ถ้าเป็นไปได้ เราอยากจะถือไม้บรรทัดมาวัดขายาวๆ ของเธอจัง เพราะจากระดับสายตาแล้ว ทั้งเล็ก ทั้งยาว (ขานะขา) แบบนี้ ต้องนางแบบแน่ๆ เราคิดอยู่ในใจ จนกระทั่งเลื่อนสายตาขึ้นมาด้านบน ทั้งสะโพกโองเอวที่เข้าส่วนได้ที่ประหนึ่งพ่อแม่ช่วยกันปั้น เลื่อนไปอีกนิด เชื่อขนมกินได้เลยว่าหลายคนที่เฝ้ากดรีโมทหน้าจอต้องรู้สึกได้เลยว่า “คุ้นๆ” แน่ละ หล่อนผ่านการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณามาเป็นสิบตัว สาวหมวยพิมพ์นิยมแบบนี้ หนุ่มๆ ไม่คลาดสายตาเป็นแน่
หยก ณัฐปภัสร์ ธนาธนมหารัตน์ หรือใครๆ รู้จักเธอในสมญา “หยก ทรีบอร์ดแบร์น” (มู่มู่ มีมี่ และไอ้ตี๋บ๊วยเค็มนั่นเอง) ผ่านงานโฆษณามานับไม่ถ้วน ยกมาคร่าวๆ ก็มีตั้งแต่ของกินอย่างเครื่องดื่ม Ready Coke ไก่ย่าง 5 ดาว และCP ของใช้อย่าง ผ้าปูที่นอน Toto รองเท้าแตะ Kito เครื่องสำอางค์ Oriental Princess และAvon ครีมอาบน้ำ Lux แชมพู Rejoice ไปจนถึง ประกันชีวิตของบริษัทอาคเนย์ เรียกได้ว่าครอบคลุมแทบทุกรายการประเภทสินค้าจนเป็นดั่งเจ้าแม่โฆษณาคนหนึ่งของเมืองไทย
สาวเจ้ายังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ปีนขึ้นสู่จอใหญ่ ในบทตัวนางเรื่องแรกใน “ชิงหมาเถิด” ประกบ บอย ปรณ์ ไม่กี่ปีที่แล้ว และล่าสุดกับสาวเอ๋อสุดกวน แต่น่ารักโพดๆ ในบทน้องมี่ “อยากให้รู้ว่ากูติ๊สท์” ของค่ายโมโนพิคเจอร์ หนังชนโรงปลายเดือนพฤษภาคมนี้
อยากให้รู้ หนูก็ติ๊สท์
“อ่านบททีแรกตกใจเลยคิดว่าคนเขียนบทรู้ได้ไงว่าตัวจริงหยกเป็นแบบนั้น พอถามพี่ ๆ ที่เลือกหยกเข้ามาเล่น ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคาแรกเตอร์มี่ คือหยกอย่างกับฝาแฝด พอได้มาเข้าฉากก็เลยทำให้รู้สึกไม่กังวลเท่าไหร่ เพราะได้เล่นเป็นตัวเอง แต่จะกดดันตอนที่ต้องทำสวีทกับพระเอกที่ทำหน้าทะเล้นใส่เรา อดหลุดขำไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ทำไม่ได้สักที เรียกว่ากว่าจะผ่านแต่ละฉากได้เล่นเอาลุ้นแทบแย่”
เราเชื่อ เพราะภาพที่เห็นเกิดจากความสดใสน่ารัก แม้เครื่องสำอางค์จะปัดให้หน้าเรียวๆ นี้ใสเด้งขึ้นมา แต่ลึกๆ แล้วหากปราศจากเครื่องประทินโฉม แก้มใสอวบอิ่มของเธอยังดูอบอุ่นและจริงใจ นัยตาแววๆ เหมือนลูกแมวขี้เล่น มองดูซุกซน เราสงวนท่าที เพราะไม่อยากเปลืองหัวใจ
หล่อนขยับท่านั่งแก้อาการเขินประหม่า เล่าเรื่องที่นำพาให้เรามารู้จักกับเธอในหนังเรื่องล่าสุด “เล่นเป็นมี่ น้องสาวของพี่โม่อาร์ตไอดอลตัวพ่อ ซึ่งพระเอกได้ฝากตัวเป็นศิษย์และหลงรักหมี่ คาแรกเตอร์ของหมี่จะเป็นหญิงสาวที่ชอบงานศิลปะ มีความมั่นใจในตัวเอง แต่จะโก๊ะ จะเปิ่น จะแป๊กมุกฮา รักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ มีอุดมการณ์ในการใช้ชีวิต ซึ่งบทของหมี่เหมือนตัวจริงของหยกเลยค่ะ เหมือนได้เล่นเป็นตัวเอง เพราะตัวจริงหยกค่อนข้างโก๊ะ ๆ อยากเล่นมุกฮาแต่ไม่เคยรอดสักที ร่าเริงมาก เล่นมุกแป๊ก! ออกมายิงให้คนงงๆ แล้วก็ไป แต่เป็นผู้หญิงที่จุดประกายให้พระเอกชอบศิลปะ 'ศิลปะ มันเท่ห์ดีนะ' หมี่จะเป็นคนพูดบทนั้น พระเอกก็เลยเข้าใจว่า ผู้หญิงน่ะ กรี๊ดคนที่เป็นอาร์ตติสท์”
ไปยังไง มายังไง
“หยกเป็นพิธีกรอยู่ที่ mono อยู่แล้ว พี่เขาก็เรียกมาแคสบอกว่าเนี่ยล่ะ น้องเลย ไอ้เราก็งงๆ เพราะในเรื่องมันต้องเป็นเด็กวัยรุ่น ประมาณเดินสยาม อายุ 16 17 นะ แต่เรามันโตแล้ว 20 กว่าแล้ว มันจะได้เหรอ ดูไม่เข้ากะตัวเอง พี่แกก็บอกว่า นี่แหละหนูเลย ต๊องๆ บ๊องๆ (ขำ) ตอนเขียนบทพี่ก็นึกถึงน้องนั่นแหละ คาเร็กเตอร์ตรงกะตัวจริงมาก (หัวเราะ) ก็อปปี้ตัวจริงมาเลย เวลาไปสัมภาษณ์ส่วนใหญ่พี่เขาก็จะถามว่า ซีนไหนเล่นยากสุดก็นึกไม่ออก เพราะเราไม่มีอะไรที่ต้องพยายามเป็นตัวอื่นเลย”
อยากรู้จังว่าเล่นจอเงินในโฆษณากับหนังใหญ่ อันไหนมันยากกว่ากัน ในฐานะที่เป็นเจ้าแม่โฆษณา หยกหยุดคิดสักพัก “โฆษณา เราต้องเป๊ะทุกอย่าง ห้มขาด ห้ามเกิน แต่เล่นหนังเราสามารถเสริมได้ เอ๊ะ ขอเติมตรงนี้ได้ไหมคะ เอาตรงนี้เพิ่มอีกหน่อย มันก็เลยง่าย เหมือนเอ็มวีค่ะ อย่างเอ็มวี เราต้องรับอารมณ์ตรงนั้นมาทุกอย่าง แล้วเอามาแสดงแบบของเราเอง”
อาจเพราะว่าไม่ได้มีเส้นสาย ชีวิตก็เหมือนเด็กทั่วไป เดินสยาม มีแมวมองมาทาบทาม หยกใช้เวลาเป็นปีเดินสายแคสติ้ง แต่ปรากฎว่าฟ้าฝนยังไม่เป็นใจ “ปีเต็มๆ กับ 30 งาน คือ ไม่ได้เลย เสียselfไปเลยค่ะ โดยเฉพาะงานตัวสุดท้ายทำให้จำขึ้นใจเลย คือพี่ที่มาแคสติ้งเค้าบอกเราว่า หน้าบานขนาดนี้อ่ะ ใครเรียกมา ร้องไห้ ร้องเลยค่ะ ไม่เอาแล้ว พอ เพราะว่า 30 กว่าตัวก็เป็นผลนะคะ ว่ามันคงไม่ใช่ ไม่ควรจะแคสต่อ ก็เลยหยุดพัก”
“มาวันหนึ่งมีพี่ที่เป็นผู้จัดการดาราคนหนึ่งเขาชวน บอกอยากให้ประกวดซุปเปอร์โมเดล ซึ่งหนูไม่ชอบเวทีประกวด มันไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เขาบอกมั่นใจว่าหนูต้องได้ พาไปแต่งหน้า ทำผม ลดน้ำหนัก แล้วก็ลดได้ 5 โล ภายในเดือนเดียว จาก 55 เหลือ 50 ก็โอเค แล้วตอนไปประกวด หนูว่าเป็นดวง ทำให้หนู่เชื่อว่าหนูไม่ได้มาทางนี้ ตอนไปเดินแบบ หนูโดนยกเลิกงานหลายรอบมาก ตอนไปเดินก็ไม่ผ่านรอบคัดเลือก หยกไม่ไปแล้ว ไม่ไหว มันเสียเซลฟ์ จนกระทั่งเราตัดสินใจลองมันอีกครั้ง ไปลองแคสโฆษณารองเท้าแตะยี่ห้อหนึ่ง เราก็ไปแบบเผื่อใจ ได้เลย เทคเดียวผ่าน หลังจากนั้นก็ได้งานมาติดๆ 7-8 ตัว หนูก็เลยเชื่อว่า ถ้าจะอยู่ในวงการนี้ มันอยู่ที่จังหวะจริงๆ”
ไอดอลในดวงใจ
เธอเล่าให้ฟังว่า ชอบพี่นกสินจัยในด้านการแสดง แสดงอะไรก็ดูสวยไปหมด และแอบปลื้มชมพู่ อารยา จากสไตล์การแต่งตัว ใส่อะไรก็ดูดี หยกยอมรับว่าก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากสวย แต่ก็ยังยืนยันว่าไอดอลที่ดี นอกจากจะต้องเปลือกที่งดงามแล้ว ภายในก็ต้องดีด้วย
“ไอดอลที่ดีต้องมาจากข้างใน ภายนอกก็แค่รูปลักษณ์ ถ้าเกิดว่า หน้าสวย แต่ข้างในไม่ดี ก็ไม่สามารถเป็นไอดอลได้ ไอดอลต้องสามารถทำให้คนอื่นเห็นว่าคุณมีดี ไม่ว่าจะเก่งด้านไหนก็ตาม แค่ให้เห็นว่าคุณเป็นคนดีก็พอ” แล้วไอดอลจำเป็นต้องติสท์ด้วยรึเปล่า เราถาม พยายามโยงเข้าเรื่องหนัง
“จะเป็นไอดอลในสมัยนี้ จำเป็นต้องอาร์ต ต้องติสต์แตกด้วยรึเปล่า จริงๆ ก็ไม่จำเป็น อย่างในเรื่องเนี่ย พระเอกเค้าอยากมีสาวกรี๊ด แล้วเค้าไปเป็นไอดอลคนหนึ่งที่เป็นอาร์ตติสแล้วสาวกรี๊ด ก็เลยอยากจะเป็นเหมือนเค้า แต่จริงๆ ก็ไม่เสมอไป ไม่ว่าจะเป็นไอดอลด้านไหน ทุกคนก็ดูดีได้หมด ตอนแรกก็เข้าใจว่า อาร์ต หรือ อาร์ตติสก็คือพวกศิลปิน แต่วัยรุ่นเดี๋ยวนี้เค้าเอาคำนี้มาใช้แบบเหมารวมไปหมด พออารมณ์เสียนิดหน่อยก็ว่าแบบ เฮ้ย ติสต์แตกแล้วอ่ะดิ พวกชอบเหวี่ยง ชอบวีน พวกชอบทำตัวแปลกๆ แหวกแนว สันโดษ คิดจะทำอะไรก็ทำ”
ความรักของคนมีสี
ความรักมันเป็นเรื่องเข้าใจยาก อาจเป็นประเด็นหนึ่งในหนัง อยากให้รู้ว่ากูติสท์ มีประเด็นเรื่องความรักและศิลปะที่แยกกันไม่ออก “ศิลปะก็เหมือนกับความรัก อย่างในหนังเลย เข้าใจยากทั้งคู่ คำว่าศิลปะ มันไม่มีความหมายตายตัว มีเป็นร้อยเป็นพัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะแปลความหมายว่าอะไร ความรักก็เหมือนกัน ความรักมีความสุข แต่รักก็มีทุกข์ได้ด้วย มีเศร้า เหงา ว้าเหว่ คือมีหมด ตีเป็นสีก็ได้ เป็นสีชมพูสดใส สีดำก็จุดมืดแล้ว เริ่มตกต่ำ ความรักตกต่ำ สีเทาก็แย่ สีน้ำเงินก็เหงา แฟนทิ้ง” แล้วความรักของน้องล่ะ สีอะไร เราถามโดยพลั้งปาก ไม่หวังหรอกว่าจะได้คำตอบที่ดี หยกยิ้มและตอบอย่างมั่นใจ
“ความรักของหยก สีฟ้าน้ำทะเลค่ะ มองทะเลกลางวันก็สวยสดใสมาก แต่พอตกกลางคืน ก็มืดคล้ำ เป็นได้หลายแบบ ช่วงนี้ยังไม่มีใคร ช่วงนี้ทำงานค่ะ ก็เคยมีคนคุยนะ แต่ถ้าหนูได้ทำงานแล้วหนูจะไม่สนใจใครเลย จนเค้าบอกว่า นี่ไม่มีเวลาแม้แต่จะคุยเลยเหรอ เราก็แบบบอกเค้า ไม่เป็นไร ไม่ต้องรอก็ได้ บางทีก็เหงา เป็นเดือนๆ ไป ช่วงต้นปี โดยเฉพาะวาเลนไทน์จะเหงามาก (หัวเราะ) บางทีมันก็จะมีแบบ จิตตก ไม่ได้เกิดจากอะไรเลยนะคะ บางที ทำงานไป กลับถึงบ้านร้องไห้ เหงามาก บางที เป็นช่วงๆ ค่ะ นี่ช่วงนี้เริ่มเป็น ไม่ได้เป็นมาเป็นเดือนแล้ว (ขำ) บางทีเราก็เหนื่อยมากๆ เราต้องการกำลังใจ แต่เราก็ไล่กำลังใจของเราไปแล้ว (หัวเราะ) ถ้าจะให้ลองคบคนติสต์ก็ได้นะ ที่จริงก็ยังไงก็ได้ จะให้คุยกับคนติสต์ก็ได้ จะให้เลือกก็เลือกติสต์นะ เพราะชีวิตหนูธรรมดาพอแล้ว ก็เลยต้องการคนที่ติสต์มาเติมความติสต์ให้เรา”
ธรรมะไม่ใช่แค่ของคนแก่
ตั้งแต่มานั่งบนโซฟาสีแดงตัวนี้ เราไม่รู้เลยว่าร่วมยิ้มและหัวเราะไปกับเธอกี่ครั้งแล้ว “เป็นคนร่าเริง ไม่ค่อยโกรธนะ ถ้าใครมาทำให้โกรธ แป๊บเดียวก็จะลืมไปแล้ว สงสัยอยู่ว่าที่จริงเป็นปลาทองรึเปล่า (หัวเราะ) เป็นคนโกรธแล้วหายไวค่ะ ถ้าใครมาทำให้โกรธนี่เก่งมาก จะไม่ค่อยคิดอะไรค่ะ แต่เป็นคนคิดเยอะ เรื่องวางแผนชีวิต เรื่องงาน เรื่องเรียนเนี่ยคิดไว้หมดแล้ว รู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว ควรจะมีอะไรเป็นของตัวเองได้แล้ว บางทีมันรู้สึกว่าไม่อยากหยุดอยู่แค่นี้ เพราะตรงนี้มันไม่มีอะไรที่จีรังเลย ไม่รู้ว่าเราจะหลุดออกไปจากกวงการนี้เมื่อไหร่ เพราะคนเข้ามาเยอะมากๆ เด็กสมัยนี้ หน้าตาดี หุ่นดี ก็สามารถมาแทนที่เราได้ทันที แล้วเราก็ยังไม่ได้ดัง ไม่มีชื่อเสียง ก็เลยไม่รู้ว่าจะอยู่ตรงนี้ได้อีกนานไหม”
หยกเริ่มเล่าเรื่องที่เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่รู้สึกได้แต่มองไม่เห็น แม้อายุเพียงเท่านี้ แต่เราก็รู้สึกว่าเธอไม่เหมือนเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป “ทุกครั้งที่หนูมีปัญหา เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง สิ่งที่จะทำก็คือ สวดมนต์ อย่างเวลาไปสถานที่แปลก ไปนอนโรงแรมต่างจังหวัดตอนที่ต้องยกกองออกไปถ่ายทำก็จะสวดมนต์ บทอิติปิโส สุคโต ก่อน ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง คือหนูก็เชื่อเรื่องพวกนี้ในระดับนึงนะ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เราก็ต้องขออนุญาติเค้าก่อน เผื่อว่าเราจะไปไหน ทำอะไร เค้าจะมาแกล้งเรารึเปล่า”
“บางทีก็อยากอยู่คนเดียว แบบเบื่อเมือง เบื่อคนที่วุ่นวาย เลยหนีไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด เวลาเครียดก็สวดมนต์ ถือศีล แล้วก็รู้สึกดีขึ้น คนที่มีธรรมะในจิตใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของคนแก่ อย่างน้อย มันก็จะมีอะไรให้ยึดเหนี่ยว ตอนเครียด ท้อแท้ มันก็จะช่วยเราได้ หลายคนบอกว่า เครียดเราต้องไปเที่ยวผับ ไปเมา แต่นั่นมันก็แค่แป๊บเดียว ตื่นมาเราก็เครียดต่อ ยังไงเราก็ต้องกลับมาเจอตรงนี้ แต่พอสวดมนต์ปุ๊บ เราจะสงบไปอีกยาวเลยค่ะ มันช่วยได้จริงๆ”
จากสาวรองเท้าแตะถึงนางเอกจอเงิน
มาเร็ว ไปเร็ว เป็นลักษณะของดาวในสมัยนี้ ยิ่งเป็นอะไรที่หวือหวา บางคนอาจทำใจไม่ได้เมื่อชื่อเสียงและเงินทองพลันหายวับไปกับตา แต่เราเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้คงไม่เกิดกับหยกเป็นแน่
“หนูไม่ชอบอะไรหวือหวา ไม่แบรนด์เนม แต่ใช้อะไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเองดูดี ไม่จำเป็นต้องถือของแพงก็ได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่ คุณค่าของมัน ถึงไม่แบรนด์ มันก็ยังมีความสวยของมัน อย่างชุดปกติเนี่ย หนูใส่แค่ 150 นะ ร้อยเดียวก็ใส่ ไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง แค่เรารู้ว่าใส่แล้วเราดูดี โห กว่าจะหาเงินมาได้ มันเหนื่อยนะ บางคนว่าหนูงก แต่หนูไม่ยอมเสียตังค์แน่ๆ กับ สี่ห้าหมื่นแล้วได้กระเป๋าใบเดียว อย่าหวังได้แอ้ม เงินหนู” หล่อนยิ้มอย่างมีความสุข เราเชื่อแล้วล่ะ ว่าเธอมีความสุขกับสิ่งที่ทำ”
“ถ้าเราไม่ได้มาทำงานอยู่ตรงนี้ ก็เป็นแค่เด็กคนนึงที่วันๆ เอาแต่เรียนหนังสือ เสร็จแล้วก็เดินห้าง คงไม่มีอะไรพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่น และหนูรู้สึกภูมิใจมากเลยที่หนูหาเงินได้เองแล้ว ไม่ต้องขอพ่อแม่ และให้เงินคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว เลยคิดว่าตัวเองโตแล้ว นิสัยโตขึ้น มุมมองต่อทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะตอนแรกหนูมองวงการบันเทิงว่า สวย เอ้ย งานง่ายๆ สบายๆ แป็บเดียวก็ได้เงินแล้ว แต่ความจริงมันไม่ใช่นะคะ มันต้องเหนื่อย กว่าจะได้เงินมา เรื่องการตรงต่อเวลา เมื่อก่อนจะตั้งนาฬิกาปลุกไม่เป็น เดี๋ยวนี้ไม่ว่าอะไรก็ตาม ต้องมาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว”
Official Trailer Art Idol อยากให้เธอรู้ว่ากูติสท์