คุยกับ ‘เกริก ชิลเลอร์’ ถึงความหมายการมีชีวิตของลูกผู้ชาย และเหตุผลว่าทำไมควรเปลี่ยนงานทุก 20 ปี

ถ้าไม่อยากแก่และแห้งตายแบบไร้ความหมาย มนุษย์ผู้ชายควรจะเปลี่ยนงานและค้นหาความท้าทายในชีวิตทุกๆ 20 ปี นั่นคือสิ่งที่ ‘เกริก ชิลเลอร์’ พูดกับเราในบ่ายวันนั้น และเป็นเหตุผลในหลักไมล์นี้ของชีวิต ที่เขาถอยฉากออกจากวงการบันเทิง เดินสู่การเป็นช่างตัดผมมืออาชีพ ที่เขาสนุกสนานกับโจทย์ใหม่ทุกๆ วัน ไม่ต้องหวาดกลัวกับการถูกมองว่าเป็นรุ่นใหญ่ และเป็นวัยรุ่นที่สนุกกับการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

“คนที่ไม่กล้าออกจากสิ่งเก่าๆมักจะเกิดจากความกลัว กลัวว่ามันจะสำเร็จไม่ได้เหมือนเก่า ของเก่ามันก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่ผมไม่ได้กลัวอะไรแบบนั้น ผมกลัวสภาพจิตใจที่มันย่ำแย่ ชีวิตที่ไม่มีการพัฒนาปรับปรุงตัวเอง อยู่กับสิ่งซ้ำๆ เดิมๆ แล้วมันจะทำให้แก่เร็ว”

ทำไมคุณถึงตัดสินใจถอยบทบาทตัวเองออกจากวงการบันเทิง แล้วมาเป็นช่างตัดผม

ฝรั่งเขามีอยู่คำพูดหนึ่ง บอกว่า ผู้ชายอย่างพวกเราเนี่ย ทุกๆ 20 ปี ควรจะเปลี่ยนอาชีพสักครั้งหนึ่ง เพราะว่าการทำงานมา 20 ปี มันเกิดความชำนาญมาพอสมควรแล้ว แล้วตัวเราเองก็มีฐานะ มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่เติบโตขึ้น ไอ้สิ่งเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อผู้ชายเอง ถ้าใครควบคุมไม่ได้ มันก็จะเกิดอาการห่อเหี่ยวไม่มีเรี่ยวแรง เพราะว่าเรารู้หมดแล้ว เราทำงานมา 20 ปี มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีอะไรน่าสนุก น่าท้าทายอีกต่อไป เพราะฉะนั้นผู้ชายเป็นเพศที่ต้องการความท้าทายอยู่ตลอดเวลา ต้องการความเปลี่ยนแปลง เราเป็นนักสร้าง การย่ำอยู่กับที่จะทำให้จิตใจข้างในของเราห่อเหี่ยวลงไป มันเป็นธรรมชาติของสัตว์เพศผู้มากๆ

เพราะฉะนั้นการที่เราจะหยุดอะไรบางอย่างเพื่อที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ มันน่าตื่นเต้นเร้าใจ เพราะว่าเราเคยเดินไปถึงจุดที่สำเร็จได้แล้ว ทำไมเราจะทำอีกไม่ได้ คนที่ไม่กล้าออกจากสิ่งเก่าๆมักจะเกิดจากความกลัว กลัวว่ามันจะสำเร็จไม่ได้เหมือนเก่า ของเก่ามันก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่ผมไม่ได้กลัวอะไรแบบนั้น ผมกลัวสภาพจิตใจที่มันย่ำแย่ ชีวิตที่ไม่มีการพัฒนาปรับปรุงตัวเอง อยู่กับสิ่งซ้ำๆ เดิมๆ แล้วมันจะทำให้แก่เร็ว (หัวเราะ)

กลัวแก่เร็วว่าอย่างนั้นเถอะ

ใครก็กลัวแก่กันทั้งนั้นแหละครับ แต่แก่ที่ว่ามันคือแก่ข้างใน สภาพจิตใจที่มันห่อเหี่ยว ไม่แฮปปี้ มันก็เหมือนมีชีวิตรอให้มันแก่ไปวันๆ แล้ววันหนึ่งก็รอเข้าโรง ซึ่งชีวิตผู้ชายอย่างเรามันไม่ควรจะเกิดความรู้สึกแบบนั้น มันควรที่จะต้องมีความหวัง เห็นภาพอีกแบบหนึ่ง เห็นจุดมุ่งหมายที่จะไปมากกว่าที่จะนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานซ้ำๆ ซากๆ

สัญญาณอะไรที่บอกว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง

คือเมื่อประมาณสี่สิบปีก่อนที่เราเข้ามาในวงการ เรายังเด็กๆ ก็มีเพื่อนเยอะแยะอยู่ในวงการ เติบโตใช้ชีวิตสนุกสนานมาด้วยกัน แต่พอเวลาผ่านมา หันซ้ายหันขวา เหลือเราอยู่คนเดียวกับเด็กๆ ในวงการ ผมไม่มีปัญหาในการเข้ากับเด็กนะแต่ผมเกลียดมากกับการเป็นรุ่นใหญ่ในวงการเวลาเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการตั้งกำแพงใส่ผมแล้ว มันทำให้คุยกันไม่สนิทใจ ไม่ว่าจะอยู่ในวงการไหนก็แล้วแต่ผมไม่ต้องการเป็นรุ่นใหญ่ มันน่ากลัวมาก น่ากลัวที่สุด

การเป็นรุ่นใหญ่มันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง

เราต้องทนกับรูปแบบบางอย่างที่สังคมและคนรอบข้างมอบมาให้เรา และมันก็น่าเศร้า มันมาด้วยภาระหน้าที่และความรับผิดชอบตอนเด็กๆ เราทำผิดพลาดได้ พลาดแล้วมันน่ารักเป็นเด็กต้องโง่นี่เรื่องปกติ แต่พอเป็นรุ่นใหญ่โง่ไม่ได้ รุ่นใหญ่ต้องถูกต้องเสมอ คำพูดที่ออกมาจากปากต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบว่าไม่กระทบและทำร้ายความรู้สึกใคร กดดันนะ

และมันไม่ใช่ผมเลย ผมเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบมาทั้งชีวิต ผมเป็นเด็กนอกคอกแหกกฎมาโดยตลอดไม่เคยอยู่ในองค์กรไหน ตั้งแต่เป็นวัยรุ่นถ่ายโฆษณาเดินแบบอะไรก็แล้วแต่ หรือตอนไปอยู่อเมริกาก็ทำงานคนเดียว แต่พอเดินเข้ากองถ่ายมีแต่คนยกมือไหว้อย่างเดียวเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อให้คนมายอมรับเรา เราสนุกกับการทำงาน และรู้สึกกับสิ่งที่เราอยากจะทำเท่านั้น เราก็หยุดก่อนดีกว่าเพื่อมาตั้งหลัก

“ผมเกลียดมากกับการเป็นรุ่นใหญ่ในวงการ เวลาเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการตั้งกำแพงใส่ผมแล้ว มันทำให้คุยกันไม่สนิทใจ ไม่ว่าจะอยู่ในวงการไหนก็แล้วแต่ผมไม่ต้องการเป็นรุ่นใหญ่ มันน่ากลัวมาก น่ากลัวที่สุด”

แล้วทำไมถึงต้องเป็นช่างตัดผม

ไม่รู้เป็นจิตสำนึกเมื่อตอนเด็กๆ หรือเปล่า แม่เขาจะเช่าตึกแถวอยู่ชั้นสอง ชั้นสาม ชั้นสี่ แล้วชั้นล่างจะเป็นร้านตัดผม เราก็ชอบที่จะไปนั่งเล่นในร้านตัดผมเพราะว่าแอร์มันเย็น (หัวเราะ) ก็อาจเพราะเหตุนี้มั้ง บวกกับที่เราเป็นคนชอบงานศิลปะ แล้วการตัดผมมันก็เป็นเหมือนงานศิลปะอย่างหนึ่ง มันค่อนข้างมีอิสระสูงมาก เพราะอย่างที่ผมบอกว่าผมไปทำงานที่มีกรอบไม่ได้ ผมมีอิสระกับมัน และหลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ตัดผมมาได้จะ 7 ปีแล้วผมก็แฮปปี้กับมัน

คุณเรียกว่ามันคืออาชีพแล้ววันนี้ แล้วงานนี้สร้างความตื่นเต้นให้ชีวิตคุณอย่างไร

ความท้าทายของการตัดผมคือผมของทุกคนมันไม่เหมือนกันเลย แล้วการทำงานของผมคือทำงานตามเส้นผม ผมมันจะบอกว่าเราต้องตัดทรงอะไรเซ็ตแบบไหนให้กับเขา เขาไม่ต้องบอกด้วยซ้ำว่าอยากตัดทรงอะไร เส้นผมจะบอกเอง แล้วธรรมชาติมนุษย์มันมีไม่กี่คนหรอกครับที่จะมานั่งเนี้ยบแต่งผมตัวเอง เพราะฉะนั้นทรงผมมันต้องเหมาะกับวิถีชีวิต เหมาะกับสภาพภูมิอากาศ เหมาะกับคนอาชีพนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าไปตัดผมร้านนี้ทำสีมาเจ็ดพันแปดพันแล้วมาแบกปูนแบกทราย มันไม่ใช่ มันต้องเป็นตัวของตัวเอง

แล้วคุณทำความเข้าใจแต่ละโจทย์อย่างไร

พอเราตัดผมไปเรื่อยๆ เราจะเจอความตลกของคนที่อยากมีทรงผมเหมือนฝรั่ง แต่ว่าเส้นผมก็ไม่เหมือนเขา บล็อกหน้าก็ไม่เหมือนเขา วิถีชีวิตก็ไม่เหมือน ฝรั่งเองอยู่ประเทศเขายังไม่เซ็ตผมเลย นอกจากเขาจะถ่ายแบบเขาถึงจะเซ็ตผม แล้วการจะเซ็ตผมถ่ายแบบช่างต้องรุมกันสองสามคน คนไทยหลายๆ คนก็ไม่รู้จะเอาให้ได้ เพราะฉะนั้นคุณตัดผมที่มันเป็นตัวของคุณ อย่าให้มันเยอะมากเกินไปจนตัวคุณเองจัดการมันยาก บริหารมันยาก

ผมว่าทุกคนมีสไตล์ของตัวเองกันหมดทุกคน แต่เขาไม่กล้าที่จะดึงสไตล์ของตัวเองออกมา เพราะว่าเราเป็นสัตว์สังคม เราอยู่ในสังคม เราอยู่กับคำพูดหลายๆ คำที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะแสดงออก ไม่กล้าที่จะเป็นตัวเอง เราแคร์สายของคนอื่นเสมอจนเราลืมที่จะแคร์ความคิดความรู้สึกตัวเอง ถ้ามามัวคิดว่าคนอื่นจะมองเราแบบไหนอยากให้เราเป็นอะไร เราก็ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ คุณก็จะเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ ที่เดินออกจากโรงเรียน เดินไปออฟฟิศ เดินไปซื้อของเซเว่น เขาออกรถก็ไปผ่อนรถกันกับเขา แล้วถึงเวลาเดินเข้าโรงพยาบาล ชีวิตมันน่าเบื่อ คุณไม่ต้องถามใคร เวลาทุกข์เวลาสุขเขาไม่ได้มานั่งอยู่ข้างคุณ เราต้องถามตัวเราเองว่าเราทุกข์ยังไง เราสุขยังไงแล้วเราก็ทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง เป็นอย่างที่ตัวเองเป็นผมบอกเลยนะคุณเป็นอะไรก็ได้ คุณขายอะไรก็ได้ ทำงานอะไรก็ได้ แต่ว่าถ้าสิ่งหนึ่งคุณไม่มีอยู่ในใจนะ นั่นคือความรู้จักความพอดีของตัวเอง คุณจะเป็นใครก็ตามคุณก็ไม่มีความสุข

มีเรื่องเล่าสนุกๆ จากการทำงานไหม

ที่ผมชอบคือผมได้คุยกับคนเยอะ อาชีพช่างตัดผมมันเหมือนหมอจิตเวชเหมือนกันนะ เขาจะคุยเปิดใจให้เราหมดเลยนะ มันเป็นพื้นที่และช่วงเวลาที่พิเศษ บางคนนั่งเล่าชีวิตให้เราฟังไปร้องไห้ไป เป็นการตัดผมที่ดราม่ามาก เขาจะพูดเขาจะระบายออกมา มันเหมือนกับว่ามันมีความไว้วางใจให้เราตัดผม เมื่อเราเข้าถึงผมเขาได้ตัดผมเขาฉับแรก นั่นคือการเปลี่ยนชีวิตเขาแล้ว นั่นแสดงว่าเขาพร้อมที่จะเปิดใจทุกอย่าง แล้วด้วยความที่เราใช้ชีวิตมาประมาณหนึ่ง เราก็จะแชร์ประสบการณ์กับเขา และน่าแปลกมากเมื่อตัดผมจบมันก็จบกันไป เขาก็ลืมเราก็ลืม

“เราเป็นสัตว์สังคม เราอยู่ในสังคม เราอยู่กับคำพูดหลายๆ คำที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะแสดงออก ไม่กล้าที่จะเป็นตัวเอง เราแคร์สายของคนอื่นเสมอจนเราลืมที่จะแคร์ความคิดความรู้สึกตัวเอง”

ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะมาเล่าปัญหาชีวิตเรื่องอะไร

งานและครอบครัว ผู้ชายมีแค่นี้ งานปีนี้ไม่ดีเลยผมเจอเรื่องนู้นเรื่องนี้มา ส่วนเรื่องครอบครัวก็เล่าเรื่องชีวิตตั้งแต่เด็กมานู้นนี่ ผมเลยเป็นแบบนี้ มันมีแค่นี้จริงๆ ส่วนเด็กวัยรุ่นก็จะอีกแบบ จะมาแล้วบอกเลยว่าผมเอาแบบนี้ๆ นะพี่ แต่ถ้าผู้ชายที่มีครอบครัวมาแล้วเขาบอกเลยว่าถ้าพี่เห็นดียังไงก็ทำเหอะ แค่ไม่ทุเรศก็พอแล้ว

อายุที่เพิ่มขึ้นประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นทำคุณมองโลกเปลี่ยนไปไหม

ทุกสามสี่ปีมันจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา บางช่วงเหมือนจะมองเห็นสัจธรรม พอใช้ชีวิตเลยไปอีกนิดหนึ่งเราก็กลับมาต่อต้านมันอีก จนต่อต้านมันจนพอใจแล้ว เราก็คิดว่าเรากลับไปเห็นสัจธรรมอีก มันจะกลับไปกลับมาตลอดเวลา แต่ถ้าถามถึงตอนนี้ชีวิตก็จะนิ่งๆ ไม่โฟกัสกับเรื่องอะไรอีกเลย นอกจากทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่เราวางแผนเอาไว้ จุดโฟกัสของเรามันแคบขึ้นมันนิ่งขึ้น มันเหมือนม้าที่เรามองไปข้างหน้าแล้ววิ่งไปตลอดเวลา

แต่พอมีแผนมีเป้าหมายชีวิตแล้ว เราใจเย็นมากขึ้น มันรอได้ รอความสำเร็จได้ แต่ถ้าเทียบกับเมื่อสมัยก่อนถ้าต้องรอ 5-6 เดือนเราทนไม่ได้หรอก เดือนหน้าทำเลย เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ เราวางแผนกันเป็นปี รอได้เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเรารู้ว่าถ้าเอาของดีๆ มาเลยในวันข้างหน้ามันง่าย ปัญหาที่จะมาถึงเรามันจะน้อย

สิ่งที่สำคัญในวันนี้ของคุณสุดท้ายแล้วคืออะไร

มันมีแค่เรื่องเดียว ครอบครัว ชีวิตผมจบอยู่ที่ครอบครัว เพราะผมรู้ว่าชีวิตผมสุดท้ายแล้วจะมีแค่ครอบครัวยืนอยู่ข้างๆ เตียง เพราะฉะนั้นผมจะไปใส่ใจคนอื่นมากกว่าครอบครัวให้โง่ทำไม ผมแทบไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกใครเลย ผมแคร์แค่ว่าลูกๆ ผม ภรรยาผมจะอยู่ยังไง เขาจะรู้สึกยังไง

ในอนาคตกลัวจะกลายเป็นรุ่นใหญ่ในวงการตัดผมอีกไหม

ไม่ต้องๆ ผมเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่เสมอ ผมเป็นเด็กที่มีไฟแรงอยู่เสอและต้องการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และต้องการครูอีกเยอะ ถ้าไปตั้งกำแพงเสียแล้วก็เสร็จ สำหรับผมการเรียนมันต้องเรียนไปจนวันตาย

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE