ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นได้ในชีวิตผู้ชายคนหนึ่งซึ่งถูกขนานนามให้เป็น ‘ร็อกสตาร์’ ของเมืองไทย ‘เสก โลโซ’ หรือ ‘เสกสรรค์ ศุขพิมาย’ ศิลปินผู้คร่ำหวอดในวงการดนตรีไทยมามากกว่า 2 ทศวรรษ สร้างผลงานเพลงยอดนิยมมากมาย อาทิ ไม่ต้องห่วงฉัน (Lo Society / 2539), เคยบอกว่ารักกัน (Loso Special / 2540), ซมซาน (Loso Entertainment / 2541), ใจสั่งมา (Rock & Roll / 2542) รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ทำเอาคนอินไปทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง ผู้ชนะ (15 ค่ำ เดือน 11 / 2546)
จากจุดเริ่มต้นของร็อกสตาร์ฮีโร่ ต้นแบบที่ทำให้เยาวชนหันมาเล่นดนตรี มีเพลงกระแทกกลางหัวใจจิ๊กโก๋ เป็นนักสร้างสรรค์ผลงานเอาใจคนทุกชนชั้น วันนี้ ‘พี่เสก’ ของน้องๆ กลับตกเป็นข่าวอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะด้านลบ ผ่านปากอดีตภรรยาซึ่งออกมาแฉความเป็น ‘Bad Boy’ ตั้งแต่อาการหลอนจากการใช้สารเสพติดถึงขั้นทำร้ายภรรยา รวมทั้งการส่งข้อความข่มขู่คนในครอบครัวของเธอ กระทั่งล่าสุดคนสนิทของเสกขับรถชนน้องชายฝ่ายหญิงจนต้องหามส่งโรงพยาบาล ส่วนข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร คงต้องรอกระบวนการทางกฎหมายเป็นผู้ตัดสิน
ไม่ว่าวันนี้เรื่องราวของร็อกเกอร์วัย 40 จะถูกเผยออกมาแบบไหน เห็นได้ชัดเจนว่ามีแฟนเพลงอีกมากยังคง ‘ศรัทธา’ ผลงาน และเลือกเดินตามเส้นทางศิลปินในแบบ ‘เสก โลโซ’ โดยเฉพาะกระบวนการคิดนอกกรอบ ซึ่งหาได้ยากในสังคมปัจจุบันที่ถูกกำหนด บีบคั้นด้วยวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เป็นเหตุให้คนทั่วไปไม่พร้อมจะแตกแถว แต่กับร็อกสตาร์ผู้มากความสามารถ เขาเรียกการ ‘ตกผลึกความคิด’ ของตัวเองว่าการ ‘บรรลุ’ เพราะสิ่งนี้คือแก่นแท้ชีวิตทำให้กล้าเดินตามหัวใจตัวเอง
เรื่องราวต่อจากนี้คือบทสัมภาษณ์เจาะเข้ากลางหัวใจ ‘เสก โลโซ’ ที่หากใครตัดสินเขาไปแล้วว่าไม่ใช่คนที่คู่ควรแก่การนับถือ เนื้อหาทั้งหมดจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่สำหรับคนที่ยังศรัทธา หรือพร้อมเปิดใจรับ คุณจะรู้ว่าวันที่เราร่วมแหกปากร้องเพลงในตำนานอย่าง ‘ผู้ชนะ’ นอกจากช่วยปลุกพลังในตัวแล้ว เนื้อหายังบ่งบอกตัวตนแท้จริงของผู้ชายที่ชื่อ ‘เสกสรรค์ ศุขพิมาย’ ได้ชัดเจน
วงการเพลงเมืองไทยในมุมของ ‘เสก โลโซ’
วงการเพลงบ้านเราก็เหมือนกันหมดนะ เนื่องจากว่าตอนนี้การซื้อขายมันลดน้อยลงเยอะ เมื่อก่อนผมเคยขายได้สองล้านชุดมาหลายอัลบั้ม แต่เดี๋ยวนี้ขายได้ 4 หมื่นชุดก็ถือว่าเยอะมากแล้ว เปรียบเทียบดูสิ 2 ล้านกับ 4 หมื่นนี่ไม่รู้กี่เท่าเลย เพราะฉะนั้นเงินรายได้ที่จะเข้ามาสู่ศิลปินนี่มันน้อยมาก เมื่อก่อนผมรับเงินทีหนึ่ง… พูดตรงๆ เลยนะ ไม่ได้คุย บางทีรับ 7 ล้าน หมายถึงรับทีหนึ่งนะ แต่จริงๆ มากกว่านั้นในหนึ่งอัลบั้ม แต่เดี๋ยวนี้ได้เช็คมาไม่ถึง 2 แสน เพราะฉะนั้นเงินรายได้จากการค้าขายซีดีค้าขายเพลงมันน้อยลงมาก
ทำคอนเสิร์ต ทางรอดของศิลปิน
เราต้องเล่นคอนเสิร์ต แล้วก็หาเงินจากทางสปอนเซอร์ซึ่งไม่ได้ง่ายที่จะทำ นอกจากวงของผมเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ของคาราบาวที่จะอยู่ได้ บอดี้สแลมที่เขาไปทัวร์ล่าสุดใช้จ่ายเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ว่าการที่เราไปขายบัตรแพงๆ ต่างจังหวัดมันขายไม่ได้หรอก
ทัวร์คอนเสิร์ตนี่แน่นอนที่สุด ไม่มีทางก๊อปศิลปินได้ คงจะมีคนก๊อปเป็นพี่เสก โลโซเยอะคน แต่ว่าเขาก๊อปการเล่นของผมเป๊ะๆ ไม่ได้หรอก บางคนก็จะมาดูความเป็นเสก โลโซตรงนี้
โลกดิจิทัลทำลายโครงสร้างวงการเพลง
MP 3 โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตเนี่ยมันเข้ามาทำลายวงการเพลง แต่ผมไม่ได้บอกว่ามันเสียไปหมดทุกอย่าง ปัจจุบันนี้ผมก็มีสื่อของตัวเองอยู่ เป็นสื่อฟรีเลยไม่ต้องไปเสียเงิน สมัยก่อนแต่งเพลงเองนี่ต้องไปเข้าห้องอัด เดินแจกแผ่นให้ดีเจเปิด แต่เดี๋ยวนี้เหรอ คลิกเดียวในโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นเราต้องมองในด้าน positive เสมอ คือการคิดในแง่บวก
ยูทูบก็เหมือนกัน มันมาทำให้เราขายเพลงไม่ได้ แต่เราสามารถนำเสนอผลงานเพลงในนั้นได้อย่างง่ายดาย เราต้องคิดในแง่บวกเสมอ เงินเราน้อยลงเราก็ไปทำสิ่งอื่นก็ได้ให้มันกลายเป็นเงินขึ้นมา
ศิลปินร้องเพลงตัวเองไม่ได้ถ้าไม่จ่ายลิขสิทธิ์
การที่บริษัทใหญ่ๆ ห้ามไม่ให้นักร้องหรือศิลปินที่เป็นเจ้าของเพลงร้องเพลงตัวเองเนี่ยผิด ห้ามเขาไม่ได้ อย่าไปทำ บอกทุกค่ายเลยอย่าไปทำ ผมไม่สนับสนุนและไม่ถูกต้องที่สุด คุณไม่มีทางห้ามอัสนี-วสันต์ (อัสนี-วสันต์ โชติกุล) ร้องเพลงได้อย่างเสียอย่าง เพราะนั่นมันเป็นเพลงของเขา ผมไม่ได้ว่าแกรมมี่ ผมไม่ได้ว่าอาร์เอส ผมบอกทุกคน คุณไม่มีทางไปห้ามศิลปินที่เป็นเจ้าของเพลงร้องเพลงของเขาได้ แล้วคุณก็อย่าไปเก็บเงินพวกร้านลาบ ร้านส้มตำ ที่เขาขายได้กำไรวันละ 500 มึงจะไปเก็บเขา 3 หมื่น มึงบ้ารึเปล่า! มันต้องคิดถึงเรื่องหัวใจ เพลงมันทำมาให้คนมีความสุข อย่าทะเลาะกันเพราะเพลง อย่าไปมองจุดประสงค์ของเพลงผิด แต่ว่ามันสามารถทำเป็นเงินได้ อันนี้ผมไม่ปฏิเสธหรอก แต่อย่าทำให้มันผิดจนคนหมดความศรัทธา ต้องคิดถึงใจเขาใจเรา
คนทำธุรกิจต้องมีหัวใจ
ต้องมีหัวใจ ต้องมีความเป็นคน ต้องมีการแบ่งปัน ต้องมีความพอเพียง ต้องมีความถูกต้อง สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันรวบรวมไว้ในความเป็นคน ในความเจริญ ในความเป็นผู้นำ ถามหน่อยว่าคุณจะไปไถเงินเด็กๆ ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเหรอ (หัวเราะ) ผมไม่มีทางทำ สมมุติว่าผมมีเงินสัก 10,000 ล้าน ผมไม่มีทางไปบอก เฮ้ย! มึงเอาเงินมาให้กูสัก 50 บาทซิ ใช่ปะ! อันนี้เป็นวิธีที่คนเจริญแล้วไม่ทำกัน
ค่ายเพลงในอุดมคติ
สำหรับผม ผมมีค่ายเพลงของตัวเองอยู่ ผมก็จะปฏิวัติการจ่ายเงินใหม่ คือดับเบิลเข้าไป คนที่ทำให้วงการเพลงไทยสร้างเป็นอาชีพได้คือ พี่เต๋อ-เรวัติ พุทธินันทน์ ทั้งพี่เต๋อพี่บูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) ผมรักพวกเขามาก เขาก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจ่ายลิขสิทธิ์ค่าเงินอะไรต่างๆ ตอนนี้ก็ยังไม่แก้ไข หรือแก้ไขแล้วแต่ผมอาจไม่รู้ก็ได้ แต่ผมจะแก้ไขใหม่ ดับเบิลเข้าไป
ส่วนถามว่าค่ายกับศิลปินยังมีความจำเป็นต่อกันแค่ไหน จำเป็นต่อกันทั้งสองฝ่าย แต่นักร้องที่เป็น independent นี่สามารถทำได้ เขามีสื่ออยู่ในมือ ผมก็มีสื่อของผม เพราะฉะนั้นเราเพียงแค่เข้าใจ แบ่งปัน แล้วก็อยู่กันอย่างมีความสุขเท่านั้นเอง
แก่นสารชีวิตของ ‘เสก โลโซ’
ผมคิดด้วยตัวผมเอง ความคิดของผมมันตกผลึก คุยโม้หน่อยก็เรียกว่าบรรลุ อยู่มาวันหนึ่งคนเรามันก็ต้องตายจากกัน ไอ้สิ่งที่เหลืออยู่มันก็คือผลงาน คงไม่มีใครรู้หรอกว่า John Lennon มีเงินเท่าไหร่ แต่เขาจำว่า John Lennon แต่งเพลง Imagine เข้าใจปะ นี่คือสิ่งที่เขาวัดกัน คนเรามันไม่ได้วัดกันจากเงิน ถ้าวัดจากเงินก็ไอ้พวกนักธุรกิจ แต่ศิลปินเขาจำว่าคุณแต่งเพลงอะไรเอาไว้ คุณทำคุณงามความดีอะไรให้กับโลก แม้เวลาที่ผมทำธุรกิจก็มีเป้าหมายว่าได้เงินมาก็เอาไปช่วยเหลือเกื้อกูลคนยากคนจน เรามีเป้าหมายชีวิตตลอด
ความสุขคือสิ่งที่ต้องส่งมอบแก่กัน
การให้มันเป็นความสุข มันมีความสุขมากกว่าที่เราจะเก็บไว้เอง เรามีเงิน 10,000 ล้าน เราไปให้เขาสัก 1,000 ล้าน เรามีความสุขที่ได้เห็นเขามีความสุข ผมไม่คิดว่ามีเงินเยอะๆ แล้วจะเอาไปได้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งลูกเราก็เหมือนกัน ที่ทำทุกวันนี้เราก็ทำให้ลูกเห็น เติบโตขึ้นมาเขาจะได้รู้สึกว่าพ่อเขาทำแบบนี้ เขาก็ควรจะทำ
ผมตั้งมูลนิธิ (มูลนิธิโลโซ) เอาเงินไปช่วยทางโน้นทางนี้ เพราะการให้มันแสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัว เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก มีคนที่ไม่ได้มีโอกาสแบบผมทุกคน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นบุญบารมีของเรา
สิ่งที่หลุดหาย – เบ่งบาน ในวัย 40
ผมไม่มีความรู้สึกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปสักอย่างเดียว เชื่อไหม? เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ เรามั่นใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้า มั่นใจที่จะพาองค์กรของเราต่อไป มั่นใจว่าเราจะออกไปช่วยคนได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีความเสียใจที่ว่า ไอ้สิ่งเหล่านี้มันผิดนะ ฉันต้องกลับไปแก้ มันแก้ไม่ได้! เพราะมันเป็นวันเก่าๆ
สมมุติมีคนมาบอกว่า ฉันไม่ชอบคุณเลย ผมก็จะบอกว่า มึงคิดว่ากูชอบมึงเหรอ? (หัวเราะ) เข้าใจปะ ถ้าฉันเป็นคนไม่ดี เป็นคนโง่ๆ ทำไมฉันถึงมีความสุขอยู่ทุกวี่ทุกวัน คนที่มีความสุข คนที่ประสบความสำเร็จ ก็คือคนที่ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และมีความรู้แล้ว ถ้าเป็นคนโง่ก็มีความทุกข์อยู่นั่นแหละ แล้วทำไมเราต้องเป็นคนโง่ ถ้าเรารู้ว่าความสุขนั้นมันอยู่ตรงไหน เราก็ไปที่ความสุขโดยไม่เดือดร้อนใคร ไม่ได้ทำให้ใครลำบาก
ซุปเปอร์สตาร์กับการวางตัว
เราก็อย่าไปคิดว่าโด่งดังสิ เข้าใจปะ คนเรามันพ่ายแพ้เพราะคิดว่ามันโด่งดังมาก ทุกวันนี้ที่พี่อยู่กับลูกน้องก็ธรรมดามาก ไม่ใช่ว่ากินลาบไม่ได้ กินซกเล็กไม่ได้ ไม่ใช่! ยังกินได้เหมือนเดิมทุกอย่าง แวะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางได้สบายใจเลย ใครจะมาขอลายเซ็นไม่เห็นเป็นไร ใครมาขอกูก็แจก ใครจะมากอดมาจูบก็มา ไม่เคยถือตัวและไม่เคยรู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร เมื่อก่อนนี้มึงอยากดัง อยากให้คนมาขอถ่ายรูป แต่พอมึงดังแล้วคนมาขอลายเซ็น ฉันไม่แจก ฉันอยากเป็นส่วนตัว แหม! เมื่อก่อนมึงไม่อยากเป็นส่วนตัวเลย
ใช้ธรรมะกับชีวิต และสร้างงานเพลง
การศึกษาธรรมะก็คือการทำให้พ้นทุกข์ ศาสนาทำให้เราตาสว่าง ให้เหมือนบัวพ้นน้ำ ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ท่านพุทธทาสถึงบอกว่าเช่นนั้นเอง ช่างหัวมัน ไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเข้าใจ 3 อันนี้ได้ก็บรรลุเลย อย่างเช่น ไอ้นี่มาด่ากูมากๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะ ทำไมคนถึงไม่รักเรา ทำไมเราไม่รักเขา อ๋อ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง อย่าเอามาย้ำคิดย้ำทำ เพราะฉะนั้นความคิดเนี่ยสำคัญที่สุดในโลกนี้
ช่วงที่ออกมาจากโรงพยาบาลใหม่ๆ ที่โดนจับยาครั้งที่แล้วท้อมาก คิดว่าเอาชีวิตไม่รอด เกือบตาย สุดท้ายก็กลับมาได้
เราต้องยึดมั่นในตัวเอง คนเราที่พ่ายแพ้เพราะเราไม่ยึดมั่น ไม่นับถือตัวเอง เราต้องสร้างความนับถือ สร้างความรักให้กับตัวเอง แล้วก็มั่นใจในสิ่งที่เราดำรงชีวิต ชีวิตของเรามันมีดีบ้างเลวบ้างผสมกันไปก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ต้องยอมรับถ้าเราพลาด และเข้าใจในการดำเนินชีวิต ถ้าไม่เป็นคนเลวอย่างประเภทไปยิงไปฆ่าเขา อยู่ไปเถอะไม่มีใครว่าอะไรหรอก
ผมเคยแต่งเพลง โลภะ โทสะ โมหะ เพลงอย่าเห็นแก่ตัว อะไรทำนองนี้ เรามีทั้งคนรักคนเกลียดคุณ มีโมโห มีรักโลภโกรธหลง นั่นคือธรรมะ นั่นคือธรรมชาติ ท่านที่บรรลุเหล่านี้เขาก็สอนให้คนเรารู้จักธรรมชาติ คนนี้ทำไมถึงไม่ชอบเรา เราต้องไปแคร์เขาหรือเปล่า พอรู้จักธรรมะเยอะๆ มันก็สบาย อยู่อย่างมีความสุข เราไม่ต้องไปแบกทุกอย่าง มันต้องปล่อยวาง
พรุ่งนี้ของร็อกสตาร์
ผมจะมีเงิน 10,000 ล้านภายใน 5 ปี ผมว่าผมทำได้ ขายเบียร์ไง ตลาดประเทศไทยมันมี 2 แสนล้าน ผมว่าเบียร์ของผมจะขายได้ 10-20% ซึ่งเบียร์ผมจะมี 2 ยี่ห้อ มียี่ห้อ Loso กับยี่ห้อ Pistonhead เงินที่ผมจะได้มาก็จะเอาไปช่วยคน สมมุติขายได้ 20% ผมได้เงิน 4 หมื่นล้าน สมมุติได้กำไร 2 หมื่นล้าน ผมจะบริจาคปีละ 2 พันล้าน อะไรแบบนี้ ซึ่งแม่งเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำ เพราะคนในประเทศนี้ 95% รู้จักผมหมด ผมเป็นคนของประเทศนี้ไปแล้ว
ไม่ทับไลน์ธุรกิจของพี่น้อง
ผมจะไม่ทำอะไรที่เพื่อนหรือพี่เราทำอยู่ พี่แอ๊ดก็เป็นพี่เรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำธุรกิจที่จะไปทับกัน ธุรกิจเบียร์ผมวางแพลนมาเป็น 10 ปีแล้ว และมันเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลังจากเบียร์แล้วก็จะทำน้ำ อนาคตก็จะมีธุรกิจมาเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้เป็นจุดต่อยอดมาจากเรื่องเพลง เมื่อเพลงมันขายไม่ได้ทุกคนก็ต้องหาทางออกสิ ศิลปินนาย ก. นาย ข. ที่เคยโด่งดัง เมื่อขายเทปไม่ได้ก็ไปทำผลิตภัณฑ์อะไรก็ได้นี่ มันมีอะไรที่เกิดขึ้นได้ในโลกนี้ เพียงแต่คุณกล้าที่จะทำหรือเปล่า
ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของ ‘เสก โลโซ’ ในนิตยสาร mars ฉบับเดือนพฤษภาคม 2558
เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์