Rock Rider ร่างทรงล่าสุดของร็อกตัวพ่อ 'แด๊ก บิ๊กแอส' และ 'หรั่ง ซิลลี่ ฟูลส์'


หลายคนคงอาจจะยังไม่คุ้นชินหูหรือไม่ก็สงสัยกับชื่อ “Rock Rider” ที่เขียนต่อท้ายนามศิลปินอดีตนักร้องนำคนดังอย่าง “แด็ก-เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด” แห่งวง Big Ass ที่อำลาวงการห่างหายไปกว่า 3 ปี จากปัญหาวงแตก หรือภาพโปสเตอร์เปิดตัวที่มีมือเบสวงร็อครุ่นเก๋าอย่าง Silly Fools ขนาบข้างด้วยสมาชิกวงเพลงรักยอดฮิต Airborne ในซิงเกิลล่าสุด “คนตายที่หายใจ”

แด๊ก กลับมาทวงบัลลังก์ ?

หรั่ง Silly Fools อดีตมือเบสอันดับ 1 วงแตก?

หรือเป็นโปรเจกต์รวมตัวเฉพาะกิจ เพื่อสร้างงานทางดนตรีให้ตนเองกลับมีที่ยื่นในวงการอีกครั้ง?

นั่นคือคำถามที่หลายคนตีโมงสงสัย…ภายใต้หมวกใบใหม่ที่ชื่อ Rock Rider มีเบื้องลึกเบื้องหลังเหตุผลก่อเกิดซ่อนเร้นอย่างไร หรือแค่คนตายที่จะกลับมาหายใจอีกครั้งเพื่อทวงวิญญาณ คงไม่มีคำตอบอะไรจะดีเท่าไปสัมผัสเส้นทางที่เลือกแล้วของทั้งคู่จากปาก

มารวมตัวกันเป็น Rock Rider ได้อย่างไร

แด๊ก : เรื่องนี้ต้องป๋า(หรั่ง)เขาเลย เขาเป็นเจ้าไอเดีย (หัวเราะ) คือเรารู้จักกันมานานแล้ว เราชอบขี่มอเตอร์ไซค์กันทั้งคู่ แต่ไม่เคยมีโอกาสร่วมทริปร่วมขี่ด้วยกันจริงๆ เลยสักครั้ง พอมีโอกาสพี่หรั่งชวนมาทำรายการทีวีขี่มอเตอร์ไซค์เล็กๆ (รายการ Rock Rider ทางช่องทรูวิชั่นส์) เราก็สนุก ก็โอเค คนดูก็สนุก ในเชิงของนักขับขี่ ทีนี้พอทำๆ ไป พี่หรั่งเขามีความรู้สึกว่าเฮ้ย ขี่อย่างเดียวมันก็ไม่รู้จะทำอะไร มันก็สนุก แต่ว่ามันดูแห้งๆ ไปหน่อย เขาก็บอกว่าเล่นดนตรีด้วยดีกว่า ไหนๆ บางครั้งก็เล่นคอนเสิร์ตอยู่แล้ว คือพี่หรั่งแกเล่นนะ ผมไม่ได้เล่น ผมขี่มอเตอร์ไซค์อย่างเดียว พี่หรั่งก็บอกมาอยู่ด้วยกันดีกว่า แกก็ไปชวนสมาชิกวง Silly fools ของแก แล้วก็วง Airborne ลูกศิษย์แก

หรั่ง : เพราะมันไปไหนมาไหนง่ายขึ้นด้วย อย่างบางทีถ้าช่วงจังหวะทัวร์จังหวะเล่นคอนเสิร์ต แล้วเรามีรายการเราก็กระเตงไปกันหมด ทีนี้พอเล่นบ่อยๆ เข้า คนเจอพวกเราบ่อยขึ้น ก็งงว่าพวกเรามาอยู่ด้วยกันเหรอ จนมีคำถามว่าทำไมไม่มีเพลงใหม่ๆ ให้ฟัง ทั้ง Silly Fools และก็แด๊กซ์ สุดท้ายทนเสียงรบเร้าไม่ไหวก็เลยมองหน้าจังหวะ คือมันไปเรื่อยๆ เราก็เลยต่อยอด ทั้งที่จริงๆ แรกเริ่มเลยมันมีอยู่ช่วงหนึ่งผมอยากทำรายการมอเตอร์ไซค์ ก็เลยคิดว่าใครเหมาะ คนแรกที่ติดต่อที่จริงยังไม่ใช่แด๊ก แต่เป็นพล (มือกีตาร์) วงแคลช (หัวเราะ) เพราะเคยขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยกัน แต่ตอนนั้นพลไม่ว่าง ก็เลยโทร.ไปชวนแด๊กซ์ ถามว่าสนใจทำกันไหม เขาก็บอกว่าสนใจอยู่ แต่ก็เกือบไม่ได้ทำกัน เพราะว่าช่วงนั้นพอติดต่อได้เสร็จพี่ก็ดันไม่ว่างซะเอง หายไปเกือบปีหนึ่ง ไปเตรียมอุปกรณ์ ไปฝึกถ่ายทำ แล้วแด๊กซ์เขาก็โทร.กลับมาบอกชวนกันแล้วหายไปเลย พี่ก็บอกว่าได้ๆ เราก็เลยเริ่มทำรายการกัน มันเลยกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่เชื่อม แล้วเราก็เอาดนตรีกับรถมาบวกกัน ก็เลยออกมาเป็น Rock Rider

ตอนนี้สามารถเรียกรวมกันภายใต้ชื่อ Rock Rider ได้เลยใช่ไหม

หรั่ง : ใช่ๆ ตอนนี้อยากให้คนรู้จักเราในชื่อ Rock Rider มากกว่า พอเอ่ยชื่อ Rock Rider ปุ๊บ ก็เห็นเป็นภาพทั้ง 3 วง เป็นกรุ๊ปนี้ยืนพื้นไว้ก่อน

แด๊ก : Rock rider คือมันเหมือนหนัง ดิ อเวนเจอร์ส ที่มีกัปตันอเมริกา มีไอรอนแมน ที่อยู่ภายใต้กรอบเดียวกันประมาณนั้น

ชื่อ Rock Rider มันมีความหมายหรือที่มาที่ไปอย่างไร

แด๊ก : Rock คือ คำแทนความเป็นตัวเราทุกคนอยู่แล้ว เพราะทุกคนแข็งแกร่งในเรื่องดนตรี คำว่า Rider มันก็บ่งบอกถึงความชอบของตัวผมกับพี่หรั่ง แล้วมันยังสื่อความหมายแทนความอิสระ ทั้งทางความคิด การใช้ชีวิต การทำงาน มันเหมือนขับเคลื่อนด้วยความอิสระ ซึ่งคำว่า Rock Rider มันน่าจะเหมาะ ก็เลยใช้คำนี้ขึ้นมา

หรั่ง : มันคือความอิสระ อย่างดนตรีเราก็อิสระในการทำตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ไม่ได้มีใครมาคอนโทรลเพลง เราชอบ เราอยากทำอะไรเราก็ทำ เรื่องมอเตอร์ไซค์ก็เหมือนกัน นึกอยากไปก็ไป

มันจะไม่ทำให้เกิดความสับสน มีผลต่อการจดจำหรือแย่งกันเด่นดัง

หรั่ง : ไม่ครับ วันหนึ่งพอเราสูงวัยขึ้นเราจะรู้ว่า ความแข็งแรงของการรวมกันเนี่ย มันมีมากกว่าการอยู่เดี่ยวๆ คนเดียวจะไม่แข็งแรงเท่ากับอยู่หลายๆ คน พอเราอยู่หลายๆ คน เป็นกรุ๊ป เป็นทีม แล้วอีกอย่างมันก็เป็นสิ่งที่ในเมืองไทยก็ยังมีน้อย ไอ้การรวมกรุ๊ป รวมทีมดิ อเวนเจอร์ส เพราะมันไม่เหมือนกับอัลบัมรวมเพลงฮิต ถ้ามองในภาพรวมหลังจากออกกันครบหมด มันจะมีหลากหลายอารมณ์ มันไม่ได้มีฟีลเดียว เป็นการร่วมเพลงที่ต่อเนื่อง แต่เล่าเรื่องโดยคนละคน คนละกลุ่ม ต่อเนื่องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

แด๊ก : ไม่ครับ ไม่ต้องงง เดี๋ยวต่อไปก็เป็นซิงเกิลของ Airborne เป็น Silly Fools คือจริงๆ ก็เหมือนในแง่ของธรรมชาติ คือเมื่อเวลาผ่านไป เราทุกคนก็มีจุดอ่อนจุดแข็งแต่ละคนต่างกัน บางทีเรามองตัวเองไม่รู้ คนอื่นเขาอาจจะเห็นจุดบอดของเรา ทีนี้พอมีคนอื่นมาช่วยหรือเราไปช่วยเสริมในบางจุดของเขาที่ขาด มันเหมือนการเติมเต็มซึ่งกันและกันมากกว่า

ช่วยให้งานสมบูรณ์ขึ้นไปอีก

แด๊ก : ก็ใช่ครับ เพราะทุกคนจะมองซึ่งกันและกัน แล้วก็เหมือนช่วยให้ทำงานได้กว้างขึ้น อย่างพี่หรั่งส่วนใหญ่จะเป็นคนตั้งต้นคิดเนื้อร้อง ทำนอง ถ้าเป็นแต่ก่อนทำออกมาไม่ใช่ทาง Silly Fools แกก็อาจจะโยนเพลงนั้นทิ้งไปเลย

หรั่ง : ใช่, โยนทิ้งแล้ว คือเวลาทำเพลงสักเพลงหนึ่งที่คิดจะทำให้ silly fools แต่มันดันไปออกเหมาะกับแด๊กซ์มากกว่า เราก็จะเก็บเพลงนี้ไว้ให้แด็กซ์ หรือเหมาะกับใครในทีม เราก็เก็บไว้ให้คนนั้น เพราะสุดท้ายผลประโยชน์ตัวหลักก็คือแบรนด์ Rock Rider

แล้วทำไมซิงเกิลแรกเปิดตัวถึงต้องเป็นเรา

แด๊ก : เหตุผลที่พี่หรั่งให้ผมออกก่อน เพราะว่าถ้าอยากจะแจกนามบัตรหรือให้ใครรู้จักในเชิงประชาสัมพันธ์ ก็น่าจะเป็นคนที่คนส่วนใหญ่พอจะรู้จัก เพราะบางคนบอกว่าผมจะร้องเพลงได้เหรอ ไหนเสียงพังไปแล้วไง พี่หรั่งก็ให้เพลงช้านี้แหละเป็นตัวตอบโจทย์ ไม่ต้องไปนั่งแก้ข่าวแก้อะไร มันก็เลยมาตกเป็นหน้าที่ผม เหมือนเป็นคนไปยื่นนามบัตรให้คนรู้จักก่อน เวลาผลงานชิ้นต่อไปที่ตามมามันจะได้โอเค คนไม่งง รู้ว่ามันมาจากที่นี่เหมือนกัน

หรั่ง : พี่คิดไว้ก่อนเลย คือเป็นโจทย์ใหญ่เลยแหละว่าเราจะทำอย่างไรให้ พอเราเลือกแด๊กเปิด Rock Rider ออกมาปุ๊บเนี่ย ก็คิดว่าไม่ต้องมีวงเล่น ในเอ็มวีเล่นเลย คนจะได้รู้เลยว่าไอ้นี่กลับมาร้องเพลงแล้ว อีกอย่างพอฟังตัวเพลงปุ๊บจะรู้เลยว่า แด๊กซ์เสียงไม่พังนี่หว่า พอคนฟังก็จะรู้ได้เลย

กลับการหวนมากลับคืนไมค์อีกครั้ง ความรู้สึกแรกเป็นอย่างไร

แด๊ก : พอเราได้กลับไปยืนบนเวที มันก็สนุก ยิ่งพอได้เจอแฟนเพลงเข้ามาพูดคุยมันก็เริ่มมีความคิดอยากจะกลับมา อยากได้ยินเพลงใหม่ของตัวเองว่ามันจะเป็นอย่างไร เหมือนความรู้สึกแรกตอนก่อนที่จะมีเพลงแรกในชุดแรก คือกลับไปเป็นเด็กๆ อีกครั้ง มันก็เป็นความรู้สึกดีๆ แต่ตอนแรกก็ไม่ได้นึกถึงจริงๆ ว่าจะมาถึงขั้นนี้ พี่หรั่งแกจะค่อยๆ หยอด เกี่ยวความรู้สึกว่าอยากทำเพลงหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าอยากทำเพลงอยู่หรือเปล่า แต่พี่หรั่งบอกว่าเฮ้ยต้องลอง ลองมาทำเพลง

ไม่ได้มาเพื่อทวงบัลลังก์

แด๊ก : ไม่นึกเลยครับ แค่พี่หรั่งบอกว่าถึงเวลาต้องร้องเพลงแล้วนะ แล้วตัวผมเองก็มีความรู้สึกว่า อยากฟังเพลงใหม่ แค่นั้นเองครับ ไม่ได้มานั่งนึกว่าต้องมาทวงบัลลังก์ ผมแค่อยากฟังเพลงใหม่ของตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเพลงใหม่ที่เรากำลังจะมี เวลามันเสร็จสมบูรณ์มันจะเป็นอย่างไร ผมยังตื่นเต้นอยู่เลย ตั้งแต่เริ่มอัด เริ่มมิกซ์เสียง จนเอามาบาลานซ์เสียงดู

แล้วคาดหวังไว้บ้างไหม

แด๊ก : คาดหวังมั้ย…ผมว่ามันไม่มีใครคาดกันได้หรอก โดยเฉพาะงานเพลง มันคิดอย่างนั้นไม่ได้ อะไรจะเป็นตัวบอกการันตีเราได้ว่าเพลงนี้จะออกมาดัง จะฮิต ไม่มี มันอยู่ที่ความชอบพื้นฐานของเรา เราทำเต็มที่ เรามองแล้วว่าเพลงมันสมบูรณ์ เราจะรู้เอง เราจะรู้ของเราเอง

ส่วนตัวการคัมแบ็กกลับมาครั้งนี้เหมือนเป็นการตายแล้วเกิดใหม่หรือเปล่า

แด็ก : ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ก็คงเป็นในมุมมองของแต่ละคนมากกว่า แต่ผมมีความรู้สึกว่า มันได้สำหรับตัวผมหรือทุกคนนะ มันได้ความรู้สึกสนุก รู้สึกตื่นเต้นกับงานใหม่ๆ ที่ได้ทำ เพราะว่าผมก็ไม่เคยให้ใครมาทำเพลงให้ แล้วพี่หรั่งก็อาจจะไม่เคยมานั่งทำเพลงให้กับเพื่อนในลักษณะอย่างนี้ โดยมีโจทย์อย่างนี้ รวมถึงน้องๆ Airborne มันก็ไม่เคยเขียนเนื้อเพลงให้ใคร มันก็เลยเป็นความแปลกใหม่ ซึ่งโดยเฉพาะผม ผมไม่ได้ร้องเพลงอย่างเป็นทางการมานาน 3-4 ปีแล้วด้วยโดยเฉพาะในห้องอัด ก็เหมือนกับว่า เอาง่ายๆ กลับไปตอนแรกเริ่มอีกครั้ง ก็ได้ลูกตื่นเต้น คงไม่ได้ว่าตายแล้วเกิดใหม่หรอก ไม่ใช่อย่างนั้น

ซิงเกิลเปิดตัวเพลง “คนตายที่หายใจ” เหมือนเราต้องการสื่ออารมณ์เรื่องตรงนี้ด้วยไหม

แด็ก : ใช่ครับ แต่มันไม่เชิง มันเป็นแบบว่า ต้องบอกเล่าถึงความรู้สึกมากกว่า ผมก็จะพูดทุกครั้งว่าเนื้อเพลงอาจจะเขียนเล่าเรื่องราวของความรัก การจดจำ ความทรงจำบางอย่าง แต่ในแง่มุมหนึ่งผมรู้สึกว่า มันพูดถึงการได้ทบทวนชีวิตตัวเอง ผมว่าเป็นทุกคน การสับสน เมื่อเราสูญเสียสิ่งสำคัญอะไรหลายๆ ไปในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก งานการ หรือว่าชื่อเสียงเกียรติยศ มันไปถึงตรงนั้นได้ บางคนอาจจะสับสนไปไม่ถูก ทุกอย่างที่เคยมีมันหายไป บางคนก็ไม่รู้จะทำไง สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ แค่ทบทวนชีวิตตัวเอง ตั้งแต่เราโตมา เราทำโน่นทำนี่ขึ้นมา เราเป็นยังไง เราจะได้รู้ตัวเองว่า เออ สิ่งที่เราคิด เราทำ เราตัดสินใจไปมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร มันเป็นแค่ทางทีเราเลือก ฉะนั้นเข็มทิศที่เรามีที่เราได้จากการเรียนรู้ของตัวเองเนียล่ะครับ จะทำให้เราเดินต่อไปได้

เรารู้สึกอย่างไรกับเรื่องปัญหาทางวงเก่า

แด๊ก :ตอนนี้มันไม่ได้มองอะไรเบื้องหลังเลยครับ ตอนนี้มันก็คือเรื่องที่ผมจะไปข้างหน้าอยู่แล้ว เพราะมันมีเรื่องน่าสนุกให้ทำเยอะแยะ น่าจะเป็นอะไรใหม่ๆ เป็นเรื่องน่าทำต่อไปเยอะแยะเลย ถ้าคิดเรื่องอดีต เราจะทำงานอะไรไม่ได้เลย

ซีเรียสไหมถ้าคนจดจำเราได้หรือเรียกชื่อเราในนามสกุลเก่า

แด๊ก : ได้ครับ เรียกยังไงก็ได้ ผมก็เป็นของผมอย่างนี้ล่ะครับ ไม่ใช่แด๊กคนใหม่อ่ะไร คือความหมายมันเป็นคำแทนเรา เขาจะรู้จักหรือเรียกเราแบบไหน มันก็คือแด๊กเนียแหละครับ ฉะนั้นไม่ว่าจะเรียก แด๊ก Big Ass แด๊ก Rock Rider ก็แล้วแต่สะดวกครับ จำอันไหนได้ก็เรียกอันนั้น มันเป็นแค่ตัวแทนชื่อ ชื่อเรียกแทนตัวเราเฉยๆ แต่ก็ไม่แปลกถ้าผมพยายามจะบอกว่าฝากชื่อ Rock Rider ไว้ด้วย เพราะผมจะรู้สึกดีกับชื่อนี้ มันแฮปปี้ตรงที่ว่าเราเห็นทางที่จะทำต่อ ไอ้คุณจะเรียกผมยังไงหรือคนอื่นจะเรียกยังไงก็ได้ แต่อย่าลืมคำคำนี้แล้วกัน

ถ้าถูกเปรียบเทียบระหว่างเพลงเก่ากับเพลงใหม่เราเองจะรู้สึกอย่างไร

แด๊ก : ไม่รู้นะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เปรียบแบบไหน ถ้าบอกว่าอันไหนดีกว่ากันผมว่าไม่น่าจะมีนะ ส่วนใหญ่น่าจะพูดในเชิงฟังเพลงใหม่แล้วชอบไม่ชอบมากกว่า ผมว่าคนฟังเพลงไม่น่าคิดแบบนั้น เพราะมันไม่ใช่การเปรียบฟอร์มนักมวย

จากจุดสูงสุดคืนสู่สามัญจนเริ่มต้นใหม่ ส่วนตัวคิดหรือรู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้

แด๊ก : เป็นธรรมดาครับ ช่วงอายุคน มันเป็นเจเนอเรชัน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ศิลปินดาราอายุ 50 ปี แล้วเด็กมัธยมจะต้องรู้จัก หรือใครจำ เอริค คันโตนา (กองหน้าชื่อดังสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ได้บ้าง ถามเด็กตอนนี้มันก็เริ่มจะเลือนแล้ว เราก็มีช่วงพีคของเรา ช่วงที่คนโตไปกับเรา มันก็ต้องยอมรับเป็นธรรมชาติ แค่ได้เจอได้พูดคุยเล่าบรรยากาศเก่าๆ กัน เราก็ถือว่าโอเคแล้วครับ เรามีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง ผมว่าก็เจ๋งแล้ว

หรั่ง : เหมือนหน้าในหนังสือเล่มหนึ่ง เราไม่สามารถให้คนเห็นเราทุกหน้าได้ เราอยู่ได้ 2-3 หน้าก็ถือว่าเจ๋งแล้ว ไม่ซีเรียส ฟอร์มสด ฟอร์มหล่น เป็นธรรมดาของมนุษย์

ผ่านประสบการณ์ในวงการมามากกว่า 10 ปี มองอย่างไรเรื่องการแตกแยกกลุ่มของวงดนตรี

หรั่ง : คือเราดูนะวงแต่ละวง แม้แต่ตัววงพี่เองพอขึ้นไปสุดปุ๊บเนี่ย มันจะเกิดปัญหาที่เขาเรียกกันว่าเหมือนโดนมนต์ดำครอบงำ โดนทุกคนโดยไม่รู้ตัวด้วย มันจะมีโรคดาวน์ซินโดรมเกาะกินอยู่ จริงๆ มันจะกินเลยแหละ อันนี้มันก็จะเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวัง ถ้าเราคิดว่าแบบนั้นไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้ งานเล็กไม่เล่น เล่นแต่งานใหญ่ เราก็จบเลย จบเห่ มันเป็นอย่างนี้ รู้สึกมั้ยว่า คนดังๆ มันไม่ค่อยโผล่ออกไปไหนเลย เขาคิดว่าออกไปแล้วคงวุ่นวาย ถ้าเราคิดว่าเราดังเราหลบอยู่ในบ้าน ไม่กล้าไปเจอใคร มันก็จะเป็นอย่างนี้ นั่นคือเขาคิดว่าเขาดัง อาจจะดังจริง แต่พี่รู้สึกว่าทำไมชีวิตคุณมันลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ ต้องหลบ ต้องซ่อน ทีนี้ก็ไม่ต้องเป็นอันทำอะไรกัน อันนี้อยากพูดมากเลย

แด๊ก : ก็เหมือนที่พี่หรั่งบอก น่าจะเป็น โวคัล มิวสิกเชียน พารานอยด์ ซินโดรม (หัวเราะ) ไม่แปลกครับ เพราะว่าด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ที่คนเราอาจจะต้องรักษา ต้องแบก มันก็จะมีความคิดในมุมมองคนละแบบ ถึงได้บอกต้องดังแล้วถึงเป็นได้

การรวมกันครั้งนี้จึงไม่ใช่กลุ่มศิลปินที่แตกแยกมาอยู่ด้วยกัน

หรั่ง : ใช่ ถ้าเกิดเป็นชื่ออื่นคนอาจจะมองว่าแตกแยก แต่ถ้าเป็น Rock Rider ไม่เหมือนกัน มันเป็นการหมุนเปลี่ยนถ่ายกันได้ ช่วยในเรื่องเติมเต็มอย่างที่บอกไป เพราะเราเป็นทีมเดียวกัน เช่นตำแหน่งนี้ยังไม่พร้อม เราเอาตัวนี้มาเสริม ไม่ต่างจากฟุตบอลที่ต้องถอดเปลี่ยนตัวสำรอง คนไหนเล่นดีคงไว้ เล่นไม่ดีเปลี่ยนออกมาก่อน

แต่เรื่องกระแสตอบรับก็อาจจะทำให้คิดไปในทางการกู้ชื่อเสียง

แด๊ก : ใช่ครับ อย่างที่บอกก็ไม่ต้องไปนั่งแก้อะไร ดูกระแสตอบรับก็ถือว่าเกินคาด ไม่จะเป็นตัวเพลงที่พี่หรั่งเขาบอกว่า ออกมาเพลงแรกก็เอาเพลงช้าดีกว่า ถ้าซัดไปมันอาจจะมันส์ จะดัง แต่แล้วมันก็หายไป ถ้าเพลงช้ามันน่าจะตอบโจทย์เรื่องการทำงาน รวมถึงการร้องเพลงของตัวผมด้วย แล้วก็รวมถึงมิวสิกวิดีโอ พี่หรั่งเขาอยากทำมิวสิกวิดีโอที่มันเป็นหนัง

หรั่ง :จริงๆ พี่ก็ไม่ได้คาดคิดไว้นะ อย่างที่บอกโจทย์เป็นแด๊กซ์ก็จริง แต่คือตอนทำเพลงเสร็จปุ๊บ ก็รู้สึกว่ามันจะได้การตอบรับที่ดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้นะ อันนี้ถือว่ามันเกินคาด แล้วตัวแด๊กซ์เองก็สื่อสารออกมาดีเหมาะกับเพลง ก็คือพอทุกอย่างมันเสร็จหมดแล้ว เรามานั่งมองงานที่เราทำงาน เฮ้ย มันออกมากลมกล่อมดีว่ะ ถือว่าโอเคเลย มันจะเป็นรสชาติใหม่ก็ว่าได้ เป็นเหมือนอาหารจานใหม่ เพราะเราทำกันเองไม่มีค่าย ช่วยๆ กันในทีม ตั้งแต่ถ่าย ตัดต่อ ขนาดพี่ผู้จัดการวงยังมาเป็นตากล้อง

ชื่อเสียงเราระดับนี้ ทำไมถึงเลือกที่จะทำเอง

หรั่ง : พี่ชอบ ชอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ชอบสร้างหนัง ชอบถ่ายทำ แล้วเหตุผลอีกอย่างที่ไม่อยู่ค่าย คือเราอยากได้เพลงเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ต่อไปนี้เราจะไม่ขายเพลงให้ใคร จะไม่มีใครมาเป็นเจ้าของเพลงเรา พี่รู้สึกว่ามันน่าเกลียดเวลาเราเล่นเราไม่ต้องไปตามจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพลงตัวเอง เราแต่งเองร้องเอง พอจะเอากลับมาร้องอีกทีต้องไปจ่ายเงิน มันก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราก็เลยเลือกทำเอง มันก็เชิงค่ายย่อมๆ แล้วล่ะ เพราะเรามีห้องอัดกันเอง เรามีโปรดักชันในการถ่ายทำเราเอง ก็แทบจะเหลือแค่หาเงินมาโปรโมตหน่อยเท่านั้น ตรงนี้เราก็ใช้วิธีไปเป็นพาร์ตเนอร์กับวอร์เนอร์ มิวสิค

แด๊ก : ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี เพราะว่าแต่ก่อน เราอาจจะเคยชินกับการจดสัญญาว่าเป็นศิลปินในค่าย ซึ่งมันก็ต้องมีกรอบของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลาหรือว่าอะไร แต่ไอ้นี่คือเราทำงานเสร็จแล้วค่อยไปคุยกับทางค่าย ไปเสนอถ้าเพลงนี้ฟังแล้วโอเค ต้องการทำงานร่วมกัน พี่ช่วยพีอาร์ แล้วก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ไปประมาณนั้น

ยังไม่มีใครทดลองทำเพลงวิธีการอย่างนี้ใช่ไหม

หรั่ง : มันก็น่าจะมีนะแต่เราคงไม่รู้ อาจจะเป็นรูปแบบสากลที่เป็นต่างขาติเขาทำอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่มีหลายๆ คนก็บอกว่า ต่างประเทศเขาก็ประมาณนี้แหละ เอามาสเตอร์ไปเสนอค่าย แล้วให้ทางค่ายช่วยพีอาร์ คือเราไม่ได้ขายเพลง เพลงมันก็ยังเป็นของเรา แต่ว่าเขาได้ส่วนแบ่งจากการพีอาร์ นี่คือสิ่งที่เราอยากได้สุดเลย

เรียกว่าปฏิวัติวงการเพลงได้ไหม

หรั่ง : ก็ได้ แต่คือเราแค่อยากจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่า เดี๋ยวนี้ค่ายเพลงไม่ได้มีอะไรที่วิเศษที่จะช่วยชีวิตเขาแล้ว คือมีแต่มาเกาะนักดนตรีกินมากกว่า ทำแบบนี้แม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่มันจะมีหลายๆ อย่างที่มันจะย้อนกลับมาในอนาคต ก็อยากให้น้องๆ พึ่งนึกไว้ว่าเพลงต้องเป็นของเรา อย่าไปข่ายให้ใคร เพลงมันซื้อไปเป็นของตัวเองไม่ได้ มันเกิดจากการคิดมาจากหัวคน คุณไม่สามารถเอาเงินมาซื้อ แล้วมาบอกว่าเพลงเนี้ยเป็นเพลงของคุณได้ ถ้าทำสำเร็จเดี๋ยวค่ายพวกนั้นจะมาง้อเราเอง

แด๊ก : พี่หรั่งเขาพูดถูกในมุมนี้นะ คืออย่างที่เราทำ เรามีตัวงาน เรามีการทำในส่วนของเราแล้ว เราเป็นคนสร้างได้

ตอนนี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือยัง

หรั่ง : ก้าวแรกครับ ก้าวแรกก็มากเลย เกินที่คาดคิดเอาไว้ ชื่อของ Rock Rider เป็นอะไรที่คนรู้จักมากขึ้น กว้างขึ้น

วาดภาพโปรเจกต์นี้ในอนาคตยังไงบ้าง

หรั่ง : จริงๆ ก็คิดไว้ว่าอยากมีใหญ่กว่านี้ เป็นกรุ๊ปใหญ่เลย คือเราสามารถจัดงานพาตัวเราไปเล่นเองโดยที่ทางร้านไม่ต้องจ้างเราไปเล่นก็ได้ เราสามารถออกไปเล่นได้ทุกวัน เหมือนเรามีทีมออแกไนเซอร์เราเอง วันนี้จัดงาน Rock Rider เราจะที่นี่ที่โน่นนะ อยากได้แบบนั้นในอนาคต เพราะเราคิดเสมอว่าเราไม่ใช่แค่นักดนตรี เรามีตั้งแต่คนขับรถ เด็กเครื่อง เราต้องคิดว่ากี่งานเขาถึงจะอยู่ไหว เราต้องคิดแบบนี้เพื่อให้มีแรงกระตุ้นมากขึ้น นึกถึงคนที่รายได้น้อยที่สุด กี่งานเขาถึงจะอยู่ไหว เราก็ต้องพยายามให้มันมี

แด๊ก : อนาคตถ้ามันใหญ่ผมว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างที่ว่าเราทำงาน เรารอคนมาจ้าง กับเราสามารถจ้างตัวเองได้ อันหลังมันจะเป็นสิ่งที่ท้าทายกว่า เราจะทำอย่างไร คือถ้าเราสามารถทำงานแล้วสื่อสารกับแฟนๆ ได้เข้าใจอย่างที่คิด ทุกคนก็อยากจะรอฟังหรือรอดูผลงานแบบของพวกเราว่ามันเป็นอย่างไร เพราะทุกคนรวมถึงตัวเราตอนนี้รู้แล้วแหละว่า เรามีแนวทางของตัวเอง

เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเหนื่อยหรือเปล่า

หรั่ง : คุ้มครับ เป็นการเดินทางที่เหนื่อยแต่คุ้ม สนุก คือทุกสิ่งอย่างมันต้องแลก ไม่มีอะไรที่ได้มาแบบง่ายๆ เราเลือกเส้นทางนี้แล้ว มันเป็นสิ่งที่เราชอบ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ดนตรีกับมอเตอร์ไซค์ มันเอื้อกันอยู่ รถสามารถทำให้เรากลับมาผลิตงานได้ด้วย มีความสบายใจ มีความสุขกับสิ่งหนึ่ง แล้วก็มาทำอีกสิ่งหนึ่งให้มันมีการเดินทางกลับไปใหม่

แด๊ก : มันเป็นทางเลือกแล้วครับ ก็เหมือนอย่างที่พี่หรั่งเคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าอยากเห็นมากกว่าคนอื่น ก็ต้องขี่ให้ไกลกว่าคนอื่น ขี่ให้อึดขี่ให้นานเข้าไว้ ก็เห็นทางมากขึ้น เหมือนกันทุกอย่าง





เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช
อัปเดตหลากหลายเรื่องราวข่าวสาร สาระบันเทิงได้ที่แฟนเพจ mars magazine

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE