เธอใส่เสื้อผ้าแบบสาวยิปซีสีสันสดใส เมื่อเธออยู่บนเวที เธอร่ายรำและขับร้องขับกล่อมสรรพสิ่งให้เคลื่อนไหวด้วยเวทมนต์ที่สร้างขึ้นไปพร้อมกับเธอ ดนตรีร่วมสมัยของเธอสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้คนมากมาย แต่เมื่อยามอยู่หลังม่าน เธอคือปีศาจขี้อาย!
โซฟาเบาะกำมะหยี่ฉาบสีแดงเลือดนก คาเฟ่โรงละครรัชดาลัย แฟนทอมปีศาจในคราบมนุษย์ผู้หลบซ่อนอยู่หลังม่านเวทีการแสดง ถอดหน้ากากเผยโฉมหน้าที่ซุกซ่อนอยู่ใต้เงาจันทรา เหลือเชื่อ! ปีศาจผู้เลอโฉม นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล เผยอริมฝีปากบางเบาดุจกลีบกุหลาบยุโรป แสงไฟสีเหลืองทาบทาให้เผยผิวกายนวลกระจ่าง นิ้วเรียวเสยเส้นผมสีน้ำตาลทองหยิกยาวเป็นลอนขึ้นรวบมัดเผยแก้มขาวใสอมชมพู
10 ปีย้อนกลับไป ปาล์มมี่-อีฟ ปานเจริญ 10 ปีย้อนกลับไป ปาล์มมี่-อีฟ ปานเจริญ ศิลปินหญิงในชุดสีสันสดใสที่โลดเต้นพลิ้วไหวบนเวทีอย่างอิสระเหนือกรอบที่ศิลปินป๊อปร็อกคนไหนเคยทำ ปาล์มมี่ฉีกวิถีปฏิบัติสำหรับการแสดงแบบทั่วไปบนเวที เมื่อคนดูอยู่ในมนต์สะกด ดนตรีในบางเวลาของเธอทำให้หนุ่มใหญ่เงียบขรึมลุกขึ้นเต้น บางเวลาทำให้สาวโสดหลั่งน้ำตาให้กับรักแท้ และบางเวลาทำให้คู่รักนึกถึงความเหงาในก้นบึ้งหัวใจ
น่าแปลกที่เธอกลับสนุกกับการเป็นปีศาจหลังม่าน น้อยครั้งที่เธอจะออกมาพบปะกับแฟนเพลง ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ปาล์มมี่มีผลงานเพลง 3 อัลบัม ร่วมงานกับนักร้องคุณภาพอย่างทีโบนในการแสดงสด แต่งเพลงให้กับศิลปินอื่นไม่กี่เพลง เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาและนักแสดงรับเชิญในจอเงินไม่กี่ชิ้น ถือเป็นผลงานที่มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับศิลปินอื่นในรุ่นราวคราวเดียวกัน หลายคนจำเธอได้จากภาพลักษณ์และแฟชั่นที่เธอสร้างขึ้น บางคนบอกเธอสุดโต่ง ถึงขั้นติสต์แตก
“มี่เป็นคนไม่ค่อยมีตรงกลาง แล้วก็ไม่ค่อยจะชอบกับการอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ใครฟัง มี่ไม่อยากบอกว่ามี่เป็นยังไง ดูกันไปนานๆ แล้วเวลามันจะพิสูจน์ว่าสุดท้ายเราทำอะไรอยู่ ให้คนที่มองเข้ามาเป็นคนตอบดีกว่า เราเป็นนักร้องก็ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องไปคิดเรื่องแบบ บอกตรงๆ ว่ามี่ไม่ได้แคร์เลยว่าเสื้อผ้ามี่มันจะเป็นยังไง บุคลิก เสื้อผ้ามี่คนจะชอบไหม มี่แคร์แค่เรื่องดนตรี แค่วงจะเล่นดีไหม มี่จะร้องเพี้ยนไหม มี่คิดแค่นั้นเอง เมื่อเวลามันผ่านไปเรื่อยๆ ประสบการณ์มันสอนเราว่า โอเค ภาพรวมทั้งหมดมันใช่หมดนะ หมายถึง การแสดง หน้าปกอัลบัม มี่ทำการบ้านมากๆ ในแต่ละงานที่มันจะออกมา”
“การเดินทางของเรื่องดนตรี แกรมมี่ ไม่ได้เป็นคนกำหนด มี่คุยกับโปรดิวเซอร์ของมี่เองในแต่ละอัลบัม แต่เรื่องคาแรกเตอร์ มันไม่สามารถมีใครมากำหนดให้กับมี่ได้นะ ไม่ว่าจะเรื่องเสื้อผ้า ทรงผม Performance สิ่งที่ออกไป ความเป็นมี่ อย่างที่ทุกคนเห็น ไม่สามารถมีใครมาเอาตรงนั้นของมี่ออกไป หรือใครจะมาเปลี่ยนแปลงมี่ได้ จำได้ตอนแรกที่เข้ามาแกรมมี่ ปรกติเขาก็จะส่งไปให้ค่ายย่อยดูแล มี่ได้มาอยู่ที่ RPG ตอนนั้นพี่โอม (ชาตรี คงสุวรรณ) ถามมี่วันแรกเลยว่า ถ้าให้มี่ตัดผม มี่โอเคไหม มี่ก็ตอบว่า ไม่โอเคค่ะ แล้วก็ถามคำถามต่อมาอีกมากมาย ดังนั้นตั้งแต่อัลบัมแรก สิ่งที่ทุกคนเห็นคือสิ่งเดียวกับที่มี่เป็นตั้งแต่วันแรกที่มี่เดินเข้ามาที่แกรมมี่ พร้อมกับความฝัน ได้ร้องเพลง การทำงานที่รัก ที่ฝันไว้”
ซิงเกิ้ลใหม่เปิดตัวอัลบั้ม Palmy 5 เอาใจคนคิดมาก ในสังกัด GMM Grammy
บางครั้งความฝันกับความจริงมันชัดเจน เช่นตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในโลกใบไหน ปาล์มมี่อาจเป็นหญิงสาวมั่นใจที่พร้อมกรีดร้องเมื่อต้องการได้ทุกเมื่อ แต่โลกที่กำลังจ้องมองอยู่ตอนนี้ ปีศาจขี้อายดูไม่คุ้นกับการสื่อสารกับผู้คน บางทีการให้เธอแสดงความรู้สึกผ่านบทเพลงคงง่ายกว่าการนั่งพุดคุยกับคนแปลกหน้า ด้วยอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ปาล์มมี่ขอเวลานอกไปหยิบแว่นตามาสวม กระจกใสบนกรอบพลาสติกกั้นขวางแบ่งแยกโลกของเราแม้เพียงชั่วคราว
ปาล์มมี่เล่าว่าโลกของเธอมันชัดเจนตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เธอเรียนเล่นกีตาร์ตอนอยู่ประถมหก ทั้งร้องทั้งเล่นที่โรงเรียนถึงขนาดมีวงดนตรีของตัวเองด้วยกีตาร์ตัวแรกที่คุณแม่ซื้อให้ แม้แต่ตอนที่ต้องย้ายไปอยู่กับคุณแม่ที่ออสเตรเลีย เปลี่ยนโรงเรียน เปลี่ยนสังคม ไม่มีเพื่อน ไม่มีวงดนตรีของตัวเองแล้ว แต่ปาล์มมี่ก็ยังร้องเพลงต่อไป เธอยังสงสัยว่าทำไมร้องเพลงแล้วรู้สึกมีความสุข ในทุกๆ วัน เธออยากกลับบ้านไปซ้อมร้องเพลงมากกว่าไปเล่นกับเพื่อน
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าศิลปินมักเกิดจากพรสวรรค์ เป็นสิ่งที่เหนือการควบคุม วาสนาเป็นสิ่งที่แข่งขันกันไม่ได้ หลายคนหยุดความฝันเมื่อหมดหวังทั้งๆ ที่พยายามอย่างหนัก สิ่งที่ปาล์มมี่เป็น บางคนอาจเถียงว่าเพราะเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เพื่อร้องเพลงขับกล่อมผู้คน
“มันไม่ง่ายเลยนะ มี่ทำงานหนักมาก มันแลกไปด้วยเวลา แลกด้วยความมุมานะ พยายามของมี่ อะไรที่มี่ไม่รู้ มี่ต้องไปเรียนรู้ เพื่อว่ามี่จะต้องสื่อสารกับคนทำงานให้ได้ มี่รู้สึกว่าสิ่งนั้นที่มี่ทุ่มเทลงไปมันเกิดผล มี่ไม่รู้จะพูดว่าอะไรนะ แต่มี่ยินดีที่ทุกคนชอบ มี่อยากจะบอกว่า มันไม่ง่ายเลย มี่ใช้เวลากับมันมากในแต่ละเพลง ในอัลบัมนี้มี่ใช้เวลาเกือบสองปีครึ่ง”
“เพลงเหล่านั้นมันเป็นแรงบันดาลใจให้มี่ด้วย มี่โชคดีที่ได้ทำงานกับคนเก่ง เปิดโอกาสให้มี่แสดงความเห็นได้ในทุกๆ เรื่อง มี่รู้ว่าคนที่ทำงานกับมี่เค้าเหนื่อย ทุกวันนี้มี่ก็ยังเปิดฟังอยู่บ่อยๆ มันเป็นแรงให้มี่ทำงานออกมา ถ้ามี่ไม่พร้อมก็จะไม่ออกมา มันก็เป็นสิ่งที่มี่ได้เรียนรู้มาตั้งแต่ที่ทำงานแรก คือมาตรฐาน รายละเอียดที่มี่ต้องใส่ใจ อะไรไม่ควรปล่อยผ่าน อะไรก็ตามมันสะสมให้มี่อยากทำมันต่อ แล้วทุกอย่างมันจะพิสูจน์อยู่ในงาน มี่ไม่ถนัดที่จะมานั่งพูดว่าตัวเองเป็นยังไง รู้สึกยังไง มี่ไม่ถนัด”
“การทำงานเพลง มี่ทำทุกอย่าง ชอบอยู่ในทุกขั้นตอน เพราะมี่อยากให้เป็นตัวมี่มากที่สุด แน่นอนมี่ทำงานกับคนหลากหลาย มันต้องแชร์กับเขาครึ่งนึงเราครึ่งนึง แต่เมื่อเราเอาตัวเข้าไปอยู่ตรงนั้นมาก เหมือนเป็นพรีเซนเตอร์ของอัลบัม มี่ต้องออกไปแสดง ออกไปรู้สึกกับเพลงเหล่านี้ ถ้ามี่ไม่รู้สึก มี่ทำไม่ได้ มี่เลยชอบอยู่ในทุกขั้นตอนเลยนะ ตั้งแต่ตอนมันเป็นเดโม แล้วเราจะต้องไปหาเนื้อให้มันลงล็อกนะ สุดท้ายก็ต้องมา อะเรนจ์ อะไรที่จะต้องเอามาให้มันฟังแล้วมันพิเศษมากกว่าอัลบัมที่ผ่านๆ มา การมิกซ์ก็ชอบ เอาอะไรมาใส่ในเสียงร้องให้มันอื้อออ มันใช่น่ะ (หัวเราะ) ตอนร้องก็ชอบ เพราะมี่ทำการบ้านเยอะเรื่องร้องเพลง”
Cry Cry Cry ต้าร์ พาราด็อกซ์เป็นผู้แต่งเพลงนี้ ปาล์มมี่ นำมาทำดนตรีให้เป็นโมทาวน์
ครั้งหนึ่ง ปาล์มมี่ได้เข้าไปชมการแสดงสดของวงดนตรีวงหนึ่งจากออสเตรเลีย เป็นวงธรรมดาที่ร้องเพลงแบบโอเปร่าในเพลงร็อก สลับกับการเล่นอะคูสติกในท่วงทำนองคลาสสิเคิล เธอจำช่วงเวลานั้นได้ดี เธอร้องไห้ เป็นครั้งแรกที่ปาล์มมี่เข้าไปขอลายเซ็นจากศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ ตั้งแต่นั้น วง George จึงเป็นแรงบันดาลใจในการร้องเพลงของเธอ การมุ่งมั่นตั้งใจ แคร์ในสิ่งที่ทำ กล้าที่จะเป็นตัวเอง รีแลกซ์กับสิ่งที่เป็น ไม่เสียเวลามาใส่ใจกับภาพลักษณ์ ผมเผ้ากระเซิงรุงรัง รักในเสียงดนตรีและถ่ายทอดมันออกมา คือ สิ่งที่ปาล์มมี่คิดและทำตลอดเวลาที่ทำงานเพลง
ตั้งแต่เพลงแรกออกมาจากวิทยุ ชั่วข้ามคืนเธอเป็นนักร้องที่ทุกคนรู้จัก อยากร้องดังดัง พูดไม่เต็มปาก Tick Tock กุญแจที่หายไป Ooh! บางคนร้องได้แม้เพียงเมโลดี้อินโทรขึ้น ทั้งเสื้อผ้ากับทรงผม สไตล์การแต่งตัวที่แตกต่าง จนผู้คนสถาปนาเธอเป็นผู้นำเทรนด์ในช่วงเวลาหนึ่ง
ผ่านไปแต่ละวัน ก็ยังหวั่นในใจ ว่ามันเกิดอะไร กับรักที่เธอให้มา … เธอยังรักฉันรึปล่าว เธอมีใครสำคัญกว่า เพียงแค่คิดยังปวดร้าว … เพราะว่าใจกลัว กลัวว่าเธอจะทิ้งกัน จากไปลืมคนที่เคยบอกรักกัน … ลืมทุกๆ อย่าง มันอ่อนล้าและสับสน
“กลัว” เพลงดังในอัลบั้มแรกที่ทำให้เราได้รู้จักเธอในฐานะศิลปินหญิงที่มีสไตล์อันแตกต่าง
กระแสเพลงไทยในช่วงเวลา 10 ปีจนถึงปาล์มมี่ได้เป็นแรงบันดาลใจในการคิดต่าง ทำต่าง ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นคือความเป็นอิสระในหัวใจของผู้คน แม้แต่การที่เธอต้องเข้าไปอยู่ในแกรมมี่ก็ไม่อาจกำหนดทิศทางดนตรีของเธอได้หากเธอไม่ต้องการ บรรดาค่ายเล็ก ค่ายน้อยเกิดขึ้นตามมามากมาย อาทิ สนามหลวง สมอลล์รูม ค่ายเพลงทำมือปกพรินต์จากเครื่องสแกนที่บ้าน ดนตรีคือความเป็นอิสระ ทางเลือกของผู้บริโภคมีมากขึ้น การประกวดนักล่าฝันที่ขายหน้าตามากกว่าความสามารถเกิดขึ้นทุกช่องทาง สนามแข่งขันในตลาดเพลงเป็นพื้นที่ที่ใครที่มีพลังพอก็สามารถลงมาเล่นได้ การล้มหายตายจากในวงการเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ปาล์มมี่เลือกที่จะทำงานเงียบๆ ใช้เวลานานมากกว่าจะคลอดงานออกมาแต่ละชิ้น ต่างจากศิลปินอื่นที่จะต้องคิดวางแผนโปรโมตตัวเองตลอด คลอดผลงานเพลงที่คิดว่าจะทำให้อยู่ได้แม้เพียงเพลงคุณภาพ 2-3 เพลงต่ออัลบัม แลกกับการต่อลมหายใจของชื่อเสียงในวงการ กลัวการถูกลืม
“ไม่มีใครรู้จัก มี่เป็นอย่างนั้นไปแล้ว คือ ช่วงที่มี่หายไป มี่ใช้เวลาปีนึงนั่งคิดอยู่ว่ามี่จะทำมันต่อรึเปล่า แล้วหลายปีที่มี่หายไปก็น้อยมากที่มี่ออกมาเล่นคอนเสิร์ต คือต้องเป็นงานที่มี่อยากไป อยากไปร่วมงานกับเค้าจริงๆ ระหว่างทางที่มี่ทำอัลบัมนี้ มี่มีอาการที่แบบว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองว่าจะทำได้ เพราะวิธีการทำงานที่มันแตกต่างออกไป การทำงานที่มันเปลี่ยน มี่เริ่มมันมาทั้งหมดคนเดียว ถ้ามี่ไม่อยากทำต่อ ก็ไม่สามารถมีใครมาบังคับว่า ทำสิมี่ มี่สามารถหยุดเวลาไหนก็ได้ที่มี่รู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะทำ มันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เราสัญญาว่าจะทำอัลบัมให้จบก็จะทำ ถ้ามี่ไม่ทำให้มันจบก็ไม่มีใครรู้หรอก เพราะมี่ทำแบบเงียบๆ ทำแบบวันนี้อยากทำ มี่ก็ไปทำ วันนี้ไม่พร้อมก็ไปเที่ยว ไปพักผ่อน มันก็เลยรู้สึกว่ามี่ได้เจออีกด้านหนึ่งมาแล้ว แบบที่มี่เดินออกไปข้างนอกไม่มีใครเลยที่จะเข้ามาทักมี่ด้วยซ้ำ
“มี่ใช้ชีวิตแบบปรกติมาก โดยที่ไม่ได้แคร์ด้วยว่าจะไม่มีใครรู้จักมี่แล้ว ถ้าอัลบัมนี้มันไม่เสร็จ ต่อให้เวลาที่มีมี่หายไปนานกว่านี้ มี่ก็จะทำ เพราะว่ามันไม่เสร็จ มี่ยังไม่พร้อม ถ้ามันต้องใช้อีกสองปี มี่ก็ต้องใช้อีกสองปี ซึ่งมันก็จะเป็นเจ็ดปีที่มี่หายไป (หัวเราะ) แต่ว่าตอนนี้มี่พร้อม มี่จึงกลับมา กลัวถูกลืม อย่างนั้นมี่ไม่เอามาแบก ไม่จัดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งไหน เป็นผู้เล่นแบบไหน คือแค่ทำในสิ่งที่มี่คิดออก มีประสบการณ์ ตกตะกอน เดินหน้า ถ้ามี่ยังคิดไม่ออก มี่จะไม่ออกมาแน่นอน จะว่าไปมี่ก็ไม่เครียดกับมันนัก มี่ทำงานสบายๆ อยากทำวันไหนก็ทำ มันมีกดดันบ้างแหละ จะทำยังไงให้งานมันพัฒนาไปข้างหน้าน่ะ นั่นหมายถึงความต้องการเรามากขึ้น มันก็จะทำให้เราหาทีมงานได้ยากขึ้นแล้ว เพราะว่ามันคือการทำงานที่หนัก มี่คิดทีละอัลบัม สิ่งที่เป็นอยู่คืออัลบัมนี้มันยังไม่ออก มี่ต้องดูอีกว่าคนเค้าจะรู้สึกยังไงที่อัลบัมนี้มันออกมา”
งานเพลงสุดประทับใจกับทีโบน Palmy Meet T Bone Flower Power Concert
หากมนุษย์ต้องอยู่ได้ด้วยการสูดลมหายใจ ศิลปินจักมีชีวิตด้วยการสร้างศิลปะ ผลงานของปาล์มมี่ที่สั่งสม สะท้อนถึงความตั้งใจจริงของศิลปิน ความใส่ใจในงานทุกชิ้น พิถีพิถัน ปาล์มมี่ใส่ความเป็นตัวของตัวเองในแต่ละชิ้นงานอย่างสุดขั้ว สนุกก็ต้องเอาให้มันส์ ให้กระโดดโยกไปกับเพลงอย่างบ้าคลั่ง เศร้าก็ต้องให้น้ำตาเล็ด ระทม นอนก่ายหน้าผากกันเลยทีเดียว การไปให้สุดถึงทั้งขั้วบวกขั้วลบพาผู้ฟังและผู้ชมท่องไปในดินแดนแห่งอารมณ์ ดินแดนแห่งนั้นคือการปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวนพันธนาการโลกจากความเป็นจริง แต่การเข้าไปให้ถึงดินแดนลี้ลับแห่งนั้นไม่ง่าย การก้าวข้ามขีดจำกัดและกรอบของตัวเองในฐานะมนุษย์ การทำงานมีผลต่อทั้งชีวิต
“เรื่องที่มี่รู้สึกมากที่สุดคือเรื่องของมนุษย์ การไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ทำอยู่ มันแปลไปได้หลายเรื่องเลยนะ อย่างงานที่เรามีอยู่เนี่ย เราก็ทำไปแบบไม่ใส่ใจ ไม่ให้รายละเอียดกับมัน วันก่อนมี่โพสต์ในเฟซบุ๊กว่าอัลบัมนี้ของมี่เสร็จแล้ว สองปีครึ่ง ใช้เวลากินนอนรวมทั้งหมด เอามันมาคิด อยู่กับมันมานานมาก มี่ไม่รู้นะคนอื่นคิดอะไร แต่มี่ให้ความสำคัญกับมัน คือมี่ไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่มี่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ มันก็มีท้อบ้างล่ะ แต่สุดท้ายเราก็ต้องเดินไปแก้มัน เราต้องเดินหน้าสู้กับมัน เดินหน้า เดินหน้า เดินหน้า แต่มี่เห็นสังคมเรามันท้อถอยน่ะ ดูเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ตัวเองมี กลายเป็นแบบโทษนู่นโทษนี่ แต่ไม่เคยโทษตัวเอง มี่ว่าเราต้องหันกลับมาดูตัวเองว่าเราทำอะไรแล้วรึยัง เราทำงานหนักพอมั้ย ทำไมไอ้คนนั้นได้ตำแหน่งดีกว่า เฮ้ย คนนั้นทำไมเป็นอย่างโน้น เรามองตัวเรารึเปล่า แล้วเราทำดีรึยัง เราทำดีมันต้องมีคนเห็น ยังไม่มีคนเห็นก็วันนึงล่ะ วันนึงทำไปเรื่อยๆ ดิ ใช้เวลาอีกกี่นาน ขอให้มีความอดทน ใช้เวลาให้มันมากหน่อย ไม่แบบทำแป๊บนึงแล้วปล่อยละ ฉาบฉวย อยากได้แก้วแหวนเงินทอง อยากได้ความเด่นความดัง คุณต้องใช้เวลา มันไม่มีอะไรง่ายหรอกนะ ไม่ง่ายเลย แล้วสิ่งเหล่านั้นมันจะตอบแทนคุณวันนึง
“ไม่ว่าภาระการงานอะไร มีคนเคยถามมี่ในเฟซบุ๊ก พี่หนูอยากทำแบบพี่นะ แต่มันมีอาชีพไหนที่ทำแบบมันมีอินเนอร์เยอะๆ แบบพี่ แต่ทำแล้วไม่ไส้แห้งน่ะ มี่ก็ตอบเค้าไปว่า ก็งานแบบของคุณนั่นแหละ ไม่ไส้แห้ง คือถ้าหนูทำแบบพี่ วันนึงหนูคงโดนไล่ออก แต่มี่ไม่ได้บอกว่าคุณต้องมาเป็นเหมือนใครไง ให้คุณเป็นคุณ ถ้าคุณเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์ คุณก็ทำหน้าที่ให้ดี คุณจะขายก๋วยเตี๋ยว เป็นยาม เป็นพนักงานออฟฟิศ คุณต้องทำให้ดีที่สุด ก็แค่นั้น ไม่มีอะไรสายเกินไป ถ้าสมมติว่าการพูดคุยกันในวันนี้มันไปตกกระทบที่ใคร บางทีมี่ฟังคำพูดของใคร มี่ยังเอากลับมาคิด แล้วเราเลือกที่จะทำได้ การที่เราเกิดมาบนโลกใบนี้ เราเลือกที่จะเป็นแบบไหนได้ เราเลือกที่จะทำอะไรให้ดีและให้เลวได้ เพียงแต่คุณ เลือกอะไรล่ะ ถ้าเลือกแล้วขอให้คุณทำให้สุดทางเลย มี่มีคำพูดยึดเหนี่ยวอยู่คำนึงจากอาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ ช่วงเวลาที่แย่ๆ มี่ต้องการมีความสุขกับการทำงาน แล้วก็ทุกข์ให้มันน้อยๆ หน่อย แต่มนุษย์เราขาดความทุกข์ไม่ได้หรอก มันมาเดี๋ยวมันก็ไป ต้องรักษาความสมดุลให้ได้ แต่มันยาก คำพูดที่ทำให้มี่คิดคือคำว่า ปนแต่ไม่เปื้อน จุ่มแต่ไม่เปียก เราสามารถปะปนอยู่กับผู้คนในสังคมนี้ได้ แต่เราไม่เปื้อนหรือกระเพื่อมไปกับสิ่งที่มันเคลื่อนไหวไปตามกระแส มันทำให้มี่มีพลัง และอยากทำอะไรดีๆ ต่อไป ในธรรมชาติที่เราเป็นนี่แหละ โดยไม่ต้องโอนเอียง”
การเป็นตัวของตัวเองอาจต้องยอมแลกกับกฎเกณฑ์ที่สังคมขีดเส้นไว้ โดดเดี่ยวเดียวดาย ไกลกับความเป็นจริง แม้แต่การเลือกที่จะเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจต้องก้าวข้ามความเจ็บปวด ทุกข์ทนทรมาน ชื่อเสียงที่ได้รับอาจไม่มีวันเกิดขึ้นจริง หากคุณพร้อมจะเลือกเป็นและเชื่อในสิ่งที่คุณรัก ด้วยข้อจำกัดในหนึ่งชีวิตที่คุณมี คุณจะรับได้ไหมกับบาดแผลที่เกิดขึ้น
ปีศาจวางแว่นตาลง น่าแปลก! ภาพที่ปรากฏเป็นเพลงหญิงสาวสวยคนหนึ่งเท่านั้น
และเธอยังมีลมหายใจ
ศิลปินตัวจริงเป็นได้ทุกอย่าง แม้แต่ หางเครื่อง Palmy the Rhythm of the times