“ผมจะทำให้มันจนกว่าขอทานให้ได้” ที่กำลังเป็นประโยคเด็ด ได้ใจคนไทยทั่วประเทศ คงทำให้ใครหลายคนอยากรู้จัก พล.ต.ท. สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) มากยิ่งขึ้น
หลังปฏิบัติการ ‘ชัยยะ สยบไพรี 60/1’ รวบ ‘ไซซะนะ แก้วพิมพา’ เจ้าพ่อยาบ้า มาเฟียยาเสพติดชาวลาว คาสนามบินสุวรรณภูมิ และ ‘ชัยยะ สยบไพรี 60/2’ ปฏิบัติการตรวจค้นและยึดทรัพย์สินผู้ต้องหาแก๊งค้ายาเสพติดชาวลาวกว่า 200 ล้านบาท 1 ใน 40 จุดที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด เข้าตรวจค้น คือบ้านของนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง นักแข่งรถ สามีของดาราสาวชื่อดัง ‘แพท ณปภา’ ย่านอินทรามระ 51 กรุงเทพมหานคร ซึ่งตำรวจพบหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งค้ายาเสพติด
และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของที่มาคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท. สมหมาย กองวิสัยสุข ที่ว่า “วันนี้เนี่ยเราต้องการให้ลูกหลานเราอยู่เย็นเป็นสุข คนพวกนี้ทำลายลูกหลาน ทำลายครอบครัวของพวกเราที่หาเช้ากินค่ำมานานแล้ว เอาเงินของคนจนไปซื้อรถหรู แล้วมาอวดคนจนอีก มันเหยียบย่ำหัวใจเราเกินไปแล้วนะครับ ผมคิดอย่างนั้นนะครับ เพราะฉะนั้น ผมยืนยันว่า ผมจะทำให้มันจนกว่าขอทานให้ได้”
ข่าวปฏิบัติการครั้งนี้ รวมถึงชื่อ พล.ต.ท. สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ยึดพื้นที่ข่าวและความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ ก่อนได้รับการแต่งตั้งมาปราบปรามยาเสพติด พล.ต.ท. สมหมาย กองวิสัยสุข เคยเป็นรองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนางไก่ นางกิมเอ็ง 2 พี่น้องนักตุ๋นตัวร้ายระดับชาติ
สำหรับเส้นทางสู่การเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พล.ต.ท. สมหมาย เคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Policenewsvarities ว่า
“พี่เป็นคนกรุงเทพฯ แต่มีเชื้อสายอยุธยา คน อ.มหาราช ที่มาเป็นตำรวจ น่าจะเป็นเรื่องของสวรรค์รึเปล่า ไม่ได้จบโรงเรียนเตรียมทหารนะ จบโรงเรียนนายร้อย จบจากโรงเรียนเซนต์จอห์น จบเทศบาลวัดมกุฎฯ สมัยนั้นเป็นเทศบาลวัดมกุฎฯ เป็นโรงเรียนของ กทม. ถามว่าทำไมถึงมาเป็นตำรวจ คงเพราะพ่อแม่เป็นพ่อค้าแม่ค้า ก็ถูกตำรวจกดดันมาตลอด พ่อแม่ก็ค้าขายอยู่ที่สะพานใหม่ ยิ่งเจริญ ถึงเวลา ตำรวจมาขอโน่นนี่ พ่อก็ต้องให้ แม่ก็ต้องให้ แม่ตื่นตี 4 มาทำมาค้าขายกว่าจะได้เข้าบ้านก็ทุ่มกว่าๆ ก็มีความรู้สึกว่าชาวบ้านเขาทำมาหากิน ทำไมตำรวจต้องไปกดดันเขาแบบนี้ สมัยก่อนโดนเลย ว่าต้องให้อะไร ตำรวจอยากกินอะไรก็หยิบไปเลย ที่บ้านขายอาหารทะเล พวกของแห้ง
“แล้วตลาดยิ่งเจริญเนี่ย ข้างหลังมันเป็นกองทัพอากาศ พวก สห.เกเร อะไรต่างๆ ก็จะมีเยอะ มือปืนเยอะ เพื่อนๆ ก็เกเร เยอะเหมือนกัน ชวนมาดูดกัญชา ชวนมาฉีดผง แต่เราไม่เอาด้วย มันอันตราย ก็โชคดีที่เราไม่เคยโดนข่มขู่ แต่ถ้าโดนพี่ก็สู้นะ ถ้าตำรวจมา พี่ไม่กลัว ไม่เคยกลัวเลย พี่สวนเลย ไม่กลัว มันก็เลยมีความรู้สึกว่า ถ้าเรามีโอกาส เราต้องทำให้ดี แม่จะสอนว่า อย่าไปเอาเงินใครเขานะลูก ให้มาเอากับแม่ เราหาเช้ากินค่ำ แต่ก็ไม่ไปทำความลำบากให้กับใครเขา เราไม่ใช่ลูกคนรวย แต่เราก็อยู่ได้ แม่ก็ส่งลูกเรียนได้ตลอด”
ว่ากันว่าปฏิบัติการ ‘ชัยยะ สยบไพรี 60/1’ รวบ ‘ไซซะนะ แก้วพิมพา’ คาสนามบินสุวรรณภูมินั้น ผู้สื่อข่าวบางสำนักระบุว่า ไม่ต่างจากฉากในหนังบู๊ เรื่องราวชีวิตของผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด ก็โลดโผนไม่ต่างกัน
“ครอบครัวพ่อพี่เนี่ย เขามีที่นาอยู่ที่มหาราช ปู่ ย่า ก็ทำปลาร้าขาย ส่งที่กรุงเทพฯ มากับเรือ ก็ถูกปล้นบ้าง อะไรบ้าง พ่อต้องหนีไปสมัครเป็นทหาร รบในเกาหลี เพราะช่วงนั้นถ้าไม่ไปก็ตาย โดนกวาดล้าง เพราะว่าพ่อเป็นญาติเสือขาว เสือทวย เสือเทพ แล้วพ่อก็เป็นหลงจู้เรือบรรทุกข้าวโรงสี เขาก็ค่อนข้างจะเป็นมาเฟียพอสมควร น่านน้ำเจ้าพระยา เขาก็ไม่กลัวใคร เราก็เลยได้เขามา เราก็ไม่ค่อยกลัวใคร
“พอจบ มศ.5 ก็ไปเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยฯ จบนรต.34 สมัครใจไปเป็น ตชด.แต่พ่อแม่ก็เสียใจ เพราะไม่อยากให้ไป เพราะตอนนั้นรบกันอยู่ทางภาคอีสานมันมีคอมมิวนิสต์อยู่ พี่ก็เลยต้องมาขอเปลี่ยนไปอยู่ภูธร พี่เลยไปอยู่ที่สุรินทร์ โรงพักปราสาท กำลังรบกันพอดีเลย ไปเป็นชุดคุ้มครองตำบล 3 ตำบล รบกับเขมรแดง พี่เป็นหัวหน้าหมวดโจมตีโดยถูกรับเลือกจากนายอำเภอ และผู้ว่าฯ เพราะตอนนั้นไม่มีนักเรียนนายร้อยหนุ่มๆ ตอนนั้นเขมรเข้ามาลึก ของเราคุมอาสาสมัคร ช่วงนั้นจะมีกองกำลังพระร่วง ของทหาร ก็ร่วมอยู่แถวนั้น คล้ายๆ ว่าเป็นผู้บังคับบัญชาเรา ลึกๆ คงพูดมากกว่านี้ไม่ได้ มันเยอะมาก มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่รับไม่ได้ คือมันไปปล้นที่กาบเชิง เขาเรียกว่าบ้านอำปึง เขมรชุดดำขึ้นมาข่มขืนราษฎรไทยเสร็จมันก็เอามันสำปะหลังยัด พี่ไปดูที่เกิดเหตุแล้วรับไม่ได้เจอที่ไหนพี่ยิงที่นั่น มันตายเยอะมากเลย พี่บอกเลยว่าไม่ต้องคุยกันแล้ว มึงมาอาศัยประเทศเราอยู่แล้วยังทำอย่างนี้ อยู่ที่นั่น พี่ใส่เสื้อแขนสั้นติดดาว เป็นเม็ดๆ แล้วพี่ก็สะพายปืน 120 นัด เอชเค อย่างนี้ มีลูกระเบิด ขี่มอเตอร์ไซค์คนเดียว บอกว่าท่านรองเดี๋ยวตายนะ แต่พี่ไปคนเดียว ไปลุย จนลูกน้องเตือน แต่พี่ไม่กลัว คิดว่าตายในหน้าที่ จะได้รู้ว่าจะตายไม่ตาย ตอนนั้นห้าว ไม่กลัวใคร เลยเนื้อหอมเลย เพราะความห้าว”
‘ขุนพันธ์’ หรือ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ตำรวจมือปราบจอมขมังเวท คือหนึ่งในไอดอลการสืบสวนปราบปรามของ พล.ต.ท. สมหมาย
“ในยุคนั้น ที่เราเห็น ก็มีขุนพันธ์คนหนึ่งแล้ว เราได้ยินกิติศัพท์ไม่เคยสัมผัส ตอนนั้น พี่ก็อ่านจากหนังสือนะ แล้วพี่มีความรู้สึกว่าพี่ไม่เชื่อว่าตำรวจนครบาลจะเก่งมาก อ่านข่าวแล้วสงสัย สืบเหนือ สืบใต้ จับเก่งมากเลย ทำไมยิงปุ๊บ รู้เลยว่าใคร พี่เลยขอผู้บังคับบัญชามานอนที่สืบเหนือ สืบใต้ มาดู คนที่พี่ศรัทธามากคนหนึ่ง คือพี่ประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ เก่งจริงๆ เขาเก่งมาก แล้วที่สนิทกันจริงๆ มากๆ เลย พี่โต พีระ บุญเลี้ยง ไปกินนอนกับเขาที่สืบเหนือ ไปกราบเขาเลยนะ เมตตาผมเถิด เขาก็บอกไปทำด้วยกัน เราก็ไปด้วย คือเราก็มาแบบเถื่อนๆ ไม่มีพวก มาคนเดียวเลย อยากรู้ไง ขออาทิตย์เลย เขาให้ไปซื้อก๋วยเตี๋ยว ก็ไปซื้อ ไปเฝ้าจุด ก็ไปหมด มาจับไอ้เล็ก ลำตะคอง ที่โชคชัย 4 พี่เฝ้าทั้งคืน ไม่ได้นอนเลย ก็ด่าลูกน้อง ตอนมันลงมา ขับรถปิกอัพสวน พี่ก็สวนไป พี่อยู่กระบะหลังพอดี ระหว่างที่รถสวนกันพี่กระโดดไปที่กระบะหลังรถมัน พี่ก็เอาปืนกระบอกนี่เคาะ บอกไอ้สัตว์มึงไม่หยุด กูยิงนะ ทุกคนก็นึกว่าพี่ถ่ายหนัง ถ้ามันไม่จอดพี่ยิงแน่เลย มันก็บอกว่ายอมแล้วๆ ตอนนั้นมากับพี่จำนง แก้วศิริ อดีตผู้การเชียงราย นี่แหละเบื้องหลังของเล็ก ลำตะคอง นี่แหละ ที่ฆ่าแล้วเผาที่เขาใหญ่ ตอนนั้นมันค้าลูกหมู ส่งเด็กไปขายยากูซ่า จับแถวคอมมานโด โชคชัย 4 ถนนนิดเดียว ในซอย แล้ววิ่งสวนกัน พี่นงค์ นี่ตกใจเลย
“สุดท้ายเราก็รู้ ทำไมถึงเก่ง อ๋อ แม่งมีบ่อน แล้วพวกนี้อยู่ในบ่อน ทำอะไรมันก็จะรู้หมด ก็เลยเฉยๆ นึกว่าเขามีคอมพิวเตอร์ ระบบงานใหญ่ ฝีมือถ้าเทียบชั้นกัน ตามที่พี่ได้สัมผัสนะ เดอะหมู ฐิติราช ของเรานี่ ดีกว่านี่ทันสมัย ชัดเจน แตะปั๊บ จับต้องได้ สติปัญญาไอคิว 200 ไม่ใช่ 180 เลย เก่งมาก ต้องยอมรับ ไว เร็ว มีแต่ลูกน้องไม่ทันเขา แต่พี่ยังทันนะ คิดทันอยู่ พี่ก็เลย คิดว่าไปเอาคดีสำคัญๆ มาได้เรื่อย เราก็กะว่าจะต้องทันเพื่อนให้ได้ ไม่งั้นเราคิดไม่ทัน ก็ทำงานกันมา เขาก็มีความรู้สึกที่ดี อย่างนี้
“พี่อยู่เบื้องหลังเยอะ ขึ้นสารวัตรที่ศูนย์สืบสวน กองสืบภาค 3 สารวัตรกองกำกับ 3 มีอยู่ 5 คน เขาเรียกกองกำกับสืบสวน กก.สส.บช.ภ.2 ตอนนั้น ปีประมาณ 2530 ป๋าบุญทิน เป็นผู้บัญชาการ ป๋าบุญทิน ใช้พี่สารพัด อย่างแคล้วนี่ ป๋าทิน ก็ให้พี่ไปจับ แคล้ว นั่งเล่นไพ่อยู่แถวตึก 4 ชั้น แถวประชาชื่น ตอนนั้นพี่ไม่รู้หรอก แคล้ว พี่ขึ้นไปก็ไปจับ ลากตัวใส่กุญแจมือเลย แคล้ว ตกใจ พี่จับมา คดีเช็ค จ่ายเช็ค เอาไปส่งโรงพัก ไอ้นี่พี่ก็จับนะ ไอ้สำลี หรือฝ้าย โคกาอิน มือปืนวัฒนา ร้องไห้ อย่างกับขี้หมู
“พี่ก็เก็บข่าวอาชญากรรมทุกชนิดนะ พี่จะเก็บไว้ จะเป็นหนังสืออาชญากรรม 191 หนังสือพิมพ์พี่จะมานั่งตัดเองเก็บเอง เพราะพี่อยากรู้ว่าเขามีความสามารถอย่างไร เพราะเราไม่ใช่ตำรวจกรุงเทพฯ เราไม่รู้อย่างเขาหรอก พื้นที่ของเราคือโจร แต่ที่นี่เขาเรียกมาเฟีย หรือเจ้าพ่อ ถ้าเป็นเราก็เรียกโจร หัวหน้าโจร แก๊งโน้นแก๊งนี้ กรุงเทพฯ เรียกมาเฟีย เจ้าพ่อ หัวหน้าโจร โน่นนี่ ภูธรเรียกโจร เรารู้จักแต่โจร เราไม่รู้จักมาเฟีย เราตำรวจบ้านนอก ไม่เคยถูกฝึก ก็ยังคิดว่ามันดังได้ไงวะ มันต้องมาบอกป๋าทิน ไปถึงบ้านเลย ก็มาให้พวกเรานี่แหละทำ ทำไมใหญ่จังวะ เจ้าพ่อ เราก็พยายามพัฒนาตัวเอง และคนที่เราพัฒนาได้ พัฒนาที่ตัวเราก่อน เรามาจากบ้านนอก เรามาจากศูนย์ แต่เรื่องนักลงนักเลง เราไม่กลัวอยู่แล้ว ไม่กลัวใคร เราก็เติบโตในกรุงเทพฯ เราก็พอมีช่องทาง แต่คิดว่ามันดังได้ไง จากไม่รู้เรื่อง เราก็มานอน มากินอยู่กองสืบ มานั่งดู อ๋อ มันอย่างนี้เอง เพราะความอยากรู้”
ขอบคุณข้อมูลสัมภาษณ์ พล.ต.ท. สมหมาย กองวิสัยสุข
จากเว็บไซต์ http://policenewsvarieties.com/