มองเขาอีกด้าน! ‘เสก โลโซ’ กับความคิดที่ผ่านมา ก่อนคำพิพากษามาถึง


‘เสก โลโซ’ เมื่อก้าวมาอยู่ในโลกโซเชียลมีทั้งคนรักและคนชัง ไม่แปลก! เพราะปกติแกเป็นคนพูดตรง โผงผาง คล้ายจะเหมือนขวานผ่าซากซะด้วยซ้ำ แต่ไม่ปกติ! เมื่อล่าสุดกับเหตุการณ์ลากยาว Live สดข้ามวันข้ามคืนที่ทำให้ทุกๆ คนที่รักรู้ว่า ‘เฮีย’ ไม่ใช่คนเดิมแน่นอน และนำไปสู่การส่งตัวรักษาอาการทางจิตในวันนี้

บทสัมภาษณ์ที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ เคยตีพิมพ์ลงใน mars magazine เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่หลายเรื่องราวยังสดใหม่ เราอยากให้ลองอ่านอีกสักครั้ง ก่อนพิพากษาในตัวตนของเขา…เพราะผู้ชายคนนี้ยังมีหลายมุมที่คุณไม่เคยรู้!

วงการเพลงเมืองไทยตอนนี้อยู่กันยังไง จากมุมมองของคุณ

วงการเพลงบ้านเราก็เหมือนกันหมดนะ เนื่องจากว่าตอนนี้การซื้อขายมันลดน้อยลงเยอะ เมื่อก่อนผมเคยขายได้ 2 ล้านชุดมาหลายอัลบั้ม แต่เดี๋ยวนี้ขายได้ 4 หมื่นชุดก็ถือว่าเยอะมากแล้ว เปรียบเทียบดูสิ 2 ล้านกับ 4 หมื่นนี่ไม่รู้กี่เท่าเลย เพราะฉะนั้นเงินรายได้ที่จะเข้ามาสู่ศิลปินนี่มันน้อยมาก เมื่อก่อนผมรับเงินทีหนึ่ง…

พูดตรงๆ เลยนะ ไม่ได้คุย บางทีรับ 7 ล้าน หมายถึงรับทีหนึ่งนะ แต่จริงๆ มากกว่านั้นในหนึ่งอัลบั้ม แต่เดี๋ยวนี้ได้เช็คมาไม่ถึง 2 แสน เพราะฉะนั้นเงินรายได้จากการค้าขายซีดีค้าขายเพลงมันน้อยลงมาก เราก็ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตกัน แล้วก็หาเงินจากทางสปอนเซอร์ซึ่งไม่ได้ง่ายที่จะทำ นอกจากวงของผมเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ของคาราบาวที่จะอยู่ได้ บอดี้สแลมที่เขาไปทัวร์ล่าสุดใช้จ่ายเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ว่าการที่เราไปขายบัตรแพงๆ ต่างจังหวัดมันขายไม่ได้หรอก

เป็นข้อเท็จจริง?

แน่นอน ไม่มีทางขายได้ ต่างจังหวัดเขาไม่ได้ซื้อราคาขนาดนั้น เขาไม่มีเงินซื้อหรอก ยกตัวอย่างง่ายๆ ผมไปเล่นกับบอดี้สแลมกับซิลลี่ฟูลกับบิ๊กแอส บัตร 50 หรือ 100 อยู่มาวันหนึ่ง …อันนี้เราไม่ได้ซ้ำเติมน้อง ผมเองก็ให้กำลังใจน้องๆ มาตลอด …อยู่มาวันหนึ่งเราจะไปขายบัตรวงเดียว 1,500 ไม่มีใครมาดูหรอก มีมาดูแต่มันไม่เยอะ

แสดงว่าเวลาออกทัวร์ เราต้องเข้าใจตลาดก่อนว่ากำลังซื้ออยู่แค่ไหน ถ้าเป็นไปได้คือฟรี แล้วมีสปอนเซอร์มาซัพพอร์ต?

ไม่อยากให้ฟรีหรอก เพราะคอนเสิร์ตฟรีมันทำให้รู้สึกว่ามูลค่าในการจัดคอนเสิร์ตมันหายไป เราควรจะขายบ้าง 100-200 ยังขายได้อยู่ มีสปอนเซอร์เราขายร้อยหนึ่งเราอยู่ได้ ตามหัวเมืองใหญ่ๆ อย่างขอนแก่น พิษณุโลก ภูเก็ต เชียงใหม่ เขาจะมีคอนเสิร์ตฟรีมาให้ดูเสมอ เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปทำคอนเสิร์ตเอง ทำโปรดักชั่นดีๆ ขายบัตรแพงๆ ไม่มีทางขายได้ ไม่มีใครเข้ามาดูกัน

อีกอย่างหนึ่งวงดนตรีแต่ละวงในประเทศมันไม่ได้ดังเหมือนเดิมแล้ว เพลงมันไม่ใช่จุดที่คนสนใจมากที่สุดในปัจจุบัน ก่อนนี้ตอนที่ผมขายได้ 2 ล้านมันยังไม่มีพวก YouTube ยังไม่มีพวก Facebook ปัจจุบันคนมันไปตรงนี้กันหมด แล้วอีกอย่างอะไรรู้ไหม เราสามารถดูทุกอย่างทุกเพลงได้ในนี้หมด (ยกสมาร์ทโฟนขึ้นโชว์) ในโทรศัพท์เครื่องเดียวสามารถครองโลกได้เลย คุณได้เห็นหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นคุณต้องคำนึงข้อนี้ด้วยว่าเราไม่มีทางที่จะไปขายซีดีได้เยอะ เพราะมันดาวน์โหลดได้ฟรี มูลค่าของเพลงตอนนี้มันน้อยลงมาก

เมื่อก่อนนี้มี 100% แต่เดี๋ยวนี้มีประมาณ 20% มูลค่าของมันนะ เราเคยขายได้ แต่ตอนนี้มันเป็นฟรีไปแล้ว คิดง่ายๆ ว่า ขนาด U2 ยังให้ฟังฟรีๆ เลย คิดดู! วงระดับโลกนะ! เพราะฉะนั้นเวลาผมแต่งเพลงอะไรก็เขียนก็อัดมันตรงนี้ (ห้องรับรอง) แล้วก็ให้ไปฟังฟรีๆ กัน เพราะเดี๋ยวนี้มูลค่าเพลงมันน้อย เราต้องเข้าใจ บริษัทใหญ่ๆ เขาก็ไปไล่บี้กับการเก็บค่าลิขสิทธิ์ต่างๆ ส่วนตัวผมเองอยู่ได้เพราะการทำคอนเสิร์ต แล้วก็จะทำธุรกิจ

คือท้ายสุดการทำคอนเสิร์ตก็เป็นทางรอดของศิลปิน

ทัวร์คอนเสิร์ตนี่แน่นอนที่สุด ไม่มีทางก๊อปศิลปินได้ คงจะมีคนก๊อปเป็นพี่เสก โลโซเยอะคน แต่ว่าเขาก๊อปการเล่นของผมเป๊ะๆ ไม่ได้หรอก บางคนก็จะมาดูความเป็น เสก โลโซ ตรงนี้

งั้นแสดงว่าการเกิดขึ้นของ MP3 มันเข้ามาพังทลายโครงสร้างวงการเพลงที่เคยมีมา และรายได้ของศิลปิน

ไอ้โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตเนี่ยมันเข้ามาทำลายวงการเพลง แต่ผมไม่ได้บอกว่ามันเสียไปหมดทุกอย่าง ปัจจุบันนี้ผมก็มีสื่อของตัวเองอยู่ เป็นสื่อฟรีเลยไม่ต้องไปเสียเงิน สมัยก่อนแต่งเพลงเองนี่ต้องไปเข้าห้องอัด เดินแจกแผ่นให้ดีเจเปิด แต่เดี๋ยวนี้เหรอ คลิกเดียวในโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นเราต้องมองในด้าน Positive เสมอ คือการคิดในแง่บวก
YouTube ก็เหมือนกัน มันมาทำให้เราขายเพลงไม่ได้ แต่เราสามารถนำเสนอผลงานเพลงในนั้นได้อย่างง่ายดาย เราต้องคิดในแง่บวกเสมอ เงินเราน้อยลงเราก็ไปทำสิ่งอื่นก็ได้ให้มันกลายเป็นเงินขึ้นมา

เมื่อสักครู่คุณพูดถึงเรื่องลิขสิทธิ์เพลงที่ค่ายเพลงเอาไปไล่บี้กับคนที่เอาไปใช้ แต่หลายครั้งก็มีช่องโหว่ให้มิจฉาชีพเอาไปหากิน หรือแม้แต่ตัวศิลปินเองที่เคยร้องเพลงนั้นๆ หากหมดสัญญาไปแล้วจะเอาเพลงตัวเองไปร้องก็ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่ากฎหมายย่อมเป็นกฎหมาย แต่ในบางเรื่องมันเป็นปลายทางที่ถูกที่ควรหรือไม่

มันควรจะเป็น แต่เราต้องทำให้มันถูกต้องสำหรับประเทศนี้ ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ไอ้การที่บริษัทใหญ่ๆ ห้ามไม่ให้นักร้องหรือศิลปินที่เป็นเจ้าของเพลงร้องเพลงตัวเองเนี่ยผิด ห้ามเขาไม่ได้ อย่าไปทำ บอกทุกค่ายเลยอย่าไปทำ ผมไม่สนับสนุนและไม่ถูกต้องที่สุด

คุณไม่มีทางห้ามอัสนี-วสันต์ (อัสนี-วสันต์ โชติกุล) ร้องเพลง 'ได้อย่างเสียอย่าง' เพราะนั่นมันเป็นเพลงของเขา ผมไม่ได้ว่าแกรมมี่ ผมไม่ได้ว่าอาร์เอส ผมบอกทุกคน คุณไม่มีทางไปห้ามศิลปินที่เป็นเจ้าของเพลงร้องเพลงของเขาได้ แล้วคุณก็อย่าไปเก็บเงินพวกร้านลาบ ร้านส้มตำ ที่เขาขายได้กำไรวันละ 500 มึงจะไปเก็บเขา 3 หมื่น มึงบ้ารึเปล่า! มันต้องคิดถึงเรื่องหัวใจ เพลงมันทำมาให้คนมีความสุข อย่าทะเลาะกันเพราะเพลง อย่าไปมองจุดประสงค์ของเพลงผิด แต่ว่ามันสามารถทำเป็นเงินได้ อันนี้ผมไม่ปฏิเสธหรอก แต่อย่าทำให้มันผิดจนคนหมดความศรัทธา ต้องคิดถึงใจเขาใจเรา

แต่ฝั่งค่ายเพลงก็บอกว่าเขาทำธุรกิจอยู่ มันก็ไม่ผิดในแง่ของธุรกิจ

ทำธุรกิจมันก็ยังเป็นคน คุณเป็นคนหรือเปล่า? คุณธรรมธุรกิจเพลง เขาก็ขายส้มตำ การเอาเพลงไปเปิดมันไม่มีใครทำผิดกฎหมายหรอก สมมุติว่าผมมีโทรศัพท์อยู่เครื่องหนึ่ง ผมเปิดเพลงที่ผมชอบ ของใครก็ได้ คุณจะมาจับเขาไม่ได้หรอกเพราะมันฟังเพลง ฟังเพลงมึงเพราะมันชอบมึงไง แล้วมึงจะมาคิดตังค์อะไรทุกกระเบียดนิ้ว มึงบ้าหรือเปล่า! (หัวเราะ) มึงไม่มีเงินซื้อข้าวกินเหรอ เดี๋ยวกูซื้อข้าวมันไก่ไปฝาก

คือจะบอกว่าอย่าหยุมหยิม

เออ! มึงรวยแล้วก็แบ่งเขาบ้าง สมมุติว่ามึงมีเงินเป็น 1,000 ล้าน มึงไปเบียดเบียนคนขายส้มตำ มึงสนุกหรือไง มันไม่ถูกต้อง ไปเก็บได้ในสถานที่ที่มันเหมาะสม อย่างค็อกเทลเลานจ์ที่คืนนึงเขาได้เงินล้านนึง คุณไปเก็บเขาไม่มีใครว่าหรอก และคงไม่มีใครปฏิเสธ แต่ร้านเล็กๆ ปล่อยให้เขาทำไปเหอะ สงสารเขา ก็ได้บุญได้อะไรไปด้วย

คนทำธุรกิจก็ต้องมีหัวใจ…ว่างั้น

ต้องมีหัวใจ ต้องมีความเป็นคน ต้องมีการแบ่งปัน ต้องมีความพอเพียง ต้องมีความถูกต้อง สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันรวบรวมไว้ในความเป็นคน ในความเจริญ ในความเป็นผู้นำ ถามหน่อยว่าคุณจะไปไถเงินเด็กๆ ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเหรอ (หัวเราะ) ผมไม่มีทางทำ สมมุติว่าผมมีเงินสัก 10,000 ล้าน ผมไม่มีทางไปบอก เฮ้ย! มึงเอาเงินมาให้กูสัก 50 บาทซิ ใช่ปะ! อันนี้เป็นวิธีที่คนเจริญแล้วไม่ทำกัน

ในความเห็นคุณ แสดงว่าลิขสิทธิ์เพลงบ้านเราก็เป็นดาบสองคมเหมือนกัน

อันนี้ก็แล้วแต่เขา แต่ผมพูดในฐานะของผม ผมไม่ได้จะไปชวนเขาทะเลาะ เพราะไม่อยากชวนใครทะเลาะอยู่แล้ว ผมพูดในฐานะที่เป็นนักร้องมา 20 ปี ทำอาชีพนักดนตรีมาทั้งสิ้น 25 ปี เพราะฉะนั้นเราก็ต้องออกความเห็นได้ คนที่เขาทำธุรกิจถ้าผ่านมาฟังผมบ้าง เขาก็คงจะรู้สึกว่า…เอ่อ จริงๆ ผมไม่ได้มุ่งร้ายกับใคร ผมพูดตามความเป็นจริงและความถูกต้องของความน่าจะเป็น ถ้าผมพูดผิดคุณก็ไม่ต้องไปทำ คุณก็ทำธุรกิจของคุณไป

ทุกวันนี้ศิลปินกับค่ายเพลง ยังมีความจำเป็นต่อกันและกันแค่ไหน

สำหรับผม ผมมีค่ายเพลงของตัวเองอยู่ ผมก็จะปฏิวัติการจ่ายเงินใหม่ คือดับเบิลเข้าไป คนที่ทำให้วงการเพลงไทยสร้างเป็นอาชีพได้คือพี่เต๋อ-เรวัติ พุทธินันทน์ ทั้งพี่เต๋อพี่บูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) ผมรักพวกเขามาก เขาก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจ่ายลิขสิทธิ์ค่าเงินอะไรต่างๆ ตอนนี้ก็ยังไม่แก้ไข หรือแก้ไขแล้วแต่ผมอาจไม่รู้ก็ได้ แต่ผมจะแก้ไขใหม่ ดับเบิลเข้าไป

ส่วนถามว่าค่ายกับศิลปินยังมีความจำเป็นต่อกันแค่ไหน จำเป็นต่อกันทั้งสองฝ่าย แต่นักร้องที่เป็น Independent นี่สามารถทำได้ เขามีสื่ออยู่ในมือ ผมก็มีสื่อของผม เพราะฉะนั้นเราเพียงแค่เข้าใจ แบ่งปัน แล้วก็อยู่กันอย่างมีความสุขเท่านั้นเอง

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คิดว่าอะไรจะเป็นตัวฉุดหรือทำลายศิลปินไม่ให้เจริญเติบโต
 
ขอพูดอย่างนี้ ถ้าในด้านศิลปินก็อย่าไปท้อกับสิ่งต่างๆ ให้คิดว่าตอนเราเริ่มต้นเราร้องเพลงเพื่ออะไร กูอยากร้องเพลงเพราะกูอยากรวย อันนี้คงไม่มี คุณอยากร้องเพลงเพราะอยากเป็นนักร้อง แล้วหลังจากนั้นพอทำมาหากินได้ มีเงินมีอะไรต่างๆ เข้ามา เขาจะมีความรู้สึกว่าอยากจะได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีน้องหลายคนที่น่าเสียดายมาก ร้องเพลงเก่ง แต่อยู่ดีๆ ไม่ออกเทปเลยเพราะกลัวขายไม่ได้ ต้องคิดว่า ตอนร้องเพลงตอนแรกเราไม่คิดว่าจะขาย เราไม่คิดว่าจะเป็นคนรวย

  ตอนที่ผมเป็นนักดนตรีแรกๆ ผมอยากร้องเพลงให้คนฟัง และผมรักในอาชีพนี้ แต่พอทำไปมันเกิดรวยขึ้นมา เราก็ไม่สนใจว่ามันจะรวยมหาศาลอะไร เพราะเรารักในดนตรี รักเสียงเพลงที่ได้ร้องให้คนฟัง บางทีเขาก็เชิญผมไปร้องฟรีๆ ผมก็ไป เพราะเราอยากไปร้องไง ไม่ใช่ไปร้องเพลงหนึ่งแล้วกูขอ 5 หมื่น ผมไม่เคยมี ฉะนั้นเราต้องข้ามข้อนี้ไปให้ได้

ฟังที่เล่ามาเหมือนมีแก่นในการใช้ชีวิตอยู่พอตัวเลย อะไรคือแก่นในการใช้ชีวิตของเสก โลโซ
 
ผมคิดด้วยตัวผมเอง ความคิดของผมมันตกผลึก คุยโม้หน่อยก็เรียกว่าบรรลุ อยู่มาวันหนึ่งคนเรามันก็ต้องตายจากกัน ไอ้สิ่งที่เหลืออยู่มันก็คือผลงาน
คงไม่มีใครรู้หรอกว่า John Lennon มีเงินเท่าไหร่ แต่เขาจำว่า John Lennon แต่งเพลง Imagine เข้าใจปะ นี่คือสิ่งที่เขาวัดกัน คนเรามันไม่ได้วัดกันจากเงิน
 
ถ้าวัดจากเงินก็ไอ้พวกนักธุรกิจ แต่ศิลปินเขาจำว่าคุณแต่งเพลงอะไรเอาไว้ คุณทำคุณงามความดีอะไรให้กับโลก แม้เวลาที่ผมทำธุรกิจก็มีเป้าหมายว่าได้เงินมาก็เอาไปช่วยเหลือเกื้อกูลคนยากคนจน เรามีเป้าหมายชีวิตตลอด

ทำไมล่ะ ในเมื่อหลายๆ คนได้เงินมาก็อยากจะเก็บอยากจะสร้างอะไรเยอะแยะ แต่คุณกลับอยากแบ่งให้คนอื่น

การให้มันเป็นความสุข มันมีความสุขมากกว่าที่เราจะเก็บไว้เอง เรามีเงิน 10,000 ล้านเราไปให้เขาสัก 1,000 ล้าน เรามีความสุขที่ได้เห็นเขามีความสุข สมมุติว่ามีลูกน้อง 5 คน เราไปกินฟัวกราส์ ผมก็อยากให้ลูกน้องได้กินบ้าง อย่างไปเวนิช ผมก็จะพาลูกน้องไปบ้าง เราจะได้พัฒนาคนด้วยสิ่งที่สวยงาม นั่นคือการแบ่งปัน
สิ่งเหล่านี้สำคัญมากนะ
 
ผมไม่คิดว่ามีเงินเยอะๆ แล้วจะเอาไปได้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งลูกเราก็เหมือนกัน ที่ทำทุกวันนี้เราก็ทำให้ลูกเห็น เติบโตขึ้นมาเขาจะได้รู้สึกว่าพ่อเขาทำแบบนี้ เขาก็ควรจะทำ
 

ผมตั้งมูลนิธิ (มูลนิธิโลโซ) เอาเงินไปช่วยทางโน้นทางนี้ เพราะการให้มันแสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัว เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก มีคนที่ไม่ได้มีโอกาสแบบผมทุกคน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นบุญบารมีของเรา คนรวยๆ ต่างประเทศนี่เขาทำอย่างนี้หมด เขาเอาเงินไปช่วยคนอื่น เพราะเขารู้ว่าท้ายสุดแล้วมันเอาอะไรไปไม่ได้ เอาเก็บไว้ให้ลูกเพื่ออะไรล่ะ ลูกมันก็ใช้ไม่หมดอีก เราก็จะเอาไปช่วยเด็กกำพร้า ไปช่วยหมาช่วยแมว ชีวิตอีกเป็นแสนเป็นหมื่นชีวิตที่เราไปช่วยเขานั่นแหละคือบารมี นั่นแหละมีความสุขมากจะบอกให้

สิ่งที่คุณทำอยู่นี้จำเป็นไหมสำหรับคนไทยที่รวยแล้ว
 
จำเป็นสำหรับความเป็นคน ในความเป็นคนมันจำเป็นมากที่ต้องออกไปช่วยเหลือคนอื่น ออกไปให้ความสุข ออกไปช่วยเขา สอนให้คนเป็นคนเป็นเรื่องที่มีบุญมาก
 
ทุกวันนี้ก็พยายามสอนทุกคน ไอ้คนไหนที่ไม่ดี แม่งมั่วซั่ว ผมก็พยายามตบมัน ทำดีเราก็ต้องชื่นชมว่าดี เพื่อนผมมีทั้งคนจนและคนรวย เราไม่เคยรังเกียจเดียดฉันท์คนจน ไม่เคยไปซูฮกคนรวยที่มันไม่มีความดี ผมคบคนรวยก็ไม่ได้คบเพราะรวย คบเพราะเป็นคนดี

ในวัยนี้ อายุก็ 40 กว่าปีเข้าไปแล้ว ตัวตนของคนที่ชื่อเสก โลโซ มีอะไรที่เติบโต หลุดหาย หรือเบ่งบาน

ผมไม่มีความรู้สึกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปสักอย่างเดียว เชื่อไหม? เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ เรามั่นใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้า มั่นใจที่จะพาองค์กรของเราต่อไป มั่นใจว่าเราจะออกไปช่วยคนได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีความเสียใจที่ว่า ไอ้สิ่งเหล่านี้มันผิดนะ ฉันต้องกลับไปแก้ มันแก้ไม่ได้! เพราะมันเป็นวันเก่าๆ
 
สมมุติมีคนมาบอกว่า ฉันไม่ชอบคุณเลย ผมก็จะบอกว่า มึงคิดว่ากูชอบมึงเหรอ? (หัวเราะ) เข้าใจปะ ถ้าฉันเป็นคนไม่ดี เป็นคนโง่ๆ ทำไมฉันถึงมีความสุขอยู่ทุกวี่ทุกวัน คนที่มีความสุข คนที่ประสบความสำเร็จ ก็คือคนที่ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และมีความรู้แล้ว ถ้าเป็นคนโง่ก็มีความทุกข์อยู่นั่นแหละ แล้วทำไมเราต้องเป็นคนโง่ ถ้าเรารู้ว่าความสุขนั้นมันอยู่ตรงไหน เราก็ไปที่ความสุขโดยไม่เดือดร้อนใคร ไม่ได้ทำให้ใครลำบาก

แต่ด้วยความเป็นร็อกสตาร์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างถาโถมเข้ามา มันทำให้คนหลุดง่ายเหมือนกันนะ
 
เราก็อย่าไปคิดว่าโด่งดังสิ เข้าใจปะ คนเรามันพ่ายแพ้เพราะคิดว่ามันโด่งดังมาก ทุกวันนี้ที่พี่อยู่กับลูกน้องก็ธรรมดามาก ไม่ใช่ว่ากินลาบไม่ได้ กินซกเล็กไม่ได้ ไม่ใช่! ยังกินได้เหมือนเดิมทุกอย่าง แวะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางได้สบายใจเลย ใครจะมาขอลายเซ็นไม่เห็นเป็นไร ใครมาขอกูก็แจกใครจะมากอดมาจูบก็มา ไม่เคยถือตัวและไม่เคยรู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร
 
เมื่อก่อนนี้มึงอยากดัง อยากให้คนมาขอถ่ายรูป แต่พอมึงดังแล้วคนมาขอลายเซ็น ฉันไม่แจก ฉันอยากเป็นส่วนตัว แหม! เมื่อก่อนมึงไม่อยากเป็นส่วนตัวเลย 

คุณเรียนรู้เรื่องการมองโลก การใช้ชีวิตมาจากไหน

ผมเรียนรู้จาก The Best ในโลกนี้ เรียนกวีจาก Shakespeare เรียนดนตรีจาก John Lennon จาก Mozart เรียนการรบจาก Hitler จาก Napoleon เรียนการรักจาก Casanova เรียนธุรกิจจาก Steve Jobs จาก Bill Gates จาก Donald Trump เพราะฉะนั้นผมเลยไม่รู้สึกว่าต้อยต่ำกว่าใคร และผมไม่ดูถูกคน

แต่ในภาพที่ออกสื่อ ดูคุณเป็นคนเกรี้ยวกราดสวนทางกับเพลงรักซึ้งๆ กินใจ ถามจริงๆ เถอะ จำเป็นแค่ไหนที่ผลงานและตัวตนของศิลปินต้องเดินไปพร้อมกัน
 
ศิลปินกับนักร้องหุ่นเชิดนี่มันแตกต่างกัน ประเทศไทยเรามีนักร้องที่เป็นหุ่นเชิด บริษัทเขาก็ต้องหาเพลงที่เหมาะสมให้ แต่งตัวแบบนั้นแบบนี้ ให้ทำท่าโน้นท่านี้ น้องเขาไม่ผิดหรอก แต่ศิลปินในความคิดของผมคือต้องมาจากตัวเขาเอง
 
อย่างพี่แอ๊ด คาราบาว อย่างพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ เขาเรียกว่าศิลปิน เพราะฉะนั้นผลงานของศิลปินต้องออกมาจากตัวเขาเอง มึงจะชอบหรือไม่ชอบกูก็เรื่องของมึง ศิลปินทุกคนเขาคิดแบบนี้ Liam Gallagher (William John Paul Gallagher อดีตผู้นำวง Oasis), Lennon, U2, Hendrix, The Doors มันคิดแบบนี้กันหมด ศิลปินคือคนที่เขาทำในสิ่งที่ชอบ แล้วคุณไปชอบผลงานเขา นั่นคือศิลปิน

ที่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้เคยมีช่วงชีวิตที่ท้อไหม

มีสิ ทำไมจะไม่มี ก็มีช่วงที่ออกมาจากโรงพยาบาลใหม่ๆ ที่โดนจับยาครั้งที่แล้วก็ท้อมาก คิดว่าเอาชีวิตไม่รอด เกือบตาย สุดท้ายก็กลับมาได้

แล้วฟื้นฟูจิตใจตัวเองยังไง

เราต้องยึดมั่นในตัวเอง คนเราที่พ่ายแพ้เพราะเราไม่ยึดมั่น ไม่นับถือตัวเอง เราต้องสร้างความนับถือ สร้างความรักให้กับตัวเอง แล้วก็มั่นใจในสิ่งที่เราดำรงชีวิต อย่าไปคิดว่าเราเป็นพระ เพราะแม้แต่พระเองยังพลาดไปเอาสีกาได้เลย ฉะนั้นเราไม่มีทางทำได้ดีทั้งหมด ท่านพุทธทาสท่านยังกล่าวไว้เลยว่า
 
การจะหาคนดีอย่างเดียวก็ให้ไปหาหนวดเต่า ซึ่งมันไม่มี ชีวิตของเรามันมีดีบ้างเลวบ้างผสมกันไปก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ต้องยอมรับถ้าเราพลาด และเข้าใจในการดำเนินชีวิต ถ้าไม่เป็นคนเลวอย่างประเภทไปยิงไปฆ่าเขา อยู่ไปเถอะไม่มีใครว่าอะไรหรอก

ฟังดูเหมือนคุณชอบอ่านหนังสือธรรมะอยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่อ่านงานใคร
 
อ่านงานท่านพุทธทาส อ่านเรื่องราวของท่านปัญญานันทภิกขุ นอกนั้นก็อ่านหนังสือปรัชญาต่างๆ งานของท่านพุทธทาสนี่อ่านหมดทุกเล่มนะ อย่างหนังสือนิพพานผมอ่านหลายรอบ

อ่านหนังสือธรรมะแล้วเอามาใช้กับแนวทางดนตรียังไง
 
ผมเคยแต่งเพลง โลภะ โทสะ โมหะ เพลงอย่าเห็นแก่ตัว อะไรทำนองนี้ ธรรมะคือธรรมชาติ การรู้จักธรรมะก็คือคุณรู้จักธรรมชาติ คนเรามีทั้งคนรักคนเกลียดคุณ มีโมโห มีรักโลภโกรธหลง นั่นคือธรรมะ นั่นคือธรรมชาติ ท่านที่บรรลุเหล่านี้เขาก็สอนให้คนเรารู้จักธรรมชาติ คนนี้ทำไมถึงไม่ชอบเรา เราต้องไปแคร์เขาหรือเปล่า พอรู้จักธรรมะเยอะๆ มันก็สบาย อยู่อย่างมีความสุข เราไม่ต้องไปแบกทุกอย่าง มันต้องปล่อยวาง

การศึกษาธรรมะก็คือการทำให้พ้นทุกข์ ศาสนาทำให้เราตาสว่าง ให้เหมือนบัวพ้นน้ำ ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ท่านพุทธทาสถึงบอกว่าเช่นนั้นเอง ช่างหัวมัน ไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเข้าใจ 3 อันนี้ได้ก็บรรลุเลย อย่างเช่น ไอ้นี่มาด่ากูมากๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะ ทำไมคนถึงไม่รักเรา ทำไมเราไม่รักเขา อ๋อ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง อย่าเอามาย้ำคิดย้ำทำ เพราะฉะนั้นความคิดเนี่ยสำคัญที่สุดในโลกนี้
 

Law of Attraction คือกฎแห่งแรงดึงดูด ถ้าเราคิดว่ามีความสุขชีวิตก็มีความสุข ถ้าเราคิดว่ามีความทุกข์เราก็มีความทุกข์ ถ้าเราคิดว่าทำได้เราก็ทำได้ นั่นคือพลังของความคิด อย่างเขาจะสร้างเครื่องบิน เขาต้องคิดก่อนว่าเขาทำได้ คนที่ประสบความสำเร็จเขารู้กฎนี้ทุกคน

พูดง่ายๆ ก็คือทุกคนมีศักยภาพตรงนี้ แค่อย่าดูถูกตัวเอง

ใช่ ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหนเขาจะคิดว่าตัวเองกระจ้อยร่อยหรอก นโปเลียนจะออกไปรบเขาก็จะคิดว่าจะออกไปปราบทั้งโลกนี้ เขาไม่คิดหรอกว่าสู้ไม่ได้ ฮิตเลอร์ก็เหมือนกัน ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะคิดแค่เรื่องชัยชนะอย่างเดียว คำว่าเป็นไปไม่ได้มันมีเฉพาะในพจนานุกรมของคนโง่เท่านั้น

ผู้ยิ่งใหญ่เขาไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนต่ำต้อย เขาคิดแต่เพียงว่า สิ่งเหล่านี้มันมีทางเป็นไปได้ อย่างเช่น ฉันจะสร้างเครื่องบินเพื่อบินไปประเทศนี้ ทั้งๆ ที่คนยังไม่รู้เลยว่าเครื่องบินมันเป็นยังไง แต่ไอ้นี่มันเอาเครื่องที่เป็นโลหะขึ้นไปลอยบนอากาศได้ อย่างหลอดไฟ กว่ามันจะเป็นหลอดไฟได้เขาก็ทำไม่รู้กี่หมื่นอัน นี่คือสิ่งมหัศจรรย์

แล้วคนอย่างเสก โลโซ คิดอะไรในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า

ผมจะมีเงิน 10,000 ล้านภายใน 5 ปี ผมว่าผมทำได้ ขายเบียร์ไง ตลาดประเทศไทยมันมี 2 แสนล้าน ผมว่าเบียร์ของผมจะขายได้ 10-20% ซึ่งเบียร์ผมจะมี 2 ยี่ห้อ มียี่ห้อ Loso กับยี่ห้อ Pistonhead เงินที่ผมจะได้มาก็จะเอาไปช่วยคน สมมุติขายได้ 20% ผมได้เงิน 40,000 ล้าน สมมุติได้กำไร 20,000 ล้าน ผมจะบริจาคปีละ 2,000 ล้าน อะไรแบบนี้ ซึ่งแม่งเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำ เพราะคนในประเทศนี้ 95% รู้จักผมหมด ผมเป็นคนของประเทศนี้ไปแล้ว

ทำไมไปสายเบียร์ อย่างพี่แอ๊ด คาราบาว ไปสายเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ทำไมไม่ไปทางนั้นบ้าง

ผมจะไม่ทำอะไรที่เพื่อนหรือพี่เราทำอยู่ พี่แอ๊ดก็เป็นพี่เรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำธุรกิจที่จะไปทับกัน ธุรกิจเบียร์ผมวางแพลนมาเป็น 10 ปีแล้ว และมันเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลังจากเบียร์แล้วก็จะทำน้ำ อนาคตก็จะมีธุรกิจมาเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้เป็นจุดต่อยอดมาจากเรื่องเพลง เมื่อเพลงมันขายไม่ได้ทุกคนก็ต้องหาทางออกสิ ศิลปินนาย ก. นาย ข. ที่เคยโด่งดัง เมื่อขายเทปไม่ได้ก็ไปทำผลิตภัณฑ์อะไรก็ได้นี่ มันมีอะไรที่เกิดขึ้นได้ในโลกนี้ เพียงแต่คุณกล้าที่จะทำหรือเปล่า 


คือศิลปินไม่ต้องตีกรอบตัวเองว่าต้องทำงานเพลงอย่างเดียว
 
ไม่จำเป็น เราต้องรู้ว่าเพลงมันขายไม่ได้แล้ว ผมจะยกข้อนี้ไว้ให้ศิลปินทุกคนคิดเลย ขนาด U2 มันยังทำเพลงมาแจกฟรี แล้วคุณเป็นใคร เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมาก ทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่าไปคิดว่าฉันออกชุดนี้มาแล้วฉันไม่ดัง เขาไม่ได้สนใจคุณคนเดียวในประเทศนี้โลกนี้ เผลอๆ มึงคิดอยู่คนเดียวว่าเขาสนใจมึง มันมีเรื่องให้สนใจอยู่เยอะแยะ อยากร้องเพลงอะไรก็ร้องกันไป อยากทำธุรกิจก็ทำเถอะ ไม่มีใครเขาว่าหรอก

อยากฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่
 
เนื่องจากเราไม่รู้ว่าเขาอยากเป็นอะไร สิ่งสำคัญเลยคือต้องรู้ว่าอยากเป็นอะไรก่อน จากนั้นเราก็ตั้งใจเรียนในสิ่งที่เราอยากจะเป็น อยากเป็นนักดนตรีเราก็ฝึกซ้อม ศึกษาดนตรี อยากวาดรูปก็ไปศึกษา พอประสบความสำเร็จมาเราก็ใช้สิ่งที่เรามี ฝีไม้ลายมือไปพัฒนาองค์กรตัวเอง พัฒนาประเทศ แล้วก็ออกไปช่วยเหลือคน ช่วยมวลมนุษย์ ช่วยสัตว์ต่างๆ ชีวิตก็มีความสุข เท่านั้นเอง อ้อ! แล้วก็มีเมียเยอะๆ (หัวเราะ) ถ้าเลี้ยงเขาได้ก็มีไปเถอะ

พูดถึงเรื่องนี้ ว่ากันว่าคุณเป็นคนเจ้าชู้ระดับหัวแถวเลย เรื่องจริงไหม

จริงสิ! ผู้ชายเจ้าชู้ทุกคนแหละ เพียงแต่จะยอมรับหรือเปล่าเท่านั้น คนที่บอกว่าไม่เจ้าชู้คงน้อยมาก ไอ้พวกที่มันไม่เจ้าชู้คือพวกที่มันไม่มีปัญญา ไม่มีใครมาชอบมัน

เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE