แต่ทีมงานยังออกแบบใหม่ในทุกมิติเพื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
ด้านหน้าของMistralใช้ลวดลายแนวตั้งมากกว่า Chiron ด้วยไฟหน้าแบบเรียงซ้อนและกระจังหน้าเกือกม้าที่ลึกและกว้างกว่าซึ่งคล้ายกับรุ่นพิเศษอย่าง Divo หรือ La Voiture Noire กระจกบังลมและขอบกระจกด้านบนให้เอฟเฟกต์'กระบังหน้า' อย่างแท้จริง ซ่อนเสา A และให้การตีความที่ทันสมัยของ 'Grand Raid' Type 57 ซึ่งเป็นรถเปิดประทุนปี 1934 ที่ Gangloff ครอบครอง และ Grand Raid ยังให้โทนสีสำหรับ Mistral รุ่นแรก ซึ่งเป็นสีดำที่อบอุ่นพร้อมการเน้นสีเหลือง นั่นเป็นการแสดงความเคารพต่อ Ettore Bugatti ที่เลือกสีเหลืองและสีดำสำหรับรถยนต์หลายคันของเขาเอง
แน่นอน รถยนต์ของลูกค้าจะได้รับการเลือกสีในทุกเฉดตามที่ต้องการ โดยรุ่นเปิดตัวจะแสดงเป็นสีน้ำเงิน Chiron สีดำและสีขาว มาดูในส่วนของอากาศพลศาสตร์นั้น Bugatti จัดการกับกระแสลมอย่างดี โดยลมถูกแยกออกอย่างระมัดระวังด้วยแอโรที่ชาญฉลาด ช่องรับอากาศของเครื่องยนต์ตอนนี้ตั้งอยู่บนหลังคา ด้านหลังศีรษะของผู้โดยสาร ซึ่งจะทำให้อากาศด้านข้างว่างสำหรับออยล์คูลเลอร์ ไฟท้ายที่เป็นรูปตัว X จะใช้ช่องว่างด้านลบระหว่างช่องดึงลม เข้าไประบายอากาศที่หม้อน้ำด้านข้าง แม้แต่ไฟหน้าก็มีช่องว่างระหว่างแถบ LED ซึ่งระบายอากาศผ่านซุ้มล้อเพื่อปรับปรุงเพื่อลดความร้อนของเบรกและลดแรงต้านทางด้านหน้าอีกด้วย
หากเราเปิดฝากระโปรงจะเห็นอะไร? แน่นอนคุณจะพบว่าระบบส่งกำลัง ระดับ Super Sport ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังคนขับ นั่นคือเครื่องยนต์ W16 ขนาด 8.0 ลิตร ของ Bugatti ซึ่งให้กำลัง 1600 แรงม้า (1,578bhp) Bugatti ตั้งเป้าที่ความเร็วสูงสุด 261 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่รถเปิดประทุนที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช่เรื่องเหลวไหลว่า Bugatti Mistral roadster จะทำไม่ได้
ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายว่านี่คือการติดตั้งเครื่องยนต์อย่างเดียวบนรถ Bugatti รุ่นสุดท้าย เพราะหลังจากจะเข้าสู่ยุคของระบบไฮบริด ในฐานะหัวหน้าฝ่ายออกแบบ Achim Anscheidt ได้ยอมรับว่า'ฉันสามารถยืนที่นี่และพูดคุยเกี่ยวกับการออกแบบทั้งหมดได้ แต่หากไม่มีเครื่องยนต์ W16 รถคันนี้ไม่มีจุดขาย!' แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคำทิ้งท้ายเอาไว้ว่า แม้จะเป็นระบบไฮบริด ทว่าการออกแบบก็ยังต้องเคารพต่อ Bugatti เช่นเดิม
การตกแต่งภายในคล้ายกับ Chiron มาก โดยมีส่วนประกอบไทเทเนียมและอะลูมิเนียมขัดเงาที่จัดวางในแผงหน้าปัดที่เรียบง่ายและโค้งมน สิ่งที่คุณจะไม่พบก็คือหน้าจอกลาง Bugatti ต้องการให้รถเป็นของสะสมที่จะใช้งานได้ดีในอีกหลายปีต่อมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะทำได้หากภายในใช้หน้าจอที่ละเอียดอ่อนและซอฟต์แวร์ที่วุ่นวาย ด้วยอายุของหน้าจออาจไม่ยาวนานถึง 15 ปี หรือ 20 ปี โทนสีภายในได้รับแรงบันดาลใจจากสีดำอบอุ่น (ด้วยโทนสีน้ำตาล) และสีเหลืองอีกครั้ง หนัง'ทอ'ที่สวยงามปรากฏบนเบาะนั่งและการ์ดที่ประตู แน่นอนว่าทำด้วยมือ ซึ่งการทดลองด้วยเครื่องจักรนั้นปกติและน่าเบื่อเกินไปสำหรับ Bugatti
ทั้งหมด 99 คันได้ถูกจองไปหมดแล้วหลังจากวันที่เปิดตัวให้สื่อได้ชม ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการจองต้องจ่าย 5 ล้านยูโรเพื่อย้ำว่าคุณจะได้ครอบครองความพิเศษนี้อย่างแท้จริง