เขาว่าคนจริง พูดคำไหนก็คำนั้น ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม นั่นแหละคือคนจริง และสิ่งนี้ก็พิสูจน์ให้เราเห็นว่า “แทค-ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม” เป็นคนจริงสมกับคำพูดดังกล่าว
เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในวันที่ตะวันคล้อยหลังเรามีโอกาสได้นั่งชิลๆ คุยกับหนุ่มเท่เจ้าเสน่ห์คนนี้ มีความผิดพลาดทางเทคนิคบางประการจากระบบบันทึกเสียง ขณะที่การสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่นออกรส ปรากฏว่าเทคโนโลยีก็เบี้ยวเรา เครื่องบันทึกเสียงเจ้ากรรมหยุดทำงานซะตอนไหนก็ไม่รู้ ทำให้เราต้องเริ่มบทสนทนาใหม่อีกครั้ง รอยยิ้มและคำว่า “ไม่เป็นไรครับ” หลุดออกจากปากผู้ชายคนนี้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทุกคำทุกอารมณ์ความหมาย ไม่มีผิดเพี้ยนไปจากที่เราได้ยินในตอนแรกแม้สักกระเบียดนิ้ว
เราไม่ได้จะบอกว่า คุณควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อในคำพูดและตัวตนของผู้ชายคนนี้ แต่อย่างน้อยก็เชื่ออยู่ลึกๆ ว่า บทสนทนาถัดจากนี้ น่าจะอธิบายความเป็นแทค-ภรัณยู ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย…
คิดถึง “แทค” คิดถึง “เซ็กซ์”
นัมเบอร์วันในเรื่องรัก
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลงานมากมายของชายหนุ่มผู้นี้ คงทำให้ใครหลายคนได้ประจักษ์ชัด และสัมผัสได้ถึงองศาแห่งความร้อนแรง ทั้งจากเรื่องงาน (ดูจากปริมาณการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาส่วนใหญ่ที่เขาได้รับ ถ้าไม่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย ก็ใกล้ๆ อยู่กับผลิตภัณฑ์ที่หนุนนำความรู้สึกทางเพศ) ซึ่งมักจะมาพร้อมกับการเปลื้องกายเฟิร์มๆ ของนายแบบอย่างเขา นั่นยังไม่นับว่า เรื่องชีวิตส่วนตัว เขาก็ดูจะมีข่าวนัวๆ ในเรื่องความสัมพันธ์ จนใครหลายคนอาจจะคิดว่านี่คือเครื่องหมายการค้าของเขาไปแล้ว
“เราไม่ได้คาดหวังว่าเป็นอะไรอย่างนั้น” แทคหัวเราะร่วน ก่อนอธิบายว่า “เราไม่ใช่คนกำหนด คนอื่นเป็นคนกำหนดให้เราเป็นแบบนี้ และด้วยบุคลิกด้วยอะไรของเรามันตรงแบบนั้น เราเลยไปอยู่ ณ จุดจุดนั้น ที่เขามองเราว่าเราเป็นแบบนี้”
แม้เจ้าตัวจะเอ่ยปากถ่อมตนว่า “ผมเฉยๆ นะ” เมื่อเราถามว่ารู้สึกอย่างไรกับการเป็น “นัมเบอร์วัน” ตัวแทนสัญลักษณ์ในเรื่องเพศ อย่างที่ใครหลายคนพูดถึง แต่กระนั้นเราต้องยอมรับว่า ทั้งผลงานถ่ายแบบเซ็กซี่แต่ละเซต อิริยาบถภาพลักษณ์ที่แสดงออก หรือไล่เรียงไปจนถึงข่าวซุบซิบ กระทั่งการเป็นตัวยืนพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ยาเสริมพลังทางเพศ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เสริมส่งให้ตัวเขานั้นค่อยๆ โดดเด่นเป็นหนึ่งในตองอูเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ และพลอยให้สงสัยไม่ได้ว่าเขากำลังมาแทน “นิกกี้ พิ้ม-สุระ ธีระกล” ผู้ชายในตำนานเพศรุ่นพี่ที่หลายคนรู้จักกันดีหรือไม่
“ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกก่อนว่า ผมกับเขา คนละแบบคนละแนวกัน ซึ่งตรงนี้มันก็มีคนแบบผมเยอะนะ แต่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเบอร์หนึ่ง เส้นแนวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเอาอะไรมาตัดสิน คำว่า 'เบอร์หนึ่ง' แต่สำหรับผม…ผมไม่ใช่ ผมคิดว่าผมก็อยู่ของผมอย่างนี้ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นอันดับหนึ่ง แน่นอนมันจะกดดัน แล้วต่อๆ ไปมันก็ต้องมีคนขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทน ในเรื่องนี้ผมจึงไม่ได้กะเกณฑ์ว่าต้องทำลายหรือไม่ทำลายสถิติที่ใครหรือผมทำไว้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีใครถ่ายอย่างผมเท่านั้นเอง
“แล้วเราอย่าลืมว่า คนที่อยู่ในวงการ มันเปรียบได้เหมือนกับนมที่มีวันผลิต มีวันหมดอายุ ในเมื่อมันเป็นวัฏจักรแบบนี้ มีวันผลิต มีวันหมดอายุ แน่นอนว่า ระยะเวลาจะเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนด ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เวลาอันนั้นให้เกิดประโยชน์มากน้อยแค่ไหน แล้วเวลาหมดอายุ เราจะลงแบบสวยงามหรือไม่สวยงาม มันก็ขึ้นอยู่กับเรา”
“ถ้าถามว่า อะไรที่ทำให้ผมก้าวเข้ามาในเรื่องแบบนี้ หรือผมวางเส้นทางตัวเองให้มาเป็นแบบนี้หรือไม่นั้น บอกเลยว่า ผมก็แค่ทำตามนิสัย คือผมเป็นคนประเภทที่อยากรู้ อยากลอง อยากทำอะไรที่มันแปลกใหม่อยู่เสมอๆ”
แทคบอกต่ออีกว่า เพราะชีวิตคือการพิสูจน์ การได้ลองอะไรเยอะๆ ในสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของตัวเอง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่จะเก็บเกี่ยวได้จากการเดินเข้าไปหามัน
“การที่เราได้ทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งหมดทั้งมวลมันก็คือประสบการณ์กับตัวเรา เวลามีใครมาถามหรือเวลาเรามีลูก ลูกเรามาถาม เราจะได้สามารถอธิบายกับเขาได้ว่า มันเป็นอย่างไร มันเป็นอย่างนี้ๆ นะ”
“ชีวิตลูกผู้ชายมันไม่มีอะไรเสียหายในเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องยาเสพติด หรือว่าเรื่องชกต่อย ซึ่งสองอย่างที่พูดมานี่ จะเห็นได้ว่าผมไม่เคยไปเกี่ยวข้องเลย แต่นี่มันคืองาน ไม่ว่าจะงานถ่ายแบบ พรีเซ็นเตอร์ หรืออย่างละครเวที ที่มีคนติดต่อเข้ามา ถามว่าผมสนใจไหม ผมสนใจนะ ผมอยากลองเล่น ซึ่งพอมีคนติดต่อมาให้เล่น ผมก็ตอบทันทีเลยว่า โอเค…ผมเล่น คือตอบตกลงโดยที่ไม่ได้ถามเรื่องค่าตัว เรื่องบท เรารับเล่นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเล่นเป็นตัวละครอะไร ผมก็เล่น เพราะผมอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ทีนี้ หลังจากได้เล่นแล้วมันก็ทำให้ได้รู้ว่าการเล่นละครเวทีมันเป็นอย่างไร พูดง่ายๆ เราชอบอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ อย่างนี้”
และหากย้อนแย้งตะแคงมุมดูแล้ว ที่มาเรื่อง “ราชันบนเตียง” ที่ใครกล่าวขวัญกันนั้น อาจเริ่มต้นที่จุดนี้อย่างที่หนุ่มแทคบอกกล่าวก็เป็นได้
“สังเกตกันไหมว่าผู้หญิงชอบเรื่องอะไรที่หวาดเสียว ชอบเล่นเครื่องเล่นเสียวๆ นั้นอาจเป็นสาเหตุก็ได้มั้งที่ใครๆ ต่างพากันคิดถึงผม” คนหนุ่มยิ้มเต็มใบหน้า ก่อนหัวเราะออกมาคล้ายชอบอกชอบใจอะไรบางอย่าง
“ผมไม่ใช่ผู้ชายโลกสวย”
แน่นอนว่าเมื่อเอ่ยถึงเครื่องหมายการค้าเรื่องบนเตียง ภายใต้แบรนด์ “ภรัณยู” เราจะไม่กล่าวถึงเรื่องความสัมพันธ์แบบ “รักสนุก แต่ไม่ผูกพัน” ที่เขาเปิดอกยอมรับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “มันเป็นเรื่องปกติ”
“กิน ขี้ ปี้ นอน มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายแล้ว ผมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว คือมันเป็นเรื่องปกติ เหมือนเวลาเรากินข้าว มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าอาย น่ารังเกียจ เดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องที่ปกติไปแล้ว และคนส่วนใหญ่ก็สามารถยอมรับได้”
แทคบอกอีกว่า การที่ออกมาพูดไม่ทำให้เสียภาพลักษณ์ หรือทำให้ผู้หญิงกลัว ไม่กล้าเข้าหาเขาหรืออย่างไรเลย มิหนำซ้ำการเปิดเผยกลับกลายเป็นการส่งผลดีในบางครั้งซะอีกด้วย
“ไม่กลัวเลยจริงๆ เหรอ” เราถามย้ำ
“ผมไม่ใช่ผู้ชายโลกสวย” แทคว่าด้วยสีหน้าจริงจัง
“แล้วผมก็ไม่กลัวเรื่องผู้หญิงจะไม่กล้าเข้ามายุ่งกับผมอีกด้วย อีกอย่างมันก็มีคนอยากลองอยู่แล้วล่ะ ก็เหมือนกันนะ ในบางครั้งเราไม่ต้องพูดอะไรมาก บางครั้งเขารู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร เขาก็เข้ามาหาเราง่ายๆ และก่อนเข้าหาใครสักคน มันก็ต้องมองก่อนอยู่แล้ว ไม่ใช่อยู่ดีๆ หลับหูหลับตาเข้าไป ก็ใช่เรื่อง มันก็ต้องมองก่อนว่า เออ คนไหนสามารถจะเข้าไปได้ สามารถที่จะคุยด้วย หรือสามารถที่จะ welcome เราได้ ผมเลยรู้สึกว่าการที่เราออกมาพูด มันเป็นอะไรที่อย่างน้อยเขาจะได้รู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร คนที่เข้าหาเราจะได้รู้ว่าเราเป็นแบบนี้”
“ง่ายขนาดนั้นเลย” เราย้ำทวนอีกครั้งพื่อความกระจ่างชัดถึงแก่นแท้กลเม็ดเด็ดพรายที่เขาบอกว่าไม่เคย “พลาด” ทุกการสานสัมพันธ์
“มันเป็นสัญชาตญาณของมันเอง เหมือนสัญชาตญาณสัตว์ มันจะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นยังไง บางครั้งแค่มองตาก็รู้อยู่แล้วว่าเราต้องเข้าหาคนนี้นะ ทุกคนมีเซนส์อยู่แล้วล่ะ ผมว่าผู้หญิงเองก็ต้องมีเซนส์ของเขาอยู่เหมือนกัน ฉะนั้น ของอย่างนี้มันพูดยาก เซนส์ของตัวเอง เซนส์ของแต่ละคนก็ย่อมไม่เหมือนกัน มันจะอธิบายไม่ได้หรอกว่ามันเป็นอย่างไร มันต้องเป็นของมันเอง
“แต่พูดอย่างนี้ ไม่ได้จะบอกว่าเจอปุ๊บลากเข้าห้องน้ำ หรือลากเข้าม่านรูดเลยนะ ไม่ใช่ แต่ถามว่าแบบปุบปับแบบนั้นมีไหม มันก็มี ผมพูดได้ว่ามันมีหลายสไตล์ แต่ในบางครั้ง เราก็ต้องคุยกันไล่ระดับ 1-2-3-4-5 ค่อยเป็นค่อยไป มีเรื่องราว มีอะไรที่มันแบบสวยงามก่อน เดี๋ยวสักพัก บรรยากาศหรืออะไรก็จะตามมาเอง ปล่อยไปตามธรรมชาติให้มันไหล แล้วมันจะจบอย่างไรเท่านั้นเอง”
“เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางแป้กหรอก” แทคยืนยัน “มันมีแต่เราจะเอาหรือเราจะไม่เอาเท่านั้นเอง อยู่ที่เราเลือก เพราะเราเป็นคนเริ่ม เขาไม่ใช่คนเริ่ม”
“ส่วนถ้าถามว่า มีบ้างไหมที่ผู้หญิงไม่ยอมจบ ผมบอกได้ว่ามันไม่มีที่ไม่ยอมจบหรอก เพราะเราได้พูดก่อนแล้ว เราเป็นคนพูดก่อน เราเปิดเผยก่อน ถือว่าเราพูดแล้วนะ แล้วหลังจากนั้น คุณก็อย่ามางอแง ว่ามันเป็นอย่างนั้นนะ”
“เยอะไหม ผู้หญิงที่เราเคยผ่านมา” เราถามแบบหยั่งเชิง
“ก็เรื่อยๆ ผมไม่เคยนับ ผมเป็นคนไม่ค่อยนับจำนวนอะไรเลย”
ฟังดูแล้วอาจเหมือนว่าการใช้ชีวิตที่เชี่ยวกรากในเรื่องผู้หญิง จะเปรียบดั่งสรวงสวรรค์ที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างหมายปอง แต่กระนั้น แทคกลับบอกว่า “มันก็ไม่ได้ชอบหรือแฮปปี้กับชีวิตตรงนี้อะไรขนาดนั้น แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวก็แค่นั้น”
“ผมวางไว้ว่าจะหยุดชีวิตอย่างนี้ตอนอายุ 35 แต่ก็อาจจะก่อนก็ได้ 33 อาจจะหยุดแล้วก็ได้ ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีครอบครัวมีไอ้ตัวเล็กแล้วก็จบ“
“จุดอิ่มตัว?” เรายังไม่อยากเชื่อ
“ใช่” แทคตอบเรียบๆ แบบไม่ยิ้มไม่หัวเราะ
“เพราะว่าเราเสเพลตั้งแต่อายุ 14 แล้วไง เราใช้ชีวิตมามากแล้ว มันพอแล้วล่ะ ดูอย่างพี่เต๋า (สมชาย เข็มกลัด) ผมรู้จักกับพี่เขามานาน เรื่องใจ พี่เต๋าถึงไหนถึงกัน แต่พอมีครอบครัว เขาก็หยุดได้ ทุกสิ่งทุกอย่างครอบครัวต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ผมว่าถ้ามันถึงเวลาที่เราจะต้องมีใครสักคน หรือเริ่มต้นกับใครสักคน หรือมีครอบครัว ผมก็หยุดได้ ผมไม่ใช่จะต้องใช้ชีวิตเป็นเพลย์บอยอย่างนี้ไปตลอด เราหมดแล้ว เราอิ่มแล้ว เราก็จบ”
“ใครบอกว่า ผมรักใครไม่เป็น”
บนเส้นทางสายเพลย์บอยที่ต้องบอกว่าใช้คำว่าโชกโชนยังน้อยไป คงไม่ต้องถามว่าการใช้ผู้หญิงเปลือง ไม่ซ้ำหน้า ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ใครต่อใครจะมองหรือค่อนขอดว่าเป็นคน “ไม่มีหัวใจ” เป็น “ผู้ชายไร้รัก” หรือ “รักใครไม่เป็น”
“ถามว่าที่ผ่านมา เราก็ไม่ได้บอกรักกับทุกคน แล้วทำไมถึงต้องคิดว่าเราไร้รัก และรูปแบบของความรักมันก็มีหลายแบบ แล้วแต่คนจะคิด มันมีความรักแบบสวยงาม ความรักแบบฉาบฉวย ก็แล้วแต่คนจะคิดอีก มันสามารถตีได้หมดเรื่องความรัก แต่เหนือสิ่งอื่นใดความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรักจากครอบครัว”
“ศรัทธาในความรักบ้างไหม” เราถาม
“ถามผม ผมก็ศรัทธาในความรักนะ” แทคกล่าวยืนยันพร้อมบอกว่า ความรักสำหรับตัวเขานั้น มันมีความหมายสั้นๆ คือ “ทุกข์-สุข-รัก” ต้องอยู่ด้วยกัน
“ความรักมันต้องเป็นแบบนี้ รักก็อยู่ด้วยกัน สุขก็อยู่ด้วยกัน ทุกข์ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่เวลารักกันร้ากกก…” ลากเสียงยาว คล้ายประชดประชัน “สุขก็สุขร่วม แต่เวลามีทุกข์ไม่ได้สนใจ มันไม่ใช่”
“เวลาเรามีความสุข เราใช้ชีวิตร่วมกันได้ แต่เวลามีทุกข์เมื่อไหร่ แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเริ่มอะไรก็ผิด ทำอะไรก็ผิด วุ่นวายไปหมด ตอนนั้นแหละจะพิสูจน์หัวใจของคนว่าจะทุกข์จะสุขด้วยกันได้หรือเปล่า ผมคิดว่าความรักมันต้องเป็นแบบนี้นะ รักก็อยู่ด้วยกัน สุขก็อยู่ด้วยกัน ทุกข์ก็ต้องอยู่ด้วยกัน”
แล้วส่วนตัว “แทค ภรัณยู” เวลามีความรักเป็นอย่างไร? หลายคนคงสงสัยใคร่รู้?
“สมมติว่าเป็นคนรักกัน อยู่ด้วยกัน สิ่งที่ผมจะจำคือ 1. วันเกิด 2. วันแต่งงาน 3. วันหมั้น 4. วันมีลูก ไอ้เรื่องรายละเอียดเล็กๆ เราเจอกันที่ไหน กินข้าวกันที่ไหน ถามว่ามันสำคัญไหม มันสำคัญสำหรับบางคน แต่สำหรับผม ผมว่าวันที่ผมพูดไปสำคัญกว่า ไม่ต้องหรอกว่า เฮ้ย! วันแรกเราเจอกันใส่เสื้อสีอะไร เราเจอกันร้านไหน คนเราใช้เวลาคบกันเป็นปี เราน่าจำวันที่เรารักกัน เรารักกันวันไหนตอนไหนดีกว่า”
สายน้ำลูกผู้ชาย(ไทย)
ถ้านิยามความหมายแบบหนึ่งของการเป็นลูกผู้ชาย คือกล้าทำ กล้ารับ ผิดคือผิด ผิดคือขอโทษ แทค-ภรัณยู ก็น่าจะไม่พ้นไปจากนั้น…
“ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผมไม่ใช่คนดี และไม่ใช่คนเลว ผมสีเทา” แทคแซมยิ้ม ก่อนเปิดเผยต้นแบบการดำเนินชีวิต และหลักการที่คุณได้ฟังต้องอึ้งจากปากผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน
“หนึ่งคำสอนของพ่อ สองคำสอนของพ่อหลวง” แทคเปลี่ยนท่าทีทันที่ที่พูดจบประโยค ดูนิ่งสงบเป็นคนละคน
“นี่คือต้นแบบชีวิตของผม อยู่แบบพอเพียง เราเกิดมาไม่มีอะไร ตายไปก็ต้องไม่มีอะไรสิ เว้นแต่ความดีที่จะติดตัวไปตอนนั้น การอยู่แบบพอเพียง สบายสุดแล้ว ไม่ต้องไปดิ้นรนหาอะไรที่เพอร์เฟกต์ อย่างที่บอกแล้วว่าเราเกิดมาไม่มีอะไร ตายไปยังไม่มีอะไรเลย คุณจะเป็นใครมาจากไหน สุดท้ายคุณก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวไป นอกจากคุณความดี นอกจากสิ่งที่เราทำให้กับคนรุ่นหลังได้จดจำ นั่นแหละคือสิ่งที่สุดยอดที่สุดแล้ว”
แน่นอนว่าไม่มีใครเป็นคนดีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วอะไรที่คุณคิดว่าเลวสำหรับคุณ?
“โกงกินบ้านเมือง คนที่แบบรู้ตัวว่าผิดแต่ไม่ยอมรับผิด” แทคตอบ
“มันเป็นเกม ทุกอย่างมันเป็นเกม มันแก่งแย่งชิงดีกันหมด” แทคเอ่ยถึงทัศนคติการเมือง
เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นและเป็นที่ฮือฮาในสังคมอย่างมาก เพราะเมื่อเหล่าบุคคลสาธารณะ ดารานักแสดง นักร้อง ออกมาร่วมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นจำนวนมาก โดยต่างลั่นว่าไม่กลัวกระทบการงาน ขณะที่มีทั้งคนชื่นชอบและคนที่ไม่เห็นด้วย
“เขาคงเก็บกดมานานมากแล้วล่ะ คือเมื่อก่อนอาจจะไม่ยอมรับ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันเริ่มเปิด มันเริ่มอิสระแล้วล่ะ ทุกคนเริ่มออกมา ทุกคนเริ่มทนไม่ไหวแล้ว แน่นอนว่า เราต้องโทษตัวเราก่อน เพราะเมื่อก่อนเราไม่สนใจอะไรเลย คุณจะทำอะไรคุณก็ทำเลย จะทำอะไรก็ทำไปซิ (น้ำเสียงประชดประชัน) จนวันหนึ่งมันเหมือนฟางเส้นสุดท้าย มันถึงที่สุดแล้ว ทุกคนเลยออกมา
“คือเมื่อก่อนเราอาจไม่สนใจมัน เพราะว่าเราคิดว่า ชีวิตเรามีความสุขแล้วไม่อยากมีปัญหา เราก็ทำอย่างนี้ ชีวิตก็มีความสุขอยู่แล้วชีวิตแบบนี้ ทำไมเราต้องไปเสี่ยงเอาชีวิต เอาชื่อเสียง การงานเราไปแลกล่ะ มันไม่ใช่ นี่คือถ้าเรามองมุมกลับกัน เราก็ผิดนะ ผมว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนก็ออกมาหมดแล้ว เพราะที่ออกมามันไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ออกมาเพราะลูกหลาน เราอยากให้ลูกหลานเราเป็นแบบนี้เหรอ เรายอมเหน็ดยอมเหนื่อย เรายอมทุกข์เพื่อลูกหลานเราดีกว่าไหม ดีกว่าให้ลูกหลานต้องมาสู้ต่อ มันไม่ใช่
“แล้วอย่าลืมว่า อนาคตต่อไปไม่ใช่พวกที่ทะเลาะกันอยู่ พวกที่ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมาตรงนี้ แต่พวกต่อไปคือวัยรุ่นของเราที่จะมาพัฒนาประเทศ แล้วคุณอยากให้วัยรุ่นของเราพัฒนาประเทศแบบไหน แบบคนเก่าที่เห็นๆ กันอยู่ หรือว่าแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม”
“พักทั้งคู่ ทั้งสองพรรค พวกมึงหยุดเลย แล้วเริ่มใหม่” คือแนวคิดที่แทคกล่าวกับเรา
“พักไปก่อนเลย 5 ปี 10 ปี หยุด วาง ไม่ต้องยุ่งเลยนะ แล้วแต่งตั้งคนใหม่ขึ้นมา แน่นอนว่าครั้งแรกมันต้องมีขรุขระกันบ้าง มันต้องมีผิดมีถูกกันบ้าง ให้โอกาสเขาค่อยๆ เดินต่อไป หยุดเลย หยุดซะ แล้วนิ่งๆ กันไว้ ให้คนใหม่มาทำงาน…จบ”
“มีอะไรอยากฝากถึงนักการเมืองหรือประชาชนคนไทยบ้างไหมในเรื่องนี้” เราถาม
“นักการเมืองผมไม่อยากจะยุ่งหรอกครับ พูดไปก็เท่านั้น ปรับกับคนรุ่นใหม่ดีกว่า ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างหนึ่ง เราอยากจะปฏิรูปอะไรสักอย่างหนึ่ง พวกเรานั่นแหละควรออกมา ควรออกมาเรียกร้องว่าเราต้องการอะไร เพราะอย่าลืมว่าอีกหน่อยพวกเราจะเป็นรุ่นผลัดไม้ต่อ ที่ต้องมาบริหารประเทศ และที่สำคัญ จำไว้อย่างหนึ่งว่า เราต้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์”
***หลายการแสดงออกทางการเมืองของแทค ภรัณยู***
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ASTV ผู้จัดการ และอินสตาแกรม แทค ภรัณยู