บ่น เป็นการระบายออกทางอารมณ์รูปแบบหนึ่งที่มนุษย์เจ้าปัญหาชอบ บางคนบ่น บางคนด่า บางคนโวยวาย ตามระดับความรุนแรงของความวีนเหวี่ยงในขณะนั้น มนุษย์เจ้าปัญหาสามารถบ่นได้ตั้งแต่เรื่องบนเตียง เงินทองไม่พอใช้ เจ้านายจู้จี้ จนถึงนายกฯ หน้าลักกก
What the hell mann!
เสียงปืนนั้นดังลั่น กอ ทอ มอ
เปลวไฟนั้นลุกไหม้ กอ ทอ มอ
เยาวชนนั้นสับสน น้ำตาคลอ
ผู้ใหญ่ ไม่รักกันเหมือนเคย
ผู้ใหญ่ ไม่รักกันเหมือนเคย
โหย่ว+
อยากจะบ่นเป็นเพลงฮิปฮอปแร็ปเปอร์สไตล์ลิ้นกระดกไฟแล่บ ใส่ริทึ่มหนักๆ บีตอัตราสองต่อสี่ กลืนน้ำลายสูดหายใจเป็นระยะ บางเรื่องที่หาทางออกไม่ได้ เรามักจะบ่น นักปราชญ์บอก เรื่องที่แก้ไม่ได้ ก็ต้องใช้เวลาเข้าช่วย แต่เคยได้ยินไหม เพลงก็บอก เวลาไม่ช่วยอะไร เอาน่ะ ขอบ่นหน่อยเหอะ ชักมันส์!
การมุ้ง การเมือง เรื่องไม่เข้าใครออกใคร คนในครอบครัวยังทะเลาะกันได้เพียงใส่เสื้อต่างสี ต่างความเห็น เราขอไม่กล่าวต่อประเดี๋ยวจะยาว เราขอพาคุณนั่ง บ.ข.ส. สายเหนือไปลงที่แม่สาย เดินไปตามทางหลวงหมายเลข 110 ทะลุผ่านท่าขี้เหล็ก มุ่งสู่ดินแดนพิศวงที่คนในอยากออก คนนอกอยากรู้ แนะนำให้ไปดูหนังใหม่ของผู้กำกับหนังสายเลือดฝรั่งเศส ลุค เบซง หยิบเอาประวัติบางส่วนของ อองซาน ซูจี สตรีนักต่อสู้ดินแดนชเวดากอง The Lady หนังท่ามกลางเสียงวิจารณ์ในทางบวกของผู้ชมในเทศกาลหนังนานาชาติหลายแห่ง
น้ำตาสยาม หรือน้ำตาพม่า หากมันเป็นน้ำตาที่มาจากความเศร้าต่อเหตุการณ์ที่ไม่สงบ ทำให้เรากินข้าวไม่อร่อย นอนไม่หลับกระสับกระส่าย คล้ายจะวิงเวียน เห็นคนขี้วีนมาหาเรื่องปิดถนนประท้วง นั่งรถเมล์ก็ลุ้นสายผ่าน จะขึ้นบีทีเอสก็กลัวไฟดับ เบรกแตกหัวทิ่ม บลา บลา บลา
ชักจะมันส์!
เบรกการบ่นไร้สาระไปก่อน เราใช้สิทธิพิเศษของสื่อมวลชนอันทรงเกียรติไปดูหนังฟรี แน่นอน เราใช้ข้ออ้างเรื่องที่ว่า ถ้าไม่ให้ดูหนังอองซาน แล้วจะให้ใช้อะไรมาเป็นข้อมูลล่ะ และแน่นอน เราได้ที่นั่งแถวหลังสุดในฐานะสื่อมวลชนที่โคตรทรงเกียรติ เราเดินในห้างหรูอย่างภาคภูมิ ยื่นตั๋วหนังที่สกรีนลายโปสเตอร์หนังเฉพาะอีเวนต์ รอบพิเศษก็ต้องสำหรับคนพิเศษซิ เราเชิดหน้าอย่างไม่รู้ตัวขณะเดินผ่านฝูงชนชั้นกลางขณะนั่งรอดูหนังธรรมดาๆ ในห้างหรูนั้น
อย่างหล่อ!
ได้เวลาฉาย บรรดาคนดัง ดารา และเซเลบเดินผ่านช่องตรวจคนเข้าเมือง ตอมอใส่สูทยืนยิ้มสวย มองตั๋วอาญาสิทธิ์ พร้อมผายฝ่ามือโปรยงามๆ เป็นสัญลักษณ์การเชื้อเชิญอย่างมีมารยาทสังคม เราชม้ายตาและส่งยิ้มหวานๆ ตอบแทน เดินมองหาที่นั่งง่ายมาก ไฟสัญลักษณ์ A เปล่งแสงที่แถวหลังสุด นักข่าวหน้าตาธรรมดาเดินผ่านเราไปจากที่นั่งมุมซ้ายของจอโรง ด้านในมีเฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญไม่กี่กลุ่ม พีอาร์หนังจัดโซนให้โดยเฉพาะ วังเวงชอบกล
อย่าถามว่าเห็นคนพม่าโดนทหารสอยไปกี่คนในหนัง ความรุนแรงที่ปรากฏในจอผ้าใบอาจไม่เท่าผืนแผ่นดินที่อาบกลิ่นสาบเลือดและโครงกระดูกที่ฝังกลบใต้ดิน ดราม่าที่คุ้นเคยยังโหดไม่เท่าชีวิตจริงของคนพม่า อองซานเดินฝ่าปลายปืนในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังติดตา เราถามตัวเองว่า ผู้ชายอกสามศอก กล้าไหมที่จะทำอย่างเธอ เราถามตัวเอง แล้วก็หันไปถามอองซาน อองซานไม่ตอบ เพราะอองซานอยู่ที่พม่า อองซานที่นั่งอยู่ในโรงเป็นเพียงอองซานที่รับบทในเรื่อง อยู่กับเสื้อผ้า การเมกอัพ และจิตวิญญาณบางส่วนที่คัดลอกมาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการแสดงของเธอเท่านั้น
เราเห็นคนไทยมากมายที่รับบทเป็นคนพม่า ทั้งมิตรและศัตรูของอองซาน ฉากหนังถ่ายทำในไทยเกือบทั้งเรื่อง ดัดแปลงชานเมืองย่านรังสิตเป็นตลาดย่างกุ้ง ทิวทัศน์ป่าเขาสาละวินถ่ายที่เขาใหญ่ ดูแล้วคนไทยกับคนพม่า หน้าตาก็ไม่ต่างกันนัก ผู้กำกับยอมให้เวลานักแสดงไปเตรียมตัวแสดงด้วยการฝึกภาษาพม่า เรียนรู้วัฒนธรรมพม่ามากกว่าการเอาคนพม่ามารับบทโดยตรง เราไม่รู้จุดประสงค์ข้อนี้ แต่เข้าเรื่องสักที เรามีนัดกับนักศึกษาย่างกุ้งคนหนึ่ง พี่แกเดินออกมาจากโรงพร้อมกัน เราสบตากันชั่วเวลาหนึ่งอย่างรู้แกว หนังก็คือหนัง ภาพในจอกับชีวิตจริงต่างกันลิบ มองผ่านๆ ไม่รู้หรอกว่าพี่แกได้รับบทนักศึกษาหัวรุนแรงแห่งย่างกุ้ง เต็มที่ก็เป็นแร็ปเปอร์ที่นั่งกินกุ้งย่างแถวหาดบางแสน ด้วยความเคารพ เราขอไม่ล่วงเกินมากกว่านี้ เกรงจะเจอบาทาขาแร็ป
ไม่อยากวัดความหล่อระหว่างเรากับ เดย์ ไทเทเนียม เดี๋ยวแฟนคลับไทเทจะหมั่นไส้ อดไม่ได้ว่าทำไม มาไงเค้าถึงเลือกให้ไปเล่นเป็นคนพม่า คราบแร็ปเปอร์ที่เห็นช่างดูขัดตากับความมอซอในหนัง
“วันนั้นเป็นวันแต่งงานของเวย์ (ไทเทเนียม) พี่คนหนึ่งที่รู้จักให้ผมลองไป cast ดู ตอนแรกผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาถ่ายหนังเรื่องอะไร ผู้กำกับเป็นใคร และแสดงเป็นใคร เพราะตอนนั้นเป็นความลับมาก ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอ cast เสร็จผู้กำกับก็โทร.กลับมา ก็ยังไม่รู้ว่าใครแต่ก็รู้สึกดีใจ เขาถามพูดภาษาพม่าได้หรือเปล่า ผมบอกว่าไม่ได้แต่ผมเรียนได้ เขาว่างั้นก็ลองไปเรียนดู สัญญานะว่าจะต้องพูดได้ เรียนเกือบสามอาทิตย์ ช่วงนั้นทำอัลบัมใหม่ เตรียมทัวร์คอนเสิร์ต แฟนเพลงไม่รู้ บอกใครไม่ได้ มันคือความลับสุดยอด เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกี่ยวกับประเทศนึงที่เขาพยายามจะสู้รบเพื่อสันติภาพ รับบทเป็นมือขวาของอองซาน เป็นนักศึกษาย่างกุ้ง และบอดี้การ์ด ช่วยดูแลเขา ไปไหนก็ไปอยู่ข้างๆ เขาคอยปกป้องเขา ดูแลเขา เป็นเหมือนเพื่อนสนิท”
แล้วถ้าให้เป็นบอดี้การ์ดนายกฯ หญิงล่ะ เดย์หัวเราะ ไทยกับพม่ายังมีบางคนเอาไปเปรียบเปรยว่าช่างเหมือนกันอะไรอย่างนี้ เพศหญิงยอดนักสู้ Feminist โห่ร้องดีใจ สื่อไล่จัดอันดับผู้นำหญิงแห่งโลกใหม่ เราไม่ปฏิเสธถึงความพิเศษนี้หรอก แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น สำหรับการก้าวไปข้างหน้าของเมืองไทย
“ในพม่าเราตอบแบบตรงๆ ไม่ได้ เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราไม่ได้เห็นตรงนั้น ถ้าจะถามดูก็ไม่รู้จริง เราได้เห็นมาจากข่าวจากสื่อ เราก็พูดไม่ได้ เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า ว่าหนึ่ง ประเทศเขาเป็นประเทศปิดไม่มีใครรู้ความจริงแน่นอน เขาจะให้สื่อมาว่าคนนี้ดี คนนู้นไม่ดีก็ได้ เราตอบไม่ได้จริงๆ ต้องอยู่ที่ประชาชนบอก คนที่อยู่ที่นั่นบอก อย่างน้อยก็มี อองซาน ซูจี อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว เขาสู้เต็มที่ ถึงเขาจะออกมา เขาก็ยังบอกว่า Fight Go On การต่อสู้ยังต่อสู้ไปเพื่อประชาชน
แต่ที่นี่ไม่รู้จริงๆ ว่านโยบายของเขาคืออะไร ผมให้ความคิดเห็นตรงนั้นไม่ได้ แต่ผมว่าผู้หญิงต้องเป็นผู้นำได้แน่นอน เพราะบางทีผู้หญิงก็ละเอียดอ่อนกว่าผู้ชาย ทุกข้อทุกระเบียบ สิ่งที่เขาคิดเป็นระเบียบ เขาละเอียดอ่อนมาก จะให้คิดบัญชีเนี่ย ผู้หญิงอ่ะสุดยอด คิดเล็ก คิดน้อย ลืมวันเกิดเนี่ยไม่ได้ ผู้หญิงเป็นคนละเอียดอ่อน เพราะฉะนั้นความคิดของผู้หญิง on point ผู้ชายบางทีใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ผู้หญิงเรานับถือ อย่างแม่เราก็เป็นคนที่จริงจัง เกือบจะเหมือนกับหัวหน้าครอบครัวอีกคนนึง นอกจากพ่อผมแล้ว”
เรารู้ข้อมูลจากบุคคลปริศนาว่า เดย์ มีเชื้อสายทางพม่า อาจเป็นจุดเชื่อมโยงให้เห็นมิติ เมื่อยิงความสงสัยเข้าใส่ เขาว่า ใช่ มีเลือดพม่าอยู่ในตัว แต่เกิดที่เมืองไทยแล้วไปโตที่อเมริกา เพียงได้ยินทวนความจำผ่านคุณยาย ในหัวมีความเลือนรางเกี่ยวกับบ้านเก่าที่พม่า มองนัยน์ตายังมีความอ่อนโยนตามแบบฉบับของชาวพม่า เชื่อว่ามีอะไรบางอย่างที่เชื่อมตัวตนของ เดย์ กับเรื่องราวของพม่าสักทางหนึ่ง วัฒนธรรมเพลงฮิปฮอปรากมาจากการบ่นถึงชีวิตบัดซบของชนผิวดำ อิสรภาพ เชื้อชาติ ความน้อยเนื้อต่ำใจ มันมีอะไรใกล้เคียงกับสิ่งที่เดย์ทำ
“เพลงฮิปฮอปจริงๆ มันคือเพลงเพื่อชีวิต บ่นถึงชีวิตตัวเอง เราเคยเจออะไร ลำบากอะไรมาบ้าง เห็นชีวิตของคนอื่น สิ่งแวดล้อมมันเป็นยังไง มันเป็นอะไรที่พูดใน Freedom of Speed พูดในสิ่งที่เป็นความจริง แต่ไม่ได้ทำร้ายใคร เราคิดยังไงในสังคม เราเห็นยังไง คนนี้เป็นยังไง คนนั้นเป็นยังไง มันต้องเป็นความจริง ไม่บิดเบือน เล่าเรื่องชีวิต อย่างตอนที่ทะเลาะกัน ไฟไหม้กรุงเทพฯ เราก็พูดถึงตรงนั้น แต่ไม่ได้อยู่ข้างใครนะ เราอยู่ข้างประชาชน เราเป็นประชาชนคนหนึ่ง เราโดนกระทำ แล้วทำให้สิ่งที่เราเป็นเดินหน้าไปไม่ได้ มืดหม่น เป็นความเสียใจ เป็นการบ่น”
ท่วงทำนองริทึ่มหนักหน่วงและคำประชดเสียดสี หลายครั้งที่ฟังดูเหมือนเป็นเรื่อง Hardcore มนุษย์กับความรุนแรงเป็นสิ่งคู่กันตามธรรมชาติ บทเพลงเป็นการเตือนสติอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่การสะกิดเบาๆ สำหรับบางคนมันคงต้องผลักแรงๆ ถึงจะคิดได้ โหมดไร้สำนึกของคนบางกลุ่มมันฝังลึกแน่นหนา freedom ที่หลายคนเชื่อมีหลายระดับ
“เราตรงไปตรงมา เราพูดแนวรวมๆ ทั้งหมดใน freedom เราไม่ได้เป็นคนที่หัวรุนแรง เราพูดไม่ได้ว่าคนนี้เป็นยังไง รัฐบาลนี้เป็นยังไงเราจะไม่พูด ขอเป็นกลางดีกว่า คุณไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นยังไงจริงๆ เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราพูดได้อย่างเดียวคือ ในมุมมองของประชาชน ในมุมมองของคนที่คิดว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ในนามของประชาชนทุกๆ คนก็จะเห็นว่า มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีทางสามัคคี นั่นคือสิ่งที่ใหญ่หลวง เราเห็นและประสบกันมา ทั้งเกิดน้ำท่วม ทั้งทะเลาะ มันก็เกิดมาโดยที่คนไม่สามัคคีกัน ความสามัคคีสำคัญมาก อย่าง ถ้าจะเล่นบอล แต่ไม่สามัคคีกัน มันก็ไปไม่ถึง ต้องโดนแพ้โดนยิง 6-7-8 ประตูแน่นอน เราต้องป้องกันโกล์ของเราให้อยู่ก่อน ไม่อย่างนั้นเราโดนยิงทะลุแน่
มันคือความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่เราทำ แล้วก็พยายามสู้ในเพลงที่เราเชื่อ แล้วเราก็พยายามสู้ เราคิดว่าเราทำออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อันนี้ต้องถามคนที่ทำว่าเชื่อไหมในสิ่งที่เราบอก เพราะว่าเราเห็นในสิ่งที่เราเห็น เราพูดในสิ่งที่เราเห็น เราพูดในสิ่งที่เรารู้สึก ต้องอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน อย่างสมมติเราจะเขียนหนังสือออกมา คุณเขียนๆ ไปมันอาจจะเป็นความจริงก็ได้ ไม่เป็นความจริงก็ได้ เราต้องคิด ในเวลาอ่านหนังสือคนจะจินตนาการไปได้ คนจะคิดจะฝัน มันก็ต้องเขียนให้ดี เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมีจรรยาบรรณในสิ่งที่ตัวเองทำ”
อเมริกามีสงครามกลางเมืองเลือดสาดกันเองเพื่อประชาธิปไตย พระและนักศึกษาพม่าโดนสหบาทา ยัดเม็ดตะกั่วใส่ปากเพื่อประชาธิปไตย สุดท้ายพม่ายังอยู่ในรัฐเผด็จการทหาร กลิ่นการแบ่งแยกเชื้อชาติสีผิวในสหรัฐยังคละคลุ้ง ประชาธิปไตยและเสรีภาพมีอยู่จริงเหรอเดย์ ถามกันซื่อๆ
“ง่ายๆ เลยนะ อย่างในวง Thaitanium ใครจะทำอะไรก็ต้องโหวตกัน เวลาประชุมกันก็ต้องโหวต 1 ใน 3 คนที่เสียงเดียวก็ต้องแพ้ไป นั่นคือประชาธิปไตยใกล้ตัว ประชาธิปไตยมันก็อยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว การเมืองมันก็อยู่ทุกที่อยู่แล้ว การเมืองมันไม่ดี เศรษฐกิจก็แย่ เราโดนผลกระทบไปด้วย เราต้องสนใจการเมืองไปโดยปริยาย จะทำอะไรก็ต้องดูว่าการเมืองเป็นยังไง คนนี้โหวตขึ้นมาในแนวคิดการสร้างประเทศของเขาเป็นยังไง ต้องคิดแล้วว่าเราจะโหวตให้คนนี้ดีหรือป่าว คนนี้เขาจะเสนอนโยบายของเขาดีกว่าหรือเปล่า
เราต้องดูนโยบายแต่ละคนว่าดีต่อประชาชนชัวร์ไหม ประชาธิปไตยมีจริง ถ้าคนปฏิบัติกันจริงจัง ไม่ใช่แบบว่า พอโดนโหวตออกมาแล้วประท้วงไม่เอาๆ เอาคนนี้ออกไป นั่นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย เราไม่เคยเห็นนะ เราเคยเห็นที่นี่ที่เดียว แต่เราก็พูดไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จริงๆ แล้ว เรามีแค่ว่าจะให้ opinion เราคิดอย่างนี้แค่นั้นเอง เพราะประชาธิปไตยก็คือ สิ่งที่ประชาชนเลือกมาแล้ว มันต้องนับถือตรงนั้น
แต่ที่พม่าเราก็คงจะอึดอัด เราก็คงจะพยายามออกมาเหมือนพ่อเรา ทำไมเขาถึงพาเราออกมา ก็คงเหตุผลนี้ เพราะว่าเขาอยากจะได้ freedom ถ้าสมมติประเทศไหนที่เขาปิดกั้นความคิดของประชาชน ไม่เปิดเผยอะไรเลย เราก็จะอึดอัด ทุกคนก็ต้องพยายามออกมาแน่นอน ไม่มีใครอยากอยู่หรอก ผมมีส่วนคล้ายกับนักศึกษาย่างกุ้งในหนัง เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ก็อยู่ในความเชื่อของเราว่าจะทำได้แค่ไหน เมืองไทยเรามีเสรีภาพแล้ว แต่เขายังไม่มี มองหาอยู่ เรามีแล้วเราก็น่าจะรักษามันให้ดี สามัคคีกันไว้ เรามีแล้ว แล้วทำไมเราต้องกลับไปเป็นอย่างนั้นอีก เราต้องบอกทุกคนเลยว่าช่วยกัน สามัคคีกันดีที่สุด”
Angry young man ความมุทะลุของวัยรุ่นบวกกับพลังการสร้างสรรค์ตามแนวทางที่เลือก เรามองเห็นเขาเป็นแบบนั้น และเชื่อว่าทุกคนเห็นมันจากภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้น ถ้าตีความว่า ฮิปฮอปต้องดุ ต้องมันส์ สักเต็มตัว เจาะหู เจาะจมูก โชว์กล้าม แว่นดำ เดย์ มันจำเป็นรึเปล่า
“ฮิปฮอปไม่จำเป็นต้องดูโหดร้าย ดุดัน รุนแรง มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมมากกว่า สมมติอยู่ที่ฟรองซ์ อยู่ในเกตโต (ย่านชาวยิวในทวีปยุโรป) มันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง จะมาอ่อนๆ ก็โดนคนทำร้าย ต้องมีกำแพงให้ตัวเอง ถ้ากำแพงตรงนั้นมันหายไป สมมติคนที่พยายามกั้นเขาเปิดให้เรา เราก็เข้าไปได้ เราพยายามปิดอยู่ เราจะเปิดให้เขาเข้ามา มันก็รู้จักกันได้ แต่ถ้าไปแล้วก็เจอสภาพแวดล้อมที่แย่ๆ เราก็ต้องปิดประตูของเรา ป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด
สมัยก่อนก็อาจจะดุ สาวๆ ไรอย่างนี้มันก็ต้องมีอยู่แล้ว เจอปาร์ตี้ มันก็ต้องมี เราก็ไม่ปฏิเสธ สำมะเลเทเมา สนุกสนานกับชีวิต ถ้าให้เราตายวันนี้ เราบอกว่าชีวิตเราได้กำไรแล้ว บอกตรงๆ ได้กำไรแล้ว เราไม่เสียดายชีวิต เคยเมาข้ามวันข้ามคืน รสชาติช่วงนั้นสนุกแล้วก็ไม่รู้สึกเหนื่อย ถ้าให้ทำอีกตอนนี้ น่าจะเหนื่อยอยู่ ตอนนี้ก็รักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย ฟิตร่างกาย กินอาหารให้มันตรงเวลาขึ้น เราเมาจนเป็นโรคกระเพาะเข้าโรงพยาบาลเกือบเดือน กระเพาะแตก
ไปทัวร์มาเราก็ไม่กินข้าว กินแต่เหล้า ตอนนี้เราก็เลยกินเนื้อไม่ได้แล้ว ต้องกินอะไรที่มันอ่อนๆ พวกปลา ผัก เนี่ยแหละประสบการณ์ใกล้ตายวัยรุ่น ตอนนั้นมันไม่คิดอะไรอยู่แล้วแหละ อนาคตยังไม่คิดเลย ไม่กลัวตาย สู้อย่างเดียว พออายุมันมากขึ้นก็เริ่มสงบลง แต่ว่ายังสนุกกับการใช้ชีวิต ทุกวันๆ เราต้องใช้เวลาให้คุ้ม เวลามันเร็วมากนะ อย่างตอนเด็กๆ เวลามันเยอะมาก แต่ตอนนี้เราทำงานทำไมเวลามันน้อยมาก เวลาไม่เพียงพอแล้ว เช้ามาก็ต้องไปนู่นไปนี่ เฮ้ย เวลาไม่พอแล้ว ไม่ทันแล้ว อย่างตอนเด็กๆ เฮ้ย เวลาเมื่อไหร่จะหมด ตอนนี้เวลานั่งคุยกัน เดี๋ยว 5 นาที ต้องไปนู่นต่อ ไปนี่ต่อ เวลานี่สำคัญ”
The Lady Trailer
ศิลปินกับพื้นที่แสดงความคิดในสังคมปากว่าตาขยิบ เซ็นเซอร์หน้าอกชิซูกะ แบนหนังกะเทยแรง ขายหน้าตามากกว่ามันสมอง บางวงขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างบนดินกับใต้ดิน เหมือนตัวตุ่นหรือขอมดำดิน ศิลปินเลือกที่จะกำหนดพื้นที่โชว์ความคิดเห็นผ่านเวทีกระแสหลักกับพื้นที่มุมมืดใต้พื้นดิน ทำไมไม่เลือกเอาสักทาง เราถามเดย์
“บนดินกับใต้ดินมันต่างกันมาก เราจะพูดถึงในแนวของเราน่ะ บนดินก็คือคอมเมอร์เชียล ก็คือพวก Mainstream พูดไรที่ซอฟต์ๆ คือคนเรดิโออยากจะฟัง อันเดอร์กราวนด์ของเราคือจะพูดไปเต็มที่ แรงๆ อย่างเราไปเจอคนนี้มาเมาเละเทะ ถ้าเรดิโอจะเอาไปเปิดมันก็เปิดไม่ได้ นั่นคือ อันเดอร์กราวนด์ อย่างของเรา Still Resisting จะมีหน้า Underground กับ Mainstream ลองไปฟังดู Underground ดูมันก็จะดุๆ หน่อย ดนตรีก็จะอีกแบบหนึ่ง ดนตรีจะฟังยาก นอกจากคนที่เป็นฮิปฮอปแท้จริงๆ ถึงจะชอบฟัง Mainstream ก็จะเป็นอะไรที่ทุกคนชอบ ฟังทีหนึ่งโอ๊ยชอบเลย นั่นแหละ Mainstream เราอยู่ระหว่างกลาง บนดินกับใต้ดิน เราไปได้ทุกที่ เราอยู่ทั้งกลางคืนแล้วก็กลางวันได้ เราไม่ตายแน่นอน ต้องเดินสายกลาง”
น้ำตาสยาม – Thaitanium
เราสร้างบทสรุปให้ เดย์ ไทเทเนียม ว่าเป็นบุคคลนอกกรอบ สอนหน่อยได้ไหม ทำยังไงถึงจะนอกกรอบแบบเท่ๆ สาวตรึมล้อมหน้าล้อมหลังแบบคุณได้
“ชีวิตนอกกรอบก็คือชีวิตที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ คือชีวิตที่อิสระ คิดอะไรก็ไม่อยู่ในกรอบ ถ้าอยู่ในกรอบคิดอะไรออกไปก็เด้งกลับมา แต่พออยู่นอกกรอบเราก็คิดมองอะไรได้ไกลๆ ยกตัวอย่าง ตอนนี้มีอัลบัม Still Resisting ตอนนั้นตันมาก เราอยู่ในกรอบในบ้านเล็กๆ คิดกันไม่ออก ออกไปทำข้างนอกดีกว่า ไปกาญจนบุรี ไปภูเก็ต ให้สมองเราได้ปลอดโปร่ง มันได้รีแลกซ์มากกว่าคิดในกรอบ มันอึดอัด ถ้าออกไปนอกกรอบมันก็จะสบาย freedom จะวิ่งไปสุดขอบฟ้า ตกฟ้าก็ยังได้
อยู่ในกรอบมันได้แค่นี้ กรอบเขาพยายามให้เราอยู่มากกว่าแต่เราอยู่ไม่ไหว ให้อยู่ห้องเล็กๆ คิดอะไรไม่ออก มองได้แค่นี้ ถ้าได้มองไกลๆ ชอบมองแต่ข้างนอก แต่ก่อนจะออกนอกกรอบต้องคิดครับ ชีวิตมันเริ่มจากความคิดก่อนทุกสิ่ง ทุกอย่างมันเริ่มจากความคิด จะเขียนอะไรจะทำอะไร ต้องคิดออก คิดก่อนพูด คิดก่อนทำดีที่สุด ออกนอกกรอบมันอันตราย ถ้าเราผ่านมาได้ก็สุดยอด ไม่เคยพลาด ไม่เคยเสียดาย”
แล้วหญิงล่ะ? ไม่เกี่ยวเหรอ อืม ความสามารถพิเศษซินะ เดย์หัวเราะเบาๆ อย่างสุภาพ ช่างดูขัดตากับไอ้หนุ่มแร็ปเปอร์ที่กระโดดโลดเต้น ส่งเสียงโห่ร้อง ตะคอก ตะโกนใส่ไมค์ดุดันเสียจริง พื้นที่ในชีวิตมนุษย์มักมีหลายมุม ภาพและความคิดที่เราเห็นจากคนอื่นอาจไม่ใช่ทุกแง่มุมในชีวิตของคนคนนั้น หลังสัมภาษณ์และถ่ายรูปกันเสร็จ เราล่ำลากันตามมารยาททางสังคม ก้าวเดินไปตามทางที่ตนเชื่อ ดึกมากแล้ว โรงหนังปิด ห้างหรูดูสภาพเหมือนห้างร้างมากกว่า เบียดกับผู้คนที่มาดูหนังรอบดึกลงลิฟต์ แทรกตัวออกมาจากด้านหลังอาคาร
มีเพียงรถเมล์ครีมแดงเท่านั้นที่วิ่งยันเช้า โชคดี รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน คนขับพาฝ่าความมืดมิดสลับแสงไฟนีออนจากอาคารเรืองแสง สาวต่างด้าวยังทำงานอย่างขะมักเขม้นในร้านข้าวต้มโต้รุ่งเหมือนเดิมทุกคืน วัยรุ่นกอดคอกันเมาปลิ้น ลากตัวออกมาจากผับบาร์ย่านบันเทิง กะเทยอกใหญ่ยืนพ่นควันปุยรอรับแขกของหล่อน คนจรจัดนอนทอดกายริมฟุตบาทอย่างไม่แคร์ผู้ใด ผ่านไปได้สองแยกไฟแดง รถดูหนาแน่นอึดอัด ผิดกับช่วงเวลานี้ในคืนก่อน น่าจะมีเหตุการณ์ผิดปรกติ
เราเห็นป้ายอักษรหนึ่ง ยกชูท่ามกลางฝูงชนที่โห่ร้อง ออกอาการไม่พอใจอะไรบางอย่าง ป้ายนั้นเขียนว่า ประชาธิปไตยอยู่ไหน เราคิด เออว่ะ อยู่ไหนนะ