‘อ.อุบล ช่วยด้วย!!!’
เชื่อว่าผู้ใช้โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ คงน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักโค้ดคำพูดสุดฮิตประโยคนี้ ประโยคที่ว่ากันว่า เมื่อพูดออกมาด้วยความศรัทธาในตัว “อุบล ศุภาเดชาภรณ์” หรือที่รู้จักกันในนาม “อ.อุบล บ้านสวนพีระมิด”
ปัญหาทุกอย่างในโลกจะคลี่คลายลงอย่างหมดจดราบรื่น เช่น เมื่อขับรถผิดกฎจราจร ก็จะรอดพ้นการจับกุมของตำรวจ (!?) หรือแม้กระทั่งเมื่อใครสักคนกำลังจะเปียกฝน ฝนก็ดันไม่ตกขึ้นมาเสียดื้อๆ (!?) ‘อ.อุบล ช่วยด้วย’ จึงเป็นรหัสหนึ่งที่เล่าต่อๆ กันมา จนกลายเป็นเรื่องจริงจังในหมู่ผู้ศรัทธาไปในที่สุด
แม้กระนั้น อีกด้านหนึ่งมันก็โดนวิจารณ์ไปในทางลบเช่นกัน เพราะนี่คือความเชื่อส่วนบุคคล และสิ่งที่ชาวบ้านสวนพีระมิดเชื่อก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยตา อันจะสังเกตได้จากเพจล้อเลียนและต่อต้านจำนวนมากที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าเฟซบุ๊ก
ถึงตรงนี้ คนที่ยังไม่เคยรู้จัก อ.อุบล อาจกำลังมึนงงสงสัยอยู่ว่า อ.อุบล คือใคร? และบ้านสวนพีระมิดคืออะไร? อย่าได้กังวลไป เราแนะนำให้ท่านลองเอ่ยโค้ดคำพูด ‘อ.อุบล ช่วยด้วย’ ด้วยความศรัทธาดูสักครั้ง ใครจะไปรู้ ความสงสัยของท่านอาจกระจ่างขึ้นมาในทันใดก็เป็นได้
บ้านสวนพีระมิด คือบ้านพักส่วนตัวของ อ.อุบล ที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคน ไม่ว่าจะเป็นโรคภัย หรือปัญหาชีวิตนานัปการ ด้วยสิ่งที่ อ.อุบลบอกว่า เป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากกรรม ‘บ้านสวนพีระมิดเป็นสถานที่พิสูจน์กฎแห่งกรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เห็นผลแบบทันที’ นั่นคือคำอธิบายบนหน้าเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของบ้านสวนพีระมิดแห่งนี้
“มันเป็นบ้านส่วนตัว อาจารย์ไม่ได้เปิดสถานปฏิบัติธรรม มูลนิธิ หรือว่าวัด อาจารย์ใช้ชีวิตปกติ นี่คือบ้านที่ใช้ชีวิตปกติ”
อ.อุบลอธิบายให้ฟัง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีบวงสรวง ‘ท่านรามเสสที่ 2’ และ ‘พระนางเนเฟอร์ตารี’ กษัตริย์และราชินีอียิปต์โบราณที่ชาวบ้านสวนพีระมิดต่างเคารพบูชา ซึ่งความศรัทธาเหล่านั้นก็แผ่รัศมีออกมาจนเราต้องเหวอ เพียงครั้งแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปยังบริเวณประกอบพิธี เพราะผู้คนในวันนั้นต่างพร้อมใจแต่งตัวด้วยชุดอียิปต์โบราณเพื่อมาร่วมงานกันแทบทุกคน
แม้จะได้รับการวิจารณ์อย่างหนักว่า นี่คือการใช้ทฤษฎีสมคบคิด นำเรื่องราวต่างๆ มาขยำรวม เน้นหลักอิงพุทธ เอาการสารภาพบาปมาจากคริสต์ และดึงสฟิงซ์หรือพีระมิดมาจากอียิปต์ แต่ใครจะรู้บ้างว่า จุดเริ่มต้นของบ้านสวนพีระมิดนั้นกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าติดตาม
อ.อุบลเริ่มต้นอาชีพการทำงานด้วยการเป็นครู ก่อนจะตัดสินใจลาออกมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดให้กับสินค้าแบรนด์หนึ่ง รวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทต่างๆ อีกหลายบริษัท แต่แล้วเธอก็ค้นพบว่า การงานที่ทำอยู่นั้นยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจริงๆ
“การต้องบริหารคน บริหารงาน ตัวเลข ยอดขาย มันไม่ใช่ชีวิตที่เราต้องการ มันยังมีความทุกข์อยู่ ก็เลยคิดว่า ไม่อยากจะมีออฟฟิศ เราอยากมีอิสระ ไปไหนมาไหนก็ได้ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นจัดรายการทีวี ขายของผ่านทีวีดาวเทียม อาจารย์เป็นคนชอบธรรมะน่ะ เพราะฉะนั้นรายการทีวีที่ขายเครื่องสำอางก็เลยพูดถึงเครื่องสำอางแค่นิดเดียว ที่เหลือจะเป็นธรรมะ เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นรายการขายเครื่องสำอางอยู่ แต่คนเข้าใจผิดกันไปเองว่าเป็นรายการธรรมะ เราทำมาหากิน แต่เราเอาธรรมะที่เราชอบมาเป็นของแถม เราไม่ได้เอาธรรมะมาหากิน”
ส่วนเรื่องพีระมิดนั้น เริ่มเข้ามาหลังจากที่ อ.อุบลได้ทดลองใช้กับตัวเอง จนต้องอึ้งเมื่อพบว่า อานุภาพจากพีระมิดทำให้เธอสุขภาพแข็งแรงขึ้นทันตาเห็น แต่แล้วอยู่ๆ เหตุการณ์อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งเธอพบข้อความบางอย่างบนหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งปิดอยู่! และเมื่อนำข้อความนั้นไปพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญทางจิตสัมผัส เธอก็ได้รับการยืนยันว่า เธอคือพระนางเนเฟอร์ตารีกลับชาติมาเกิด!
“จริงๆ ไม่เคยรู้เรื่องอียิปต์เลยค่ะ รู้จักแต่แป้งน้ำคลีโอพัตรา (หัวเราะ) ตอนนั้นอาจารย์ไม่เชื่อ ไม่ใช่ลบหลู่หรืออะไรนะ คือเราอยากรู้เรื่องคำที่ปรากฏอยู่ในทีวี แต่มาพูดกับเราเรื่องพระนางเนเฟอร์ตารี สรุปว่ากลับมาวันนั้นก็ไม่ได้อะไร”
จนกระทั่งได้เจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอีกครั้ง เมื่อลูกชายและสามีของเธอรอดพ้นความตายมาได้ด้วย ‘น้ำพีระมิด’ พร้อมๆ กับที่สิ่งเหนือธรรมชาติก็เริ่มติดต่อสื่อสารกับเธอ
“คือถ้าอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยต้องรับปากสองข้อ หนึ่ง-ถ้าท่านช่วยต้องนำไปบอกเล่าในรายการโทรทัศน์ที่เราทำ สอง-ต้องไปช่วยคนด้วยวิธีนี้ และต้องสร้างมหาพีระมิดให้เกิดขึ้น”
บ้านสวนพีระมิดจึงถูกสร้างขึ้นมาในที่สุด และปัจจุบันดูเหมือนจะมีผู้ศรัทธาที่ก้าวเท้าเข้ามาให้ อ.อุบลช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ทั้งนักวิทยาศาสตร์ อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งนักการเมือง
แม้กระนั้นบ้านสวนพีระมิดก็ยังมีสิ่งที่ผู้คนในสังคมต่างกังวล ด้วยสิ่งที่บอกเล่ากันว่า อ.อุบลสามารถรักษาโรคทุกโรคได้นั้น ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ใดๆ ในเชิงการแพทย์ และเรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในบ้านสวนพีระมิดก็ฟังดูเหนือจริงเกินจะเชื่อได้ ทว่า อ.อุบลก็ยืนยันว่านี่คือวิทยาศาสตร์ที่เห็นผลทันตา แถมยังกล้าท้าให้พิสูจน์
“ไม่ใช่มานั่งสมาธิ เดินจงกรม ที่ยังไงกลับไปก็ทุกข์ เพราะคุณไม่รู้ว่าคุณทำผิดอะไร และคุณไม่เปลี่ยนตัวเอง เช่น ถ้าคุณเป็นภูมิแพ้ คุณมาหาอาจารย์แล้วอาจารย์ให้ยารักษาแก้ภูมิแพ้ไป เมื่อคุณกลับไปบ้านคุณก็ทำพฤติกรรมเดิมๆ เพราะคุณไม่รู้ว่าภูมิแพ้เกิดจากอะไร”
และความสงสัยข้อสำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้นข้อที่ว่า แล้วพีระมิดเกี่ยวอะไรกับศาสนาพุทธ ซึ่ง อ.อุบลได้อธิบายไว้อย่างน่าฟัง แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า จะเชื่อหรือไม่คงต้องใช้วิจารณญาณ
“ที่นี่ไม่แบ่งแยกศาสนา อาจารย์เปิดรับหมด เพราะเราใช้กฎของธรรมชาติ และมันไม่ได้ขัดแย้งกับหลักคำสอนของศาสนาใดเลย มันก็เหมือนกับเราใช้ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน แล้วทำไมคุณต้องมามีข้อแม้ว่า พีระมิดเป็นของศาสนาไหน มันเป็นของทุกศาสนา เหมือนข้าว ในเมื่อกินข้าวแล้วมันอิ่ม มันพ้นความหิว พ้นความทรมาน เมื่ออาจารย์ค้นพบว่า อาจารย์ใช้พีระมิดแล้วมีความสุข อาจารย์ก็เอามาให้ทุกคนรับความสุขแค่นั้นเอง”
ข้อมูล : คอลัมน์ Feature นิตยสาร mars เรื่อง “ไม่เชื่อ CULT อย่าลบหลู่”