“เซ็กซ์กับชีวิตมันเป็นเรื่องเดียวกัน” พี่จ่า-สมศักดิ์ อ่อนศรี CEO แห่งโลกกลางคืน


แสงสลัวส่องประกายเมื่อกระทบขวดเหล้าที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้า ควันบุหรี่ลอยฟุ้งอยู่ในห้องกระจก คนกว่าครึ่งร้อยจับจ้องไปยังชายคนเดียว การประชุมเคร่งเครียดกำลังดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย คล้ายฉากในนิยายหรือหนังประเภทเจ้าพ่อ-มาเฟียสักเรื่อง แต่แล้ว อีกไม่กี่อึดใจต่อมา ห้องกระจกใสขนาดใหญ่นั้นก็ถูกปรับเปลี่ยนกลับสู่การเป็น 'ค็อกเทลเลานจ์' ดังเดิมอย่างรวดเร็ว

เราเข้ามานั่งอยู่ในห้องกระจกอีกห้อง ซึ่งแบ่งส่วนซอยย่อยออกมาจากห้องโถงใหญ่เมื่อครู่ ขวดไวน์ราคาหลักหมื่นหลักพันเรียงรายเป็นฉากหลัง มองทะลุกระจก นักดนตรีกำลังนั่งลงที่เก้าอี้ พรมนิ้วลงบนเปียโน โน้ตตัวแรกถูกบรรเลง สาวสวยเดินไปเดินมาไม่ขาดสาย พร้อมๆ กับบทสนทนาระหว่างเรากับชายที่เป็นศูนย์กลางของการประชุมเมื่อครู่ ผู้ได้รับการขนานนามว่า 'CEO แห่งโลกกลางคืน' เจ้าของคลับหรูใจกลางเมืองอย่าง The Piano และ Sherbet ที่เคยถือครองสถานบันเทิงกลางคืนยอดฮิตของชาวกรุงไว้ในมือมากที่สุดพร้อมๆ กันถึงห้าแห่ง
เรื่องราวต่างๆ หลั่งไหลออกจากปาก และหากเวลาคือผืนกระดาษที่มีไว้เพื่อใช้บรรจุประวัติศาสตร์ ก็ดูเหมือนว่า เวลา 'กลางคืน' ของชายที่มีชื่อว่า สมศักดิ์ อ่อนศรี หรือที่ถูกเรียกอย่างเคารพโดยพนักงานของเขาว่า'พี่จ่า' จะมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่ากลางวันมากมายหลายเท่า

ไม่… ไม่ใช่คำที่กล่าวเกินเลยจนเกินไป เพราะชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของเราตอนนี้ คือตำนานผู้ยังมีลมหายใจ ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ยามราตรีของประเทศไทยในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา อย่างน้อยๆ ถ้าคุณรู้จักคำว่า 'ไซด์ไลน์' 'โคโยตี้' 'เด็กนั่งดริงก์' เขานี่แหละ คือคนที่บัญญัติศัพท์ และริเริ่มวัฒนธรรมเหล่านี้ขึ้นเป็นคนแรกๆ

เศรษฐกิจที่ค่อนข้างย่ำแย่ในตอนนี้ส่งผลต่อธุรกิจสถานบันเทิงกลางคืนของคุณไหม?

เราจะพูดในมุมมองของนักรัฐศาสตร์นะ เพราะเรากำลังศึกษาปริญญาเอกด้านนี้อยู่ เราจะพูดในแง่ของเศรษฐศาสตร์การเมืองที่เขาบอกว่า ถ้าการเมืองดี เศรษฐกิจก็จะดี สังคมก็จะดีไปด้วย นี่คือตามทฤษฎี ถ้าสังคมดี คนก็จะดีไปด้วย ซึ่งตอนนี้ นอกจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกแล้ว ปัจจัยภายในของเศรษฐกิจไทยมันก็มีปัญหาเหมือนกัน คือเรื่องความขัดแย้งภายใน ฝั่งไหนเป็นฝั่งไหนเราไม่รู้หรอก แต่เราจะพูดกลางๆ ในฐานะผู้ประกอบการ หรือนักธุรกิจว่า ภาพรวมๆ คือ บรรยากาศของการบริโภคมันไม่มี เราเห็นได้ชัดว่า ดัชนีของทุกสำนักที่ออกมาไม่ได้ดีนัก เพื่อนเราที่อยู่ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ยุโรป สิงคโปร์ มาเลเซียก็มองภาพเศรษฐกิจบ้านเราไม่ดี บรรยากาศที่คนข้างนอกมองเข้ามามันจึงไม่ดี หรือแม้แต่คนข้างในเองก็มองว่ามันไม่ดี ลูกค้าของเราหายไปมากกว่า 40% เพราะกลุ่มเป้าหมายของเรา คือกลุ่มนักนักธุรกิจที่ค่อนข้างเอ็กซ์คลูซีฟสักนิด ชนชั้นกลางที่ได้เงินเดือน 20,000-40,000 บาท คงมาที่นี่ลำบาก ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราเป็น High Target ที่มาหาความบันเทิง พาลูกค้ามาเที่ยว มาคุยเรื่องการค้า เรื่องธุรกิจ แล้วเบิกเงินบริษัท โดยไม่มีอย่างอื่นแอบแฝง ดังนั้น ดูง่ายๆ เลย ตอนนี้แค่อีเวนต์เปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ยังไม่มีเลยนะครับ เมื่องบโฆษณาถูกลด งบเพื่อความบันเทิงก็จะถูกตัดเป็นอย่างแรก ลูกค้าระดับผู้บริหารก็หายไป ภาพรวมเป็นประมาณนี้

มีวิธีจัดการอย่างไร?
 
เราทำงานด้านนี้มาสามสิบกว่าปีตั้งแต่ปี 2525 จากเด็กบ้านนอกฐานะยากจนคนหนึ่ง ที่เริ่มจากเป็นบาร์เทนเดอร์จนถึงวันนี้ 30 ปีพอดี ประสบการณ์เราพอมี เราฟังข่าวจากสำนักต่างๆ แล้วเราก็วิเคราะห์ สังเคราะห์ และเริ่มตั้งสมมุติฐานเพื่อปรับตัวธุรกิจล่วงหน้าจาก 3-4 สัญญาณเท่าที่เห็น ด้วยการเน้นกับตลาดที่เป็นลูกค้าต่างชาติ ซึ่งอาศัยอยู่เยอะมากในย่านสุขุมวิท-ทองหล่อ ไม่ใช่แค่ฝรั่งนะ รวมถึงคนเอเชียทั้งสิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น ซึ่งเขาไม่มีผลกระทบกับเรื่องเศรษฐกิจเท่าไหร่ เพราะเขามาทำงานบ้าง เป็นนักท่องเที่ยวบ้าง เราเลยหันไปเน้นพวกนี้มากขึ้น ซึ่งก็พอที่จะทดแทนลูกค้าคนไทยที่หายไปได้บ้าง แต่จริงๆ แล้ว การหาลูกค้าใหม่ๆ มาทดแทนก็ไม่ได้ยั่งยืนนะครับ เพราะเขาเป็นชาวต่างชาติ ดังนั้น ถ้ามีสถานการณ์อะไรรุนแรงขึ้นมานิดหนึ่งก็จะวูบหายไปทันที ซึ่งผมทำธุรกิจนี้มา 30 ปีก็เน้นไปที่ลูกค้าคนไทยตลอด

บรรยากาศของสถานบันเทิงกลางคืนเมื่อ 30 ก่อนเป็นอย่างไร เคยได้ยินว่า มีการขายบริการทางเพศเป็นเรื่องปกติ?

เมื่อปี 2531-2532 การเปิดคลับหรือค็อกเทลเลานจ์จะเป็นบาร์ออฟ ขายบริการทางเพศ ทุกที่มีหมด แต่ไม่ได้ประเจิดประเจ้ออะไรมากมาย แต่ยุคผมนี่จะชัดเจน เริ่มค้าแบบตรงไปตรงมาเลย

แต่ก็ผิดกฎหมายใช่ไหม?

ผิดกฎหมายนี่แหละ ค้าประเวณีไม่ผิดได้อย่างไร ช่วงก่อนหน้านี้มี 'เอสคอร์ต' เป็นนางทางโทรศัพท์ อยู่ในมุมมืด แล้วจะมีเอเจนต์โทรไปเรียกมา แต่ยุคนั้นมาเจอกันตรงๆ แล้ว ส่วนใหญ่เป็นสาวต่างจังหวัดการศึกษาน้อย หรือคนมีปัญหาครอบครัว ที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เพื่อมาทำงานกลางคืน คืองานกลางคืนมันเป็นอาชีพก่อนสุดท้ายที่ผู้หญิงจะเลือกน่ะ มันเป็นอาชีพก่อนที่ผู้หญิงจะไปขายตัว ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ผู้หญิงในคลับกลางคืน ก็พอจะมีสิทธิ์เลือกอยู่บ้าง ยังพออ้างนู่นนั่นนี่ได้ ปฏิเสธลูกค้าได้อยู่

ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรที่ต้องจ้างผู้หญิงมาให้ลูกค้าออฟ รู้สึกไม่ดีบ้างไหม?

ไม่รู้สึกเลย เรายังอายุไม่เยอะ เป็นผู้ชาย ระห่ำ หลงระเริง ลูกค้ามาก็สนุกกันไป ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรหรอก เปิดมาได้ปีกว่า ลูกค้าแน่นมาก สาวๆ เอสคอร์ตออกมาขอทำงานด้วยแบบไม่รับเงินเดือน นั่นคือที่มาของคำว่า ไซด์ไลน์ ผมเป็นคนกำหนดศัพท์นี้ขึ้นมา คือเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้รับเงินเดือนจากที่ร้าน เข้ามาสัมภาษณ์ มาม่าซังก็จะดูรูปร่างหน้าตาว่าผ่านไหม ขายราคาเท่าไหร่ ร้านผมเป็นร้านเล็กๆ แต่เด็กๆ เลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ทั้งหมด จึงเริ่มขยับขยายมาที่สุขุมวิท 42 ชื่อว่า Porches Club เป็นที่กล่าวขานเรื่องสาวไซด์ไลน์ ทุกที่ในตอนนั้นเป็นเหมือนกันหมด ลักษณะเดียวกันเลย ผมทำอยู่ตอนนั้นมีเรื่องราวเล่าขานเยอะแยะ ศิลปินโด่งดังทั้งในไทยและต่างประเทศมากันเต็มไปหมด ร้านของเราเป็นที่ที่ดูดี ดูคลาสสิก ถ้าไม่นับเรื่องค้าประเวณี คือเราไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องเสื่อมเสียอะไร แต่มันเป็นวิถีของการบริโภคมากกว่า แล้วมันก็จะมีคำพูดทำนองว่า มาแล้วไม่ได้ จะมาทำไม

จนถึงวันนี้ก็ยังมีภาพลบๆ กับสถานบันเทิงกลางคืนจากสังคมอยู่ใช่ไหม?
 
แล้วแต่เขานะ เขาไม่เคยให้อะไรเราเลย แล้วกลับมาเดียดฉันท์เกลียดเราไม่เลิกไม่รา หาว่าเราเต้นกินรำกิน เอาภาษิตแค่ครึ่งคำมาพูด หาว่าที่นี่เป็นที่อโคจร ทำไมเหรอ นกฮูกกับอีกามันต่างกันอย่างไร ก็นกเหมือนกัน มันเป็นวงจรชีวิตของมนุษย์ ไม่งั้นใครจะเป็นคนเติมเต็มช่วงเวลากลางคืนล่ะ แล้วทั่วโลกมันมีหมด นักธุรกิจประชุมตอนกลางวัน กับกินเหล้าตอนกลางคืน คุณเซ็นสัญญากันตอนกินเหล้าเวลาเที่ยงคืนด้วยซ้ำ มันเป็นวัฒนธรรมตะวันออกนะ ถ้าคุณดื่มเหล้ากับคนเกาหลี แก้วแรกเบียร์ แล้วก็บอมบ์วิสกี้ในแก้วเบียร์ แล้วก็ซัดทีเดียวหมด สันดานมันจะออกมา เมาได้ที่ ถ้าคุณเป็นแขกของคนจีน ผมเป็นเจ้าบ้าน มากัน 5 คน คุณต้องกิน 5 แก้วนะ มันเอาจนเราเมา แล้วเราจะบอกหมด พอเมาแล้วจะหนีสันดานตัวเองไม่ได้ เอเชียมันเป็นอย่างนี้ มันปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็นธุรกิจที่เติมเต็มกัน นักรบทุกคนเวลาเสร็จสิ้นการรบมาก็ต้องพักผ่อน เสพสุราและนารี เราก็ต้องบริการให้เต็มที่ นักธุรกิจแตกต่างจากนักรบอย่างไร ข้ามโพ้นทะเลมาทำธุรกิจต่างบ้านต่างเมือง ต้องดูแลอย่างไร อะไรที่เติมเต็มกันได้ มีลูกค้าคนหนึ่งทำธุรกิจครบสิบปีเอากระเช้ามาให้ผมนะ บอกว่า “ขอบคุณพี่จ่ามาก ที่ทำให้ธุรกิจของผมยิ่งใหญ่มาจนทุกวันนี้” อย่างน้อยที่สุด พี่จ่าก็เป็นตัวช่วยเสริมให้เขา

สถานบันเทิงกลางคืนเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง?

มันเป็นการเติมเต็มทางธุรกิจ เขาเดินทางมาถึงสนามบิน นอนโรงแรม ประชุม กินข้าว แล้วให้ไปไหน ส่งกลับโรงแรมนอนเหรอ หรือถ้าพาไปอาบน้ำ (อาบ อบ นวด) เขาก็จะมองเลยว่า รสนิยมมึงเป็นแบบนี้เหรอ จะพาไปที่ไหนที่สมฐานะของเขา มันก็ต้องเป็นเอ็กซ์คลูซีฟคลับ ห้องส่วนตัวสำหรับผ่อนคลายกัน เป็นแบบนี้ทั่วโลก ไม่ใช่แค่คนไทย

ในโลกยุคใหม่กำลังส่งเสริมสิทธิที่เท่าเทียมระหว่างเพศชายและเพศหญิง โดยเฉพาะเมืองไทยที่เป็นสังคมผู้ชายเป็นใหญ่มายาวนาน การมีอยู่ของสถานบันเทิงแบบนี้ มันเท่ากับว่าเป็นการส่งเสริมให้ค่านิยมเดิมๆ ยังคงมีอยู่หรือเปล่า?

เราสมมุติมันขึ้นมาเองตามหลักเสรีภาพ แต่ที่จริง เรามองภาพจริง เอาเรื่องจริงๆ มาคุยกันนะว่า จริงๆ ผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ที่ข่มเหงกัน ผู้ชายที่ข่มเหงมันเป็นแค่บางคนเท่านั้น ผมว่าผู้หญิงไม่ธรรมดาเลยนะ โลกนี้หมุนได้เพราะผู้หญิงเลยนะ ปัจจุบันหรืออดีตก็เถอะ ผู้หญิงเป็นคนกุมกลไกทั้งหมดอยู่แล้ว รบกันร้อยครั้งเกิดจากผู้หญิง 97 ครั้ง อีก 3 ครั้งเป็นกะเทย เช่น 10 ขันทีในสามก๊ก ทำงานมาแทบตาย ได้เงินมาแล้วต้องมาจ่ายทีคืนละสามสี่หมื่นบาท ไม่ใช่เพราะผู้หญิงหรอกเหรอ ผู้ชายมันคือควายน่ะ เรื่องอื่นฉลาดหมด แต่เรื่องผู้หญิงนี่เป็นควายเลยนะ แล้วเรื่องสิทธิผู้หญิงเนี่ย สมมุติว่าได้เสียกัน แล้วเราหลงใหลได้ปลื้มเขา หลงเสน่ห์เขา ถามว่าคุณเป็นทาสหรือเป็นนาย

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า งานที่ทำมาตลอดสามสิบปีทำให้คุณเข้าใจผู้หญิง จริงๆ แล้วเข้าใจในระดับไหน?

ก็เหมือนกับที่เดี่ยวไมโครโฟนพูดแหละครับ ผู้หญิงเป็นมนุษย์เมนส์ เป็นเพศที่เข้าใจในอารมณ์ยาก เปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา ทุกโอกาส ขี้อิจฉากันมาก ถ้ามึงโป๊ กูโป๊ได้มากกว่านี้อีก จะเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีแขกญี่ปุ่นเข้ามา ผมก็ทักทาย บอกเขาว่าที่นั่งเต็มหมดแล้ว เขาบอกว่า ผมเป็นเมมเบอร์นะ แต่เราก็บอกไปว่าที่นั่งมันเต็มจริงๆ รอหน่อยได้ไหมจะผสมเหล้ามาให้ เขาก็ทำสีหน้าผิดหวังมาก ตามธรรมเนียมญี่ปุ่นเขาต้องมีโต๊ะนั่ง มีสาวๆ มานั่งด้วย กลับต้องมาถือแก้วเหล้ารอ เพื่อนมาก็ต้องมายืนรอแบบนั้นด้วย เราก็คิดว่า ต้องพัฒนาให้มากขึ้น เพราะสิ่งที่เราทำการตลาดไปมันตรงกับคนกลุ่มนี้จริงๆ มันควรมีอะไรเพิ่มเติม ก็เลยจะลงทุนทำธุรกิจใหม่ เราเลยไปสิงคโปร์ เพราะที่นั่นเขาคิด ดีไซน์ไนต์ไลฟ์ดีมาก หลากหลายมาก เวลาไปหาไอเดียเราจะไปที่นั่น อีกที่คือเซี่ยงไฮ้ มีที่หนึ่งชื่อ China Jump ตอนกลางคืนจะมีบาร์เทนเดอร์เท่ๆ ดีเจซาวด์ดีมาก คือเราซีเรียสเรื่องเสียงกับการแสดงหน้าเวทีมาก นั่งดื่มไป มีผู้หญิงเต้นกันอยู่ ที่บอกว่าผู้หญิงอิจฉากันน่ะ คุณคิดดู ทุกคนยืนหน้าบาร์ เต้นแข่งกันเต็มที่ ไม่ต้องถามว่าสนุกกันขนาดไหน ก็เลยได้ไอเดียว่า จะทำที่ที่ผู้หญิงได้มาสนุกกัน เลยเปิดเป็นบาร์ชื่อ Forte ซึ่งเป็นชื่อเต็มๆ ของเปียโนตัวใหญ่ๆ ที่ชื่อ Piano Forte เล่นเบาก็ได้ ดังก็ได้ ป้อม ออโต้บาห์นยังมาช่วยอยู่เรื่อยๆ ได้กลุ่มศิลปะการแสดงประสานมิตรมาช่วยเต้นให้ เป็น 'โคโยตี้' ยุคแรก

เซ็กซ์กับรักเป็นของคู่กัน หรือสามารถแยกขาดกันได้?

เอาจริงๆ ผมว่าเซ็กซ์ที่ดี มันควรเป็นเซ็กซ์ที่ไม่มีข้อรังเกียจกันในตัวของทั้งสองฝ่าย และนั่นจะเป็นรักที่สมบูรณ์ อยู่กันไปนานๆ ไม่อยากจะเปลี่ยน เปลี่ยนไปมา ต้องเรียนรู้ใหม่ ก็รำคาญ อยู่กันไป ไม่ดีก็เงียบ

ถ้าเรื่องความรักของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงเนี่ย ผมว่า ผู้ชายร้อยละ 80 มักมีความรักแบบรับผิดชอบ คิดว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้รักของเรายั่งยืน ปัจจัยสี่ทั้งหมดต้องมี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเธอ เวลาส่วนหนึ่งจะทุ่มให้งาน เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา แต่ผู้หญิงไม่ใช่ รักเพื่อต้องการอยากจะได้ตัว อยากให้มารักมาเอาใจ ได้คืบจะเอาศอก เอาวา เอาเส้น อยากได้แม้แต่เวลางาน ตามจิกตามตัวอยู่ตลอด ว่าไปไหนมา ทำอะไรอยู่ โทรไปทำไมไม่รับ วุ่นวายไปหมด คือทั้งหมดนั้นไม่มีใครคิดหรอกครับ แค่สองฝั่งมันไม่เข้าใจกัน แต่ความรักวัยรุ่นจะแตกต่างหน่อยที่พลังทางเพศมันสูงทั้งสองฝ่าย ตัวกูของกูมันเยอะ ซึ่งก็อาจไม่ต่างหรอก ตอนแม่ผมยังอยู่ อายุ 60 กว่าแล้ว ยังบอกพ่ออยู่เลยว่า แกไม่เข้าใจฉัน

มองเรื่อง 'ซื้อกิน' ของผู้ชายอย่างไร?

ผมว่ามันเกี่ยวกับเรื่องฮอร์โมน มันเป็นเรื่องของพลังงาน เซ็กซ์กับชีวิตมันเป็นเรื่องเดียวกัน ถ้ามนุษย์ไม่มีต่อมไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมนขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะมีแรงผลักดัน จะฟันฝ่าอุปสรรคไหม จะเป็นขุนศึกที่รบชนะไหม ความคิดสติปัญญาที่ฉลาดปราดเปรื่องมาจากเรื่องเซ็กซ์ทั้งนั้น คนบางคนขาดความรัก ทิ้งความรักไป ชีวิตก็เหือดแห้ง เซ็กซ์มันเป็นเรื่องสำคัญ การไปว่าใครสักคนเจ้าชู้หรืออะไรแบบนั้น เราคิดว่า สังคมไทยชอบติฉินนินทาเกินไป ทั้งที่เราก็มีธรรมะ แต่เราเข้าใจแค่วัตถุมงคล แค่พระพุทธเจ้า แค่ขอให้ถูกหวย เราไม่ยอมรับความจริง บางคนฮอร์โมนผลิตเยอะ เมียไม่สบาย ปวดท้องเมนส์ ต่อจะให้ไปมีเมียน้อยก็ยังจงรักภักดีต่อเมียอยู่ คนที่ไปซื้อกินมีเงิน มันก็ดีกว่าช่วยตัวเองใช่หรือเปล่า หรือวันหนึ่งถูกบังคับให้แต่งงานกัน แล้วไปด้วยกันไม่ได้ แต่ต้องอยู่ด้วยกันเพราะสถานะทางสังคม พลังทางเพศก็สูง จะให้ทำอย่างไรได้ ไปตำหนิเดียดฉันท์ ประจานกันไป สุดท้ายก็มาบอกว่าที่นี่อโคจร พอใครพูดแบบนี้เสร็จ ว่าสถานบริการเป็นสิ่งไม่ดี พูดปุ๊บเป็นคนดีเลยเหรอ นี่เป็นอาชีพที่ถูกเดียดฉันท์มาตลอด

มองสังคมที่มีค่านิยมชื่นชมคนรวยอย่างไร เช่น ถ้าคุณไม่เป็นเจ้าของธุรกิจที่มีสินทรัพย์มหาศาล ก็อาจไม่มีนิตยสารมาสัมภาษณ์?

ก่อนที่เราจะสร้างตัวเองขึ้นมาได้ว่าเราเป็นใคร มันก็ต้องมีโปรไฟล์ รวยอย่างเดียวไม่ใช่เหตุผลหรอก ปราชญ์ท้องถิ่นก็มีคนไปสัมภาษณ์ บางคนร่ำรวยจริง แต่ไม่มีอะไรจะให้คุย ผมว่าในฐานะผมกับสังคมเมืองในทุกวันนี้ไม่แปลกเลย บางคนมีเป็นพันล้าน เราเองไม่เท่าไหร่ เรื่องเงินมันไม่เกี่ยวเลย ถ้าคุณเป็นเมมเบอร์ เราบริการเท่ากันหมด อยากได้อะไรก็จ่ายตามกติกา เราก็แฮปปี้ เขาก็แฮปปี้ เราจะศรัทธาต่อตัวเขาไหม บางทีก็ไม่นะ แต่ถ้าเขาให้เงินมาก็ต้องดูแลเป็นอย่างดี

วิธีการดำเนินธุรกิจในโลกยุคปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อก่อนไหม?

ยากขึ้นทุกวัน เมื่อก่อนเงินมันนิ่งมาก คนทำอาชีพค้าขายต่างๆ ก็จะอยู่เป็นนิชมาร์เก็ต คุณรู้ใช่ไหมว่าพัฒน์พงษ์ พัทยาเกิดขึ้นมาเพราะสงครามเวียดนาม เพชรบุรีตัดใหม่ก็เหมือนกันนะครับ ช่วงบูมมิ่งมันขายของง่าย แค่สร้างการแสดงให้ดีทุกคนก็มาซื้อ จะเห็นคนฟันเลี่ยมทอง เสื้อลายดอก ผ้าพลิ้วๆ หนีบกระเป๋า บุหรี่ต้องถือข้างนอกไม่ใส่กระเป๋าด้วยนะ คาบไม้จิ้มฟันมาด้วย รู้ไหมครับความหมายคืออะไร คือเขาไปกินภัตตาคารจีนมา เพราะมีแค่ภัตตาคารจีนเท่านั้นที่มีไม้จิ้มฟันให้ เดินเข้ามาก็ยื่นให้คนละ 500 บาทตั้งแต่หน้าประตูเลย เพื่อแสดงสถานะ ตอนนี้มันไม่มีแบบนั้นแล้ว

สิ่งที่ยังทำให้ลูกค้ายังเดินเข้าร้านคุณคืออะไร?

คน เราฝึกคนของเราอย่างไร คนต่อคนมีอิทธิพลต่อกันนะ วัตถุที่เคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็กโลก จะมีอำนาจแม่เหล็ก สายตาผมมีคลื่นแม่เหล็กมองคุณนะ คนต่อคนมีอิทธิพลต่อกันทั้งนั้น ทำไมพ่อแม่ลูกรักกัน มันเป็นปฏิกิริยาเคมี มันเป็นอำนาจที่เกิดขึ้นต่อกัน ถ้าเราฝึกคนให้มีพลังการขาย พลังบริการ ก็สามารถดึงดูดคนที่อาจจะเพิ่งมาเป็นครั้งแรกให้รู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปสามหมื่นมันคุ้มค่า แพงกับถูกมันอยู่ตรงไหน อยู่ที่ความรู้สึก รสนิยมล้วนๆ

หลักในการบริหารคนของคุณคืออะไร?

คนทุกคนในโลกอยากเป็นคนดี คนเก่ง เป็นที่ยอมรับในสังคม อยากประสบความสำเร็จ อยากมีเงิน คิดอยู่อย่างเดียวว่า กูต้องการสติปัญญา ความรู้ เพื่อตอบโจทย์ทุกอย่างที่กล่าวมา เวลาเราพูดกับเขา เราพูดวิธีคิด กับความเชื่อของคุณ ว่าคุณเชื่ออะไร ไม่กินเนื้อ เหตุผลคืออะไร นั่นคือเงื่อนไขแรกที่คุณบล็อกตัวเองหรือเปล่า เพราะอีกสักพักก็จะไปหาผ้ายันต์ ลูกประคำ หินนำโชคอะไรนั่นมาอีก ตอนนี้ก็เริ่มหาผ้ายันต์เลสเตอร์แล้ว ถ้าปิดกั้นตัวเองก็ไม่สามารถรับอะไรใหม่ๆ หรือคิดอะไรที่สร้างสรรค์ได้ นับถือพุทธศาสนา คุณเชื่อพระสงฆ์ หรือธรรมะ ดังนั้น เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องต่อสู้ตลอดเวลา ต้องการแข่งขัน เหนือชั้นกว่าคนอื่นตลอดเวลา เราจึงต้องใส่การแข่งขันเข้าไป ไม่มีการแข่งขันก็ประเมินตัวเองไม่ได้ ขายดีแต่ไม่ได้รับคำชมเลยก็ดูเป็น routine ไป ได้แต่ผลประโยชน์ แต่คำชมสักนิดไม่เคยได้ ทำงานได้เงินอย่างเดียวไม่พอนะ ความภูมิใจควรเป็นส่วนสำคัญในองค์กรด้วย เรื่องวิธีคิดกับความเชื่อ เราจะพูดกันแค่นี้

ตอนนี้ จุดมุ่งหมายในขั้นต่อไปของชีวิตคืออะไร?
 
ตอนนี้ผมก็ต่อต้านกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เพราะผมถูกปฏิเสธวีซ่าอเมริกา เขาบอกว่ามันเป็นธุรกิจที่มีโสเภณีในร้าน ตีความว่า ทั้งโดยตรงและทางอ้อม ถึงคุณจะดีอย่างไร แต่สังคมพูดมาอย่างนี้ผมจะทำอย่างไร ผมเปิดเผยความจริงไปทุกอย่าง เขาก็ปฏิเสธเรา ความฝันของผมคืออยากเปิดโรงละคร มีความฝันมานานแล้ว เคยประมูลที่ดินมาได้แปลงหนึ่ง เป็นโรงเลื่อยไม้ของกรมการอุตสาหกรรมป่าไม้ แต่เจ้าของที่ดินจริงๆ คือกรมธนารักษ์ เมื่อก่อนมีพระราชบัญญัติว่าที่ดินของราชการให้ไปขึ้นโฉนดเสีย ถ้าไม่ขึ้นก็จะเป็นของทรัพย์สินฯ เป็นผู้ดูแล เราได้สิทธิ์มาแล้วสามสิบปี ก็ต้องไปสร้างตามแบบที่ดีไซน์ไว้ จะเป็นเซ็นเตอร์ของทัวริสต์ จะมีท่าเรือจอด มีเรือรับส่ง ผมคิดก่อนสวนลุมไนท์บาซาร์ คิดคอนเซ็ปต์นี้ก่อนเอเชียทีคจะเปิดอีก เราอยากทำละครเรื่อง Falcon (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์) ทำบทไว้แล้วพอสมควร อ.สุกรี เจริญสุข ที่มหิดลทำเพลงไว้แล้วส่วนหนึ่ง ทำโปรดักชั่นไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่เรามีปัญหาการก่อสร้าง ต้องไปขออนุญาตกรมธนารักษ์ ฟ้องร้องกันอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้ที่ตรงนั้น เฟลไปอยู่พักใหญ่ ผมไปดูโรงละครทั่วโลกนะ ชอบไปดู อยากจะทำให้มีที่เมืองไทย

ทำไมต้องเป็นโรงละคร?

มันเป็นที่ที่รวมศิลปะทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมดเลย จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ดนตรี สถาปัตยกรรม คือถ้าย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ผมเกิดในครอบครัวศิลปินนะครับ ตาเป็นหมอทำขวัญนาค ขวัญนา ขวัญบ่าวสาว เป็นหมอยาโบราณ เป็นหมอผี เป็นสัปเหร่อ เป็นทุกอย่าง คือสมัยก่อนรองจากตำรวจ ชาวบ้านเดือนร้อนก็จะมาหาตาผม แต่ก่อนตากับยายจะทำคู่กัน เรียกว่าทำขวัญคู่ ยายผมจะเล่านิทานเก่ง ทำเสียงได้หลายแบบ ตกค่ำยายก็จะเล่านิทานให้ลูกหลานฟัง แม่ก็ร้องเพลงเพราะ ทำให้เราชอบงานศิลปะ เพลง ดนตรีพวกนี้ด้วยเหมือนกัน

คิดว่ามันจะขายยากไหมสำหรับคนไทยที่ไม่มีวัฒนธรรมดูละครเวทีเหมือนต่างประเทศ?

คุณนำเสนออย่างไรล่ะ คุณมีของดีให้เขาหรือเปล่า ถ้ามีของดีคุณจะกลัวอะไร คนไทยไม่ใช่คนโง่นะครับ คนรู้หมดว่าอะไรคือของดี ผมเคยไปดูงานศิลปะของกาลิเลโอคีนิ ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมตกแต่งภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม คุณเชื่อไหมครับว่าคนต่อคิวดูเต็มเลย ดังนั้นต้องให้นักการตลาดและเอนเตอร์เทนเนอร์อย่างผมมาทำสิ ผมคิดว่า ผมสร้างให้คนมีความสุขได้
เรื่อง : ฆนาธร ขาวสนิท
ภาพ :พาณุวัฒน์ เงินพจน์

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE